Skip to content

A Will Eternal 1308


บทที่ 1308 ชี้นำและเปิดสติปัญญา

เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครั้ง การปรากฎของพืชพรรณเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นแบ่งแยกยุคสมัย ไม่นานพืชพรรณจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกใบแล้วใบเล่าที่มีความคล้ายคลึงกันด้านคุณสมบัติ แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของโลกแต่ละใบไม่เหมือนกันจึงมีความแตกต่างทางสีสัน ความต่างทางลักษณะก็ได้ก่อตัวขึ้นมา

พืชพรรณเหล่านี้แพร่พันธ์ขยายลามไปทั่ว กินพื้นที่ของมหาสมุทร กินพื้นที่ของแผ่นดิน ลามไปถึงเทือกเขา ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง…

ในเวลาหลายแสนปีต่อมา สิ่งมีชีวิตเล็กจ้อย สาหร่ายสีฟ้ารวมไปถึงสิ่งมีชีวิตร่างนิ่มที่ก่อตัวขึ้นเพราะได้รับแสงอาทิตย์ก็ได้กลายมาเป็นนายแห่งโลกหลายล้านใบในห้วงจักรวาล!

จนกระทั่งมีวันหนึ่งที่ในมหาสมุทรมีปลาถือกำเนิด ตรงริมชายฝั่งก็มีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนจะทั้งสามารถดำรงอาศัยอยู่ในน้ำทั้งสามารถอยู่บนบกถือกำเนิดขึ้นมา ภายใต้การจับจ้องมองจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะคล้ายคางคกซึ่งมีหน้าตาแตกต่างกันออกไปในโลกแต่ละแห่งทยอยกันถือกำเนิดขึ้นมา

และจนกระทั่งเขาได้เห็นเงาร่างของสัตว์ที่คล้ายคลึงกับจิ้งเหลนบนทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ดวงอาทิตย์ที่จำแลงมาจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงส่องประกายเจิดจ้ามากกว่าเดิม

และนาทีนั้นในจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในโลกทุกใบกลางห้วงจักรวาลก็ได้มีเสียงหนึ่งดังกึกก้องขึ้นมา

“ใกล้แล้ว…”

ยามที่เสียงนี้ดังออกมา พืชพรรณทั้งหมดล้วนยืดขยายร่าง สัตว์ทั้งหมดล้วนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสายตาสงสัย ปลาทุกตัวหยุดนิ่งอยู่ในน้ำ

แม้ว่าเหตุการณ์ผิดปกตินี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าภาพเหตุการณ์ที่สร้างความสงสัยนี้กลับได้กลายมาเป็นความทรงจำที่นาบลงไปในตราประทับแห่งชีวิตของพวกมัน เมื่อพวกมันออกล่าและเข่นฆ่ากันเองตามสัญชาตญาณ ตราประทับที่ว่านี้ก็ได้สืบทอดต่อกันไป

วงล้อแห่งการเวลาหมุนเวียนไปอีกครั้ง อาจจะแสนปี อาจจะล้านปี หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น…หลังจากที่สัตว์จำนวนมากถือกำเนิดขึ้นมา ในโลกนับล้านกลางห้วงจักรวาลก็มีสัตว์ปีกที่สามารถบินได้กลางอากาศอย่างนกถือกำเนิดขึ้นในท้ายที่สุด นกเหล่านั้นมีลักษณะหน้าตาแตกต่างกันออกไป แต่ละตัวต่างก็สยายปีกโบยบินอยู่ในโลกของใครของมัน

และการปรากฏตัวของสัตว์ปีกก็เหมือนจะเป็นการแบ่งยุคสมัยอีกครั้ง ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบกลางห้วงจักรวาลจึงเริ่มมีสัตว์จำนวนมากกว่าเดิมถือกำเนิดขึ้นมา ดูเหมือนว่าเนื่องด้วยสัตว์เหล่านี้คือสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว พวกมันจึงมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และการปรากฏตัวของพวกมันก็ทำให้ห้วงจักรวาลแห่งนี้ฟื้นตื่นอย่างสมบูรณ์แบบ!!

ในช่วงเวลานานนับกัปนับกัลป์ต่อมา โลกนับล้านในห้วงจักรวาลมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนวิวัฒนาการและแปรสภาพอย่างต่อเนื่อง พวกมันต่างก็เข่นฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงโอกาสในการมีชีวิตรอดต่อไป ภายใต้การชำระล้างและการคัดเลือกจากกาลเวลา เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคอยเยื้องกรายไปเยือนโลกทั้งหลายเหล่านั้น และภายใต้การจับตามองของเขา มีวันหนึ่งเขามองเห็นสิ่งมีชีวิตที่ลักษณะเหมือนลิงซึ่งเรียนรู้ที่จะใช้ก้อนหินในการต่อสู้ และเพื่อถือก้อนหินได้มั่นคงมากขึ้น พวกมันจึงไม่ได้ห้อตะบึงด้วยสี่ขาอีกแต่ไป แต่เริ่มลุกขึ้นยืนแล้วหัดเดินเตาะแตะ!

นาทีนั้นดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงคมกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภายใต้การจับตามองของเขา กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยสองขาในการเดินและวิ่งนี้ พวกเขาอยู่อาศัยกันรวมเป็นกลุ่ม พวกเขาล่าสัตว์ พวกเขาตกใจเมื่อเห็นฟ้าแลบบนท้องฟ้า และหวาดกลัวเมื่อฟ้าผ่าลงมาบนต้นไม้แล้วต้นไม้ติดไฟลุกไหม้!

และหลังจากที่เรียนรู้จะใช้อาวุธอย่างง่ายๆ แล้ว ในช่วงเวลาต่อมา พวกเขาก็กลายมาเป็นผู้พิชิตของโลกใบนี้!

กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพวกเขามีอยู่ในโลกทุกใบ ช่วงเวลาถัดมา ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นว่าในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่วิวัฒนาการไปคล้ายกับลิง บ้างก็แปรสภาพกลายมาเป็นสัตว์ปีก บ้างก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปรสภาพมาจากหิน และยังมีสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนว่าจะก่อตัวขึ้นมากลางอากาศ

เผ่าพันธุ์หลากหลายชนิดจำนวนมากมายเหลือคณานับต่างก็ค่อยๆ โดดเด่นขึ้นมาภายใต้กฎเกณฑ์แห่งโลกของใครของมัน!

ท่ามกลางขั้นตอนเหล่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้แค่มองสังเกตอย่างเดียวเท่านั้น แม้เขาจะไม่ได้ชี้นำวิธีการใช้อาวุธให้กับเผ่าพันธุ์เหล่านี้ แต่เขากลับชี้นำให้พวกเขานำกิ่งไม้ที่ติดไฟไปเป็นเชื้อเพลิงในเผ่าพันธุ์ของตัวเอง เขาชี้นำให้พวกเผ่าพันธุ์ที่เป็นสัตว์ปีกได้รู้จักใช้พลังงานของลม เขาชี้นำให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นหินรู้จักสร้างจิตสำนึกขึ้นมาเอง และท่ามกลางขั้นตอนของการพัฒนาแปรสภาพของแต่ละเผ่าพันธ์ก็ล้วนมีเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนดำรงอยู่ เขาคอยให้การชี้นำง่ายๆ เพื่อเปิดสติปัญญาให้แก่พวกเขา

“อะไรคือสติปัญญา…” ท่ามกลางความมืดมิด ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ก้มหน้าลงมองกลางหุบเขาที่รอบกองไฟขนาดใหญ่ยักษ์มีกลุ่มคนกำลังไชโยโห่ร้อง พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนังสัตว์หยาบๆ เสียงที่เปล่งออกมาก็เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ทว่าเมื่อพวกเขาจับจ้องมองกองไฟกลับแสดงท่าทางปิติยินดี นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับอาการครุ่นคิด

เนิ่นนานต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกมือขึ้นชี้ไปที่กองไฟ ทันใดนั้นกองไฟก็ลุกโชติช่วงคุโชนจนเกิดเสียงเผาไหม้รุนแรง เป็นเหตุให้ผู้คนที่อยู่รอบด้านร้องอุทานด้วยความตกใจ พากันถอยกรูดออกห่าง แต่ละคนตัวสั่นเทิ้มทำท่าคล้ายจะหนีห่างไปให้ไกลจากที่แห่งนี้

ทว่าเวลานี้เอง จู่ๆ คนป่าคนหนึ่งในนั้นก็ชี้ไปที่กองไฟแล้วเปล่งเสียงที่ฟังดูร้อนรน ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เสียงของเขาดึงความสนใจจากคนป่าคนอื่นๆ พวกเขาจึงพากันหยุดชะงักแล้วหันไปมอง ครั้นแล้วพวกเขาก็เห็นว่าภายใต้การระเบิดปะทุของเปลวเพลิงมีเงาร่างหนึ่งจำแลงขึ้นมาในกองไฟ

เงาร่างนั้นสวมชุดคลุมยาวที่พวกเขาไม่รู้จัก เส้นผมยาวปลิวไสว สูงใหญ่เกินจะเปรียบ ร่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงเหมือนกำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกล…นี่ก็คือเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จ้องมองไปยังพวกคนป่าที่อยู่ตรงหน้า เขาอยากรู้ว่าเมื่อมองเห็นเงาร่างของตนในเปลวเพลิง มนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์เหล่านี้จะทำอย่างไร

ไม่นานพวกคนป่าที่อยู่รอบกองไฟก็พากันร้องอุทานดังอื้ออึง คนแรกที่ค้นพบความผิดปกติของเปลวเพลิงพลันคุกเข่าหันหน้าเข้าหากองไฟแล้วหมอบกราบลงกับพื้นราวกับล้มเลิกความคิดทุกอย่างที่จะต่อต้าน นัยน์ตาก็ยิ่งฉายความเคารพเลื่อมใสอย่างเร่าร้อน

และเมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น พวกคนป่าทุกคนที่อยู่รอบด้านก็พากันเลียนแบบ ภายใต้สายตาที่ฉายความกระตือรือร้นอย่างเร่าร้อนของพวกเขา

นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววแห่งการกระจ่างแจ้ง ก่อนที่เงาร่างของเขาในเปลวเพลิงจะค่อยๆ พร่าเลือนช้าๆ จนกระทั่งหายไป ทว่าวินาทีที่กำลังจะหายไปนั้นเอง แสงของกองเพลิงนี้ก็ได้สาดส่องไปทั่วชั้นฟ้า ปราณของความยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้นทำให้สัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในเทือกเขาแถบนี้ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ในช่วงเวลาต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นว่าทุกครั้งที่คนป่ากลุ่มนี้มองไปยังกองไฟ สายตาของพวกเขาจะต้องฉายแววแห่งความเคารพเลื่อมใส และทุกครั้งที่กลับมาจากการล่าเหยื่อก็จะต้องเอาอาหารบางส่วนที่ล้ำค่าส่งเข้าไปในกองไฟ

หลังจากมองเห็นว่ากองไฟเผาไหม้อาหารพวกนั้นจนดำเกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่าน ประกายเร่าร้อนในดวงตาของพวกเขาก็ยิ่งเข้มข้น แล้วก็ล้อมวงหมอบกราบอยู่รอบกองไฟอีกครั้ง ราวกับว่ากำลัง…เคารพบูชา!

ซ้ำเมื่อคนป่าคนแรกที่ก้มหมอบกราบยามเห็นเงาร่างในกองเพลิงใช้ของเหลวจากพืชพรรณบางอย่างมาวาดภาพเงาร่างในกองเพลิงลงบนร่างตัวเองอย่างง่ายๆ ตำแหน่งฐานะของเขาในเผ่าพันธุ์นี้ก็แตกต่างไปจากเดิมทันที ภาพเหตุการณ์นี้สร้างแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน

เขาเข้าใจได้ในฉับพลัน

“การเปิดสติปัญญา ก็คือ…จินตนาการ!”

“จินตนาการว่าก้อนหินเอามาทำเป็นอาวุธได้!”

“จินตนาการว่าไฟสามารถขับไล่ความมืดมิด!”

“จินตนาการถึงเรื่องที่ไม่มีอยู่ จินตนาการว่ามีทวยเทพ เพื่อที่จะกราบไหว้บูชา และถึงขั้นเอามาวาดเป็นรูปภาพ…”

“เพราะว่ามีจินตนาการ ถึงได้เกิดการกระทำ และเมื่อทุกอย่างนี้มารวมเข้าด้วยกัน จึงกลายมาเป็นต้นกล้าแห่งสติปัญญา!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงเจิดจ้า เขามองเผ่าพันธุ์นี้อยู่นานมาก ก่อนจะหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็ได้ไปเยือนโลกอีกใบหนึ่งเพื่อเริ่มขั้นตอนการเปิดและโน้มนำจินตนาการให้แก่กลุ่มเผ่าพันธ์จำนวนนับไม่ถ้วน

เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกครั้ง ภายใต้การชี้นำและการเปิดสติปัญญาจากป๋ายเสี่ยวฉุน กลุ่มเผ่าพันธ์ทั้งหลายที่อยู่ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบกลางห้วงจักรวาลต่างก็ถูกเปิดจินตนาการ เมื่อพวกเขาเชื่อว่าบนโลกมีพลังงานที่น่าเหลือเชื่อดำรงอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลายมาเป็นดั่งเทพเจ้าในใจของเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนไปโดยไม่รู้ตัว…

ในขั้นตอนการพัฒนาของเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่าท่ามกลางการก่อกำเนิดของต้นกำเนิดชีวิตพวกเขา ตราประทับที่นาบลงในจิตวิญญาณของเผ่าพันธ์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ล้วนมีเงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนดำรงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

แทบทุกเผ่าพันธุ์จะต้องมีรูปปั้นของเขาไว้กราบไหว้บูชา บ้างก็มองเห็นเขาเป็นดวงอาทิตย์ บ้างก็มองเห็นเขาเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง บ้างก็มองเขาเป็นเทพเจ้า…ในบรรดาเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนนี้ เขามีชื่อเรียกมากมาย บ้างก็เรียกเขาว่าดวงอาทิตย์ บ้างก็เรียกเขาว่าสารพัดนึก บ้างก็เรียกเขาว่าเทพบิดร บรรพบุรุษหิน พระพายศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น

ขณะเดียวกันเมื่อเผ่าพันธุ์เหลือคณานับเหล่านี้พัฒนาและเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องท่ามกลางกาลเวลาที่ผันผ่าน เมื่อสิ่งมีชีวิตสูงสุดที่เป็นผู้นำในแต่ละโลกก่อกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริง อารยธรรมก็ปรากฏขึ้น

ขนบธรรมเนียมและอารยธรรมของแต่ละโลกไม่เหมือนกัน บ้างก็สร้างเมือง บ้างก็สร้างประเทศ บ้างก็สร้างครอบครัว บ้างก็ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว บ้างก็ยึดครองท้องฟ้าก้มหน้ามองดิน บ้างก็ใช้ชีวิตอยู่ใต้ดิน ฯลฯ …อารยธรรมสารพัดรูปแบบมากมายเกินจะนับได้ไหวทยอยกันรุ่งโรจน์ขึ้นมาในห้วงจักรวาลแห่งนี้

แต่ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหน อารยธรรมไหนก็ตาม เมื่อพัฒนามาได้ถึงระดับนี้ พวกเขาก็อยากจะใกล้ชิดกับทวยเทพตามสัญชาตญาณโดยไม่ได้นัดหมายกัน เพราะหวังว่าจะได้พลังลึกลับมาทำให้ตัวเองกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหมือนกับเทพเจ้า

สำหรับเรื่องทุกอย่างนี้ เมื่อผ่านการไตร่ตรองมาดีแล้ว เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เยื้องกรายมาเยือนโลกทั้งหลายในห้วงจักรวาลอีกครั้งเพื่อทำการชี้นำและเปิดสติปัญญาให้เป็นครั้งสุดท้าย

เขาแปรเปลี่ยนอุดมคติของการฝึกบำเพ็ญตนให้กลายเป็นเมล็ดพันธ์ที่สาดโปรยไปทั่วห้วงจักรวาล

หลายพันปีต่อมา ทุกโลก ทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็เริ่มมีคนที่มีพลังลึกลับปรากฏขึ้น…บัดนี้โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในโลกวิญญาณนิรันดร์กาลยุคใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริง!

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version