Skip to content

A Will Eternal 1276

บทที่ 1276 ฟื้นตื่น

“เรือนกายบุพกาล!”

“ตบะบุพกาล!”

บัดนี้ทั้งตบะและเรือนกายที่มีเลือดเนื้อของเขา ผสานรวมทับซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงมีปราณและริ้วคลื่นขุมหนึ่งที่เหมือนหวนคืนสู่บรรพบุรุษ ระเบิดออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน!

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมพัดกระโชกก้อนเมฆปลิวสลาย ท้องนภาทั้งผืนของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลบิดเบือน เขย่าขวัญสรรพชีวิต ขณะเดียวกันความตื่นเต้นในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายแจ่มชัด ช่วงที่ผ่านมานี้ในใจของเขาต้องแบกรับความกดดันมหาศาล เมื่อเรือนกายที่มีเลือดเนื้อฝ่าทะลุขั้น พลังการต่อสู้เลื่อนไปอีกระดับ ต่อให้จะยังไม่สามารถคลี่คลายวิกฤตการฟื้นตื่นของผู้บงการนี่ฝานได้ แต่จะอย่างไรแล้วก็ถือว่าเขาได้ขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายมากขึ้นอีกนิด

อีกทั้งตอนที่เนื้อหนังมังสาของเขาก็ได้ฝ่าทะลุสู่ขั้นบุพกาล เมื่อพลังของการฟื้นตัวกลับมารวมกันใหม่อีกครั้ง อาการบาดเจ็บทั้งหมดบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้มาจากการเคาะระฆังก่อนหน้านี้ ก็ล้วนหายสนิทในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่ว่าสภาพร่างกายของเขายังแข็งแรงดีเยี่ยมยิ่งกว่าตอนแรกๆ ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะไฟแห่งชีวิตของเขาที่บัดนี้ลุกไหม้อย่างไร้รูปลักษณ์ ราวกับดวงอาทิตย์ที่มองไม่เห็นดวงหนึ่งที่ลอยสูงขึ้นมาในแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาล และก็ยิ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล!

“มารดาแห่งนิรันดร์กาล!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ วินาทีที่สายตาตกไปอยู่บนระฆังใหญ่ของมารดาแห่งนิรันดร์กาล เขาก็เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ข้ามผ่านความว่างเปล่ามาปรากฏกายอยู่ข้างระฆังใหญ่ โบกปลายแขนเสื้อมือขวาเบาๆ ไม่ได้กำเป็นหมัด แต่เพียงแค่ตบลงไปเบาๆ ง่ายๆ เท่านั้น

ฝ่ามือที่มองดูเหมือนธรรมดานี้ วินาทีที่ตบลงไปกลับชักนำให้ความว่างเปล่าพังทลาย เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นไปแปดทิศ เสียงนี้ดังมากจนทำให้เจ้าเต่าน้อยสูดลมหายใจดังเฮือกอีกครั้ง ส่วนจักรพรรดิเซิ่งที่ต่อให้ก่อนหน้านี้ จะสะท้านสะเทือนไปกับการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนหลายครั้งมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ยังอดใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงอีกครั้งไม่ได้

“ฝ่ามือนี้…”

นั่นเป็นเพราะเขารู้อย่างชัดเจนดีว่า แม้พลังอำนาจหมัดสะท้านฟ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปล่อยออกมาก่อนหน้านี้จะแข็งแกร่งมาก แต่อันที่จริงแล้วกลับยังมีพลังไม่น้อยที่กระจายออกไปด้านนอก นั่นถึงทำให้ฟ้าดินเกิดความผิดปกติ นี่คือปรากฎการณ์ที่วิชาอภินิหารไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งตบะสูงมากเท่าไหร่ พลังเวทก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น และเมื่อมีการขานรับกับฟ้าดินมากเท่าไหร่ พลังก็จะยิ่งปลดปล่อยออกไปข้างนอกมากขึ้น

ทว่าฝ่ามือที่มองดูเหมือนปกติ ไม่เขย่าฟ้า ไม่สั่นคลอนดิน ฝ่ามือที่ดูเหมือนเรียบง่ายของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ กลับสะท้อนให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบในการทับซ้อนกันระหว่างเรือนกายและตบะของเขา!

การทับซ้อนชนิดนี้ก็คือ… ปราณของบรรพบุรุษที่ทำให้คนไม่น้อยบนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลร้องอุทานด้วยความตกตะลึง ซึ่งก็คือขอบเขตบรรพบุรุษที่หลุดออกจากปากของจักรพรรดิเซิ่งอย่างตะลึงพรึงเพริดเมื่อครู่นี้!!

ขอบเขตบรรพบุรุษ หรือจะพูดอย่างแม่นยำก็คือมันไม่ใช่ขอบเขตอะไรทั้งนั้น แต่เป็นคำบรรยายอย่างหนึ่งที่สืบทอดกันมาในคัมภีร์ ใจความสำคัญของมันก็คือการทับซ้อนผสานรวมกันของเรือนกายและตบะ

พูดแล้วเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่โบราณกาลมา นอกจากสามบรรพบุรุษแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำได้ถึงข้อนี้อีก

ส่วนพวกคนที่ตบะอ่อนด้อยกว่า บางทีก็อาจจะพอทำได้อย่างกล้อมแกล้ม ทว่าการทับซ้อนระดับนั้นจะไม่มีทางมีปราณอะไรแผ่ออกมาได้เลย มีเพียงมาถึงขอบเขตบุพกาลก่อนเท่านั้น การทับซ้อนที่แสดงออกมาถึงจะเขย่าคลอนคนในโลกได้!

เหมือนกับว่าพลังของฟ้าดินได้มารวมเป็นจุดเดียวกัน แล้วจุดนี้ก็ระเบิดพลังออกมาพังทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง สั่นสะเทือนโลกทั้งใบ!

เมื่อฝ่ามือของป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงลงไป ระฆังใหญ่อันเป็นที่อยู่ของมารดาแห่งนิรันดร์กาลก็ระเบิดแรงสะเทือนอึกทึกที่ดังรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก แม้แต่ตัวของระฆังใหญ่กึ่งโปร่งแสงก็ยังบิดเบือนอย่างรุนแรงราวกับว่าจะพังทลายลง มันระเบิดเสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าดิน และแรงดีดสะเทือนที่ย้อนกลับมาก็เหมือนคลื่นลูกยักษ์ที่มองไม่เห็นซึ่งโถมตัวออกมาจากในระฆังใหญ่แล้วตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะกลบทับเขาไว้จนมิด

หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะสามารถทนรับได้ แต่พลังการฟื้นตัวของบทมิวางวายก็ต้องตามไม่ทันการเผาผลาญของพลังเรือนกายแน่นอน แต่ตอนนี้กลับต่างไปจากเดิม ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายวาบ เขาไม่ได้ถอยหลังหลบแม้แต่ครึ่งก้าว ซ้ำมือขวาที่กดลงบนระฆังใหญ่ก็ไม่ได้ยกขึ้น หลังจากรับเอาแรงสะเทือนทั้งหมดมาจากระฆังใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ พลังการฟื้นตัวที่ส่งออกมาจากอวัยวะภายในแผ่ลามไปทั่วร่างเหมือนกลายมาเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่กระจายแรงสะท้อนกลับไปยังทุกสัดส่วนในร่างกาย ทั้งแบกรับพลังโจมตีเอาไว้แล้วก็ฟื้นตัวกลับคืนมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง!

ตลอดทั้งขั้นตอนนี้พูดเหมือนช้า แต่อันที่จริงแล้วกลับยุติลงในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ครู่เดียวก็สามารถคลี่คลายแรงสะเทือนกลับที่น่าหวาดกลัวนี้ได้อย่างสิ้นซาก ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าแผดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างสาสมใจ ความมั่นใจอย่างรุนแรงผุดขึ้นท่วมท้นหัวใจ ครั้นจึงยกมือขึ้นตบอีกครั้ง!

ไม่ได้หยุดชะงัก ป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดพลังอย่างเต็มที่ราวกับตัดสินใจแล้วว่าหากปลุกมารดาแห่งนิรันดร์กาลให้ฟื้นตื่นขึ้นมาไม่ได้ เขาก็จะไม่มีทางยอมเลิกราอย่างเด็ดขาด ถึงได้เงื้อมือตบออกไปติดต่อกันอีกเจ็ดแปดครั้ง และหากบวกรวมกับก่อนหน้านี้ เขาก็ลั่นระฆังถึงสามสิบครั้งเต็มๆ แล้ว!

เสียงตูมตามดังสะเทือนฟ้าดิน ระฆังใหญ่ยิ่งบิดเบือนรุนแรงมากขึ้น และแรงสะท้อนกลับก็ยิ่งรุนแรงดุจเดียวกัน แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่หยุดชะงัก บทมิวางวายของเขาในเวลานี้สามารถรับมือกับแรงสะท้อนกลับของการเคาะระฆังได้อย่างง่ายดาย ซ้ำเมื่อมาถึงท้ายที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นรู้สึกด้วยว่า แรงดีดสะท้อนกลับในทุกครั้งเหมือนเป็นการชำระล้างร่างกายเขาให้สะอาดจากภายในสู่ภายนอก ถึงได้เบาสบายไปทั้งตัว ดังนั้นเขาจึงเงื้อมื้อขึ้นตบอีกสามสิบเอ็ดครั้ง สามสิบสองครั้ง…

ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายเช่นนี้ยิ่งนานก็ยิ่งทบทวี ราวกับว่ามีมือเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบีบนวดไปทั่วร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง สบายและผ่อนคลายจากข้างในสู่ภายนอก ซ้ำในบางจุดที่ตนเอื้อมไปสัมผัสไม่ถึง ก็ยังถูกมือน้อยๆ เหล่านี้ลูบคลึงให้อย่างอ่อนโยน แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน ความสุขสบายเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกชื่นชอบมากขึ้นทุกขณะ จนเกือบจะลืมเรื่องที่ต้องปลุกมารดาแห่งนิรันดร์กาลไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะทั้งร่างกายและจิตใจของเขาล้วนจมจ่อมอยู่กับความสบายโปร่งโล่งไปทั่วทุกตำแหน่งในร่าง

แล้วก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สามสิบสามครั้ง สามสิบสี่ครั้ง สามสิบห้าครั้ง… จนกระทั่งตบไปถึงครั้งที่สี่สิบ!

เมื่อครั้งที่สี่สิบนี้ตบออกไปแล้ว ความรู้สึกโล่งสบายก็ระเบิดทบทวีขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนอดไม่ไหวจริงๆ ตอนที่สูดลมหายใจเข้าจึงปล่อยเสียงครางออกมาเบาๆ ยังดีที่เขารู้สึกตัวเร็วจึงรีบเก็บเสียงอย่างว่องไว และเสียงระฆังที่เกิดจากการตีหลายสิบครั้งนี้ก็ทำให้กระแสน้ำของแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาลซัดปั่นป่วนไหลย้อนกลับ ทำให้ผู้คนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลด้านนอกใจสั่น แม้แต่มหาสมุทรแห่งนิรันดร์กาลก็ยังเกิดพายุพัดกระหน่ำ ทั้งยังก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนดังสนั่นเซ็งแซ่

“สวรรค์ จักรพรรดิขุยตีไปกี่ครั้งแล้วนี่…”

“ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า… สีหน้าเขาเหมือนคนกำลังดื่มด่ำมีความสุขมากล่ะ…”

เสียงอื้ออึงดังมาจากทั่วทุกมุมของดินแดนเซียนนิรันดร์กาล มีเพียงจักรพรรดิเซิ่งและเจ้าเต่าน้อยเท่านั้นที่ตอนนี้อึ้งงันเป็นไก่ไม้กันไปแล้ว ด้านหนึ่งพวกเขาก็ตื่นตะลึงไปกับการเคาะตีที่ไม่จบไม่สิ้นของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกด้านหนึ่งนั้นก็อึ้งไปกับสีหน้าเคลิบเคลิ้มของอีกฝ่าย

นั่นเป็นเพราะว่า… แม้ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเก็บเสียงไปเร็วก็จริง ต่อให้ผู้คนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาลด้านนอกจะไม่ได้ยิน ทว่าเจ้าเต่าน้อยและจักรพรรดิเซิ่งที่มีตบะเป็นบุพกาลกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองหู

“เขา…เขาผ่อนคลายมากเลยหรือ?”

สีหน้าของจักรพรรดิเซิ่งยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพอป๋ายเสี่ยวฉุนที่เรือนกายเลื่อนสู่บุพกาลเคาะระฆังถึงได้มีสีหน้าแบบนี้ได้ และเมื่อมองอย่างละเอียด สีหน้านี้ของอีกฝ่ายก็ออกจะดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

โดยเฉพาะท่าตีของเขาที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนว่าจะไม่มีทางยุติลงง่ายๆ และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ส่องประกายลุกโชน แรงสะท้อนกลับจากการตีระฆังทำให้เขารู้สึกเหมือนได้รับการชำระล้างไปทั่วทั้งร่าง ภายใต้ความสะท้านสะเทือนของทุกคน เขาจึงตีระฆังถี่ยิบติดต่อกันอีกครั้งอย่างไม่มีความลังเล

ไม่นานก็ตีไปได้ห้าสิบครั้ง หกสิบครั้ง เจ็ดสิบครั้ง…

เสียงเกริกก้องอึงคะนึงไปทั้งฟ้าดิน โลกทั้งใบสั่นไหว มหาสมุทรแห่งนิรันดร์กาลและแม่น้ำแห่งนิรันดร์กาลต่างก็มีคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำไม่มีจังหวะหยุดพัก ส่วนกลุ่มแสงที่จำแลงมาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาลที่อยู่ในระฆังใบใหญ่กึ่งโปร่งแสงก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้ากะพริบวูบวาบถี่รัว และปราณแห่งการฟื้นตื่นก็แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีอำพราง

สุดท้ายภายใต้อาการสูดลมหายใจของเจ้าเต่าน้อย อาการตื่นเต้นของจักรพรรดิเซิ่ง และอาการปากอ้าตาค้างของทุกชีวิต กลุ่มแสงในระฆังก็พลันระเบิดเจิดจ้า ก่อนที่มันจะหดตัวเข้าหากันแล้วกลายมาเป็นดวงตาขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่ง!

เดิมทีดวงตาข้างนี้ปิดสนิท แต่ตอนนี้เมื่อขนตากระพือเบาๆ และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเคาะลงไปเป็นครั้งสุดท้าย….

มันก็ค่อยๆ …ลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า!

มารดาแห่งนิรันดร์กาล ฟื้นตื่น!!

วินาทีที่ดวงตาข้างนี้ลืมขึ้นมา แสงอรุโณทัยก็สาดส่องไปทั่วดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น เทือกเขา ธารน้ำทุกสาย ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าหรือแผ่นดินก็ล้วนแผ่แสงสว่างจ้า แสงสว่างสาดสะท้อนโลกทั้งใบประหนึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิต หากมองจากบนห้วงจักรวาลจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลในเวลานี้พร่างพราวอย่างถึงที่สุดประหนึ่งบุปผาดอกหนึ่งที่เบ่งบาน!

ส่วนทุกคนที่อยู่บนดินแดนเซียนนิรันดร์กาล ตอนนี้บนร่างของพวกเขาก็มีแสงแผ่ออกมา ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าพวกเขาจะมีตบะอะไรก็ตาม ความอบอุ่นนี้ก็ล้วนอาบล้นไปทั้งใจและกายของพวกเขา นั่นคือความสนิทสนมคุ้นเคย นั่นคือความรู้สึกอยากพึ่งพาอย่างหนึ่ง ราวกับบุตรได้พบเจอมารดา!

“มารดาแห่งนิรันดร์กาล!”

จักรพรรดิเซิ่งดีใจจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขาที่หายใจถี่กระชั้นมองไปยังดวงตาข้างนั้นแล้วโค้งตัวคำนับ

เจ้าเต่าน้อยเองก็เบิกตากว้างเหมือนกัน แต่กลับถอยไปหลบอยู่ข้างหลังจักรพรรดิเซิ่ง แล้วแอบมองดวงตาที่จำแลงมาจากมารดาแห่งนิรันดร์กาลราวกับวัวสันหลังหวะ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ใจสั่นไหว ความรู้สึกเหมือนได้พบมารดาแท้ๆ ทำให้เขาโค้งตัวลงคำนับต่ำๆ

“คารวะ มารดาแห่งนิรันดร์กาล!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version