บทที่ 1262 แผนชายงาม
“หายนะกำลังจะมาเยือน…ดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…”
จักรพรรดิเซิ่งยิ้มขื่น หลังจากที่บินออกมาจากร่างของผู้บงการ แล้วหันไปมองยักษ์ร่างใหญ่มหึมานั่น เรือนกายของเขายิ่งสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม และจิตใจของเขาก็ยิ่งดิ่งลงเหว
เขาทำได้เพียงฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุน หากเส้นใยตราผนึกแห่งสายเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พังทลายลงเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นดินแดนเซียนนิรันดร์กาล…ก็จะต้องล่มสลายอย่างแท้จริง
ขณะเดียวกันทุกคนที่อยู่บนร่างของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม พวกเขามองเห็นความล้มเหลวของจักรพรรดิเซิ่ง มองเห็นการพังทลายของเส้นใยที่สอง แล้วก็มองเห็นการดิ้นรนของยักษ์ผู้บงการที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
“จักรพรรดิขุย ความหวังสุดท้าย!!”
“จักรพรรดิขุยต้องทำให้สำเร็จนะ!!!”
ท่ามกลางอาการตัวสั่นของคนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างก็ภาวนาโดยฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้เป็นจักรพรรดิเซิ่งเองก็ยังเป็นเช่นนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้เป็นความหวังของคนทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาล บัดนี้เขาที่อยู่ในเส้นชีพจร ตราผนึกสายเลือดหยุดชะงัก ลมหายใจเปลี่ยนมาเป็นหอบหนัก เขาสัมผัสได้ว่าในเส้นชีพจรเส้นนี้เหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และเงามืดที่อยู่รอบด้านซึ่งแต่เดิมน้อยลงไปแล้ว เวลานี้กลับเพิ่มจำนวนขึ้นมาอีก
แม้เขาจะไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นที่โลกด้านนอก แต่กลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความร้อนรนกระวนกระวายใจอย่างรุนแรง เขาจึงแผดเสียงคำรามพลางเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น ฉวยโอกาสที่เงามืดรอบกายยังอยู่ในระหว่างการจำแลงขึ้นมากระโจนฝ่าออกไป
แม้แต่พลังตบะ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สามารถทยอยปลดปล่อยมันออกมาได้อีก ร่างทั้งร่างของเขากลายมาเป็นพายุร้ายที่พอพัดผ่านสิ่งใด ทุกอย่างที่ขวางหน้าก็พังราบเป็นหน้ากลอง เงามืดทุกเงาล้วนไม่สามารถขัดขวางได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงพกพาเอาเส้นใยแห่งตราผนึกสายเลือดด้านหลังตัวเองขยับเข้าไปใกล้จุดตันเถียนมากขึ้นทุกขณะภายใต้การจับตามองของทุกคนที่อยู่นอกโลก!
จากตอนแรกที่เกือบสามส่วน กลายมาเป็นห้าส่วน หกส่วน เจ็ดส่วน…
ตลอดทางที่บุกตะลุยมา เสียงคำรามของป๋ายเสี่ยวฉุนดังไม่ขาดสาย การฟื้นตัวของบทมิวางวายก็ร่ายสูงถึงขีดสุด นี่ถึงทำให้เขาสามารถสังหารฝ่าวงล้อมของเงามืดที่มากมายดั่งกองทัพออกมาได้
ทว่าขณะที่เขาซ่อมแซมตราผนึกแห่งสายเลือดมาถึงได้เจ็ดส่วนกว่า เกือบจะถึงแปดส่วนนั้นเอง จู่ๆ ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดชะงักอีกครั้ง เพราะเขามองเห็นว่าเบื้องหน้ามีหญิงสาวคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้านหลังเงามืดจำนวนนับไม่ถ้วน!
หญิงสาวคนนี้สวมชุดเหมือนคนที่อยู่ในวัง มองดูแล้วสง่างามอย่างมาก เงามืดที่อยู่รอบกายนางเหมือนจะไม่กล้าขยับเข้าใกล้ ดังนั้นจึงทำให้พื้นที่รอบกายผู้หญิงคนนี้โล่งว่าง
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังผู้หญิงคนนี้ นางเองก็เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าที่งามพิลาสล้ำ!
“ราชินีเซียน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ลูบคลำถุงเก็บของของตัวเองโดยไม่รู้ตัว สตรีผู้นี้ก็คือราชินีเซียน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกับราชินีเซียนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บไว้ในถุงเก็บของ ราวกับว่าราชินีเซียนที่ถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจจิตของนี่ฝานซึ่งอยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือ สภาพตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุดในชีวิตของนาง!
ริ้วคลื่นที่แผ่ออกมาจากร่างนางคือขีดสุดของบุพกาล ซึ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวอย่างมาก แทบจะวินาทีเดียวกับที่คนทั้งสองประสานสายตากัน ดวงตาของราชินีเซียนพลันเผยความเย็นชา ยกมือขวาขึ้นแล้วโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเงามืดที่อยู่เบื้องหน้านาง ก็พากันร้องคำรามแล้วกระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ขณะเดียวกันราชินีเซียนเองก็ก้าวเดินออกมา กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่ง ที่พกพาพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน!
“บัดซบ หรือว่าผู้หญิงคนนี้เป็นตัวซวยของข้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าวแล้วก็แล่นถลาออกไปเช่นกัน เมื่อพายุนอกกายเขาสัมผัสกับเงามืดรอบกายนาง พายุลูกนั้นก็พลันระเบิดตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อให้เกิดแรงโจมตีที่บ้าระห่ำซึ่งพัดกวาดไปแปดทิศ
เงามืดเหล่านั้นมิอาจแบกรับพลังของพายุลูกนี้ได้ แต่สำหรับราชินีเซียนแล้ว นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ความเร็วของนางไม่มีหยุดชะงัก จึงพุ่งปะทะเข้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างจัง เสียงตูมตามดังสนั่นไปทั้งชั้นฟ้า สะท้อนกึกก้องไปรอบด้าน
มุมปากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเลือดสดไหลซึมออกมา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการฟื้นตัวของบทมิวางวายจะทำให้อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาหายดี แต่กลับยิ่งทำให้เขาปวดหัวมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะท่ามกลางการปะทะกันนี้ แม้ร่างของราชินีเซียนจะแหลกสลายไปไม่น้อย แต่กลับพุ่งมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งในเสี้ยววินาที ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับถอนหายใจยาวเหยียด
“ข้ายังมีท่าไม้ตายอีกอย่างหนึ่ง หากยังใช้ไม่ได้ผลก็คงได้แต่ใช้เขตแดนธาราเท่านั้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด ลึกๆ ในใจเขายังอยากจะประหยัดตบะเอาไว้ เมื่อเห็นว่าราชินีเซียนขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก หลับตาทั้งคู่ลง
วินาทีที่ราชินีเซียนขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกโพลง พลังอำนาจขุมหนึ่งที่แตกต่างไปจากปราณของเขาอย่างสิ้นเชิงระเบิดตูมออกมา นั่นคือปราณที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของประสบการณ์อันโชกโชน นั่นคือความสุขุมมั่นคง นั่นคือความสูงศักดิ์อย่างถึงที่สุด!
นี่ก็คือ… ปราณของเต้าเฉิน!!
“ศิษย์น้องเล็ก…”
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววของการย้อนทวนความทรงจำ ปากก็เอ่ยพึมพำเสียงแผ่ว
พอประโยคนี้ดังออกมา ราชินีเซียนที่เดิมทีสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตามีแต่ความเย็นชาพลันตัวสั่นเทิ้ม แล้วหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ร่างของนางสั่นเทารุนแรงขึ้นทุกขณะ สายตามองเหม่อมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าเริ่มฉายแววดิ้นรนมากขึ้นเรื่อยๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอเห็นว่ากระบวนท่านี้ใช้ได้ผลก็ฝืนข่มกลั้นอาการใจเต้น บังคับให้ตัวเองทำให้สมจริงมากขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามแผ่ปราณของผู้บงการออกมา ซ้ำยังทุ่มเททั้งกายและใจในการเลียนแบบผู้บงการเต้าเฉิน
“ซานซาน ไม่เจอกันนานเลยนะ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามจะทำให้สีหน้าของตัวเองดูผ่อนคลาย ครั้นแล้วก็ยกเท้าขึ้นก้าวเดินช้าๆ ขยับเข้าไปใกล้ราชินีเซียน
“เต้า…เฉิน…” จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้ ราชินีเซียนถึงเอ่ยสองคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยิน ในใจเขาก็พลันบังเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม
อันที่จริงวิธีการนี้เขาได้แรงบันดาลใจมาจากจระเข้ตัวที่หนีไปก่อนหน้านั้น เขาแอบรู้สึกว่า ในเมื่อจระเข้ยังหนีไปได้โดยสัญชาตญาณ บางทีราชินีเซียนก็อาจจะยังมีสัญชาตญาณบางอย่างหลงเหลืออยู่เช่นกัน!
แต่พอราชินีเซียนเอ่ยประโยคนี้ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอดที่จะตกใจไม่ได้ เขาค้นพบว่าตัวเองอาจจะเข้าใจผิดไป เพราะหากมีแค่สัญชาตญาณก็ไม่น่าจะพูดได้ สามารถพูดได้ สามารถเอ่ยนามของเต้าเฉิน นี่หมายความว่าอีกฝ่ายมีความทรงจำ!
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เงามืดพวกนี้ที่อยู่ในร่างของผู้บงการนี่ฝานคืออะไรกันแน่?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะตะลึงพรึงเพริด แต่กลับรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามามัวครุ่นคิด เขาจึงรีบปรับจิตใจให้สงบ มองไปยังราชินีเซียนพลางเอ่ยเบาๆ
“รอข้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ได้ไหม ซานซาน ศิษย์น้องเล็ก…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวว่าเอ่ยแค่ชื่อเดียวจะใช้ไม่ได้ผลจึงเอ่ยออกมาทีเดียวรวดสองชื่อ
ดวงตาของราชินีเซียนเลื่อนลอย แต่สีหน้ากลับฉายความดิ้นรนรุนแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบฉวยโอกาสนี้บินออกไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลัง แล้วก็เตรียมพร้อมแล้วว่าหากอีกฝ่ายไล่ตามมาจะร่ายใช้เขตแดนธาราทันที
แต่ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงและทั้งดีใจก็คือ ราชินีเซียนกลับยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะนางพยายามต่อต้านดิ้นรนกับความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหนก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
“แผนชายงามใช้ได้ผลดีกว่าเขตแดนธาราจริงๆ ด้วย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทอดถอนใจยิ่งเพิ่มความเร็วให้ไวมากขึ้น และไม่นานก็พาเส้นใยตราผนึกสายเลือดของเขาซ่อมแซมจากแปดส่วนจนเกือบจะถึงเก้าส่วน!!
ขณะเดียวกันลมหายใจของทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็แทบจะหยุดชะงัก แม้พวกเขาจะมองไม่เห็นศัตรูที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพบเจอในเส้นชีพจร แต่กลับเห็นภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงักครู่สั้นๆ แล้วพาเส้นแสงของเขาขยับเคลื่อนย้ายไปอีกครั้ง
โดยเฉพาะบัดนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งขยับเข้าไปใกล้จุดตันเถียนมากขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของทุกคนที่มองมา ทุกอย่างที่เขาประสบพบเจอย่อมต้องยากกว่าจักรพรรดิเซิ่งมากมายนัก เพราะอย่างไรซะ เขาก็ซ่อมแซมจากที่เหลือสองส่วนมาจนใกล้จะถึงเก้าส่วนอย่างในตอนนี้!
“ต้องทำสำเร็จ!!” จักรพรรดิเซิ่งตัวสั่นเทิ้ม ใจปรารถนาอยากจะแล่นเข้าไปให้ความช่วยเหลือ แต่เขาก็เข้าใจดีว่า ตอนนี้คนทั่วทั้งดินแดนเซียนนิรันดร์กาลที่สามารถเข้าไปในเส้นในตราผนึกสายเลือดได้ มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้น!
“มารดาแห่งนิรันดร์กาลโปรดช่วยคุ้มครอง…”
เสียงภาวนา เสียงร่ำไห้ เสียงพึมพำที่แฝงไว้ด้วยความรอคอยหรือไม่ก็ความสิ้นหวัง ดังอื้ออึงอยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลอย่างต่อเนื่อง
บัดนี้โลกทั้งใบต่างก็กำลังจับตามองป๋ายเสี่ยวฉุน!
และเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ซ่อมแซมตราผนึกสายเลือดไปถึงเก้าส่วน ห่างจากส่วนสุดท้ายอีกเพียงแค่ก้าวเดียว แต่จู่ๆ เขาที่อยู่ในเส้นชีพจรนั้นก็ได้พบเจอกับ…
คนที่ไม่ว่าอย่างไร ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่เคยคิดถึงมาก่อน!
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ หากไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่มีทางได้พบเจอกับคนผู้นี้แน่นอน!!
ก็เหมือนกับที่จักรพรรดิเซิ่งได้พบเจอกับบรรพบุรุษเซิ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอขยับมาถึงพื้นที่เก้าส่วน แผ่นดินที่เดิมทีไม่เคยปรากฏอยู่ตรงหน้าเขามาก่อน บัดนี้จู่ๆ กลับมีภูเขาลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมา!
แต่หากมองอย่างละเอียดจึงเห็นได้ว่า นั่นไม่ใช่ภูเขา แต่เป็นยักษ์ตนหนึ่ง!
ยักษ์ตนนี้นั่งขัดสมาธิ หลับตา แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาทั้งคู่ของเขากลับลืมขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นประกายแสงที่เป็นดั่งดวงอาทิตย์ ส่วนผิวหนังทั่วเรือนกายของเขาก็เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น นั่นคือหนังคงกระพัน นั่นคือเนื้อคงกระพัน นั่นคือเอ็นคงกระพัน นั่นคือกระดูกคงกระพัน และนั่นก็ยิ่งคือเลือดคงกระพัน!!
คลื่นของสายเลือดเดียวกัน ยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นเดียวกัน เปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งการระเบิดปะทุของกล้ามเนื้อไม่ต่างกัน!!
“บรรพบุรุษขุย!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องอุทานเสียงหลง!
ยักษ์ตนนี้ก็คือบรรพบุรุษขุย ต้นกำเนิดสายเลือดของป๋ายเสี่ยวฉุน และเมื่อเขาลืมตาขึ้น เรือนกายของเขาก็… ขยับลุกขึ้นยืนจากท่านั่งขัดสมาธิช้าๆ!