บทที่ 1307 จุดเริ่มต้น
บนโลกใบนี้มีพลังงานอย่างหนึ่งที่เมื่ออยู่บนร่างของคนบางคนจะสามารถขยายใหญ่ได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่เมื่อไปอยู่บนร่างของคนบางคนกลับหดเล็กลงอย่างมิอาจประเมินได้ เมื่ออยู่บนร่างของคนบางคน มันสามารถแข็งแกร่งจนถึงขั้นเขย่าคลอนฟ้าดิน แต่เมื่ออยู่บนร่างของคนบางคนกลับอ่อนจางราวกับเพียงแค่ลมพัดมาแผ่วๆ ก็มอดดับลงได้
มันสามารถทำให้ปณิธานแห่งชีวิตดำรงอยู่ยาวนาน แล้วก็สามารถทำลายทิ้งสิ้นซากได้ในเสี้ยววินาที
พลังงานเช่นนี้ เรียกว่าทิฐิ
ความคิดที่จะงมโลกแห่งนิรันดร์กาลออกมาจากในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ก็คือทิฐิมานะของป๋ายเสี่ยวฉุน ทิฐินี้แรงกล้า เข้มข้น จนกลายมาเป็นความดึงดันยึดมั่น กลายมาเป็นทุกสิ่งที่ประคับประคองชีวิตอันเดียวดายของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้!
“ไม่มีนิรันดร์กาล ข้าก็จะสร้างนิรันดร์กาล!”
“ไม่มีต้นกำเนิด ข้าก็จะสร้างต้นกำเนิด!”
“ไม่มีชีวิต ข้าก็จะสร้างชีวิต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองไปยังจุดที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลหายไป ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆ ฉายแววเร้นลึก
เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงหลับตาลงปิดทับความเร้นลึกในแววตา ครั้นแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงกลางห้วงจักรวาล ตรงตำแหน่งเดียวกับที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลหายไป
ในอดีตเขาไม่เคยพิจารณาว่า เหตุใดๆ ทั้งที่โลกทงเทียนอยู่ในร่างของบรรพบุรุษขุย แต่กลับยังมีแสงอาทิตย์สาดส่อง และเขาก็ไม่เคยคิดทบทวนดูว่า เหตุใดเมื่อห้วงจักรวาลมืดมิด แต่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลกลับยังมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นและตก
ต่อให้เป็นตอนที่เขากลายเป็นบุพกาลก็ยังไม่เคยตระหนักได้ถึงปัญหาข้อนี้ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตของผู้บงการ เขาจึงมีคุณสมบัติมากพอให้ไขคำตอบของทุกสิ่งนี้ แต่เนื่องด้วยศึกสงครามกับนี่ฝาน ทำให้เขาไม่มีเวลาไปคิดพิจารณา จนกระทั่งบัดนี้ที่เดินอยู่ในห้วงจักรวาล ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้มีคำตอบ โลกทงเทียนก็ดี ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลก็ช่าง พระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ขึ้นและตกให้เห็นในบุปผาแห่งนิรันดร์กาลล้วนจำแลงขึ้นมาจากฝีมือของมารดาแห่งนิรันดร์กาลทั้งสิ้น เพราะว่า…
“ชีวิต จำเป็นต้องพึ่งแสงอาทิตย์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ เมื่อดวงตาทั้งคู่ลืมขึ้น ตาซ้ายของเขาก็ฉายแสงเป็นประกายเจิดจ้า ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นแสงสว่างโชติช่วงดุจแสงของดวงอาทิตย์
แสงในดวงตาข้างซ้ายนี้มาจากดวงตาสุริยาที่ได้มาจากการฝึกวิชาคาถาบรรพจารย์แปรเปลี่ยนในปีนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน ตอนนี้เมื่อเขาอยู่ในขอบเขตผู้บงการ แสงนี้จึงระเบิดออกมาอย่างไรที่สิ้นสุด วินาทีที่แสงนี้สาดส่องก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้วงจักรวาล เจิดจ้าอยู่ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบของห้วงจักรวาล สุดท้ายพอไปรวมตัวกันก็กลายมาเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่ยักษ์หลายกลุ่ม จนกระทั่งกลายมาเป็นดวงอาทิตย์ในท้ายที่สุด!!
นั่นคือดวงอาทิตย์หนึ่งล้านแปดหมื่นดวง ขณะเดียวกัน…พวกมันก็ล้วนเป็นดวงตาข้างซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน!
เมื่อพระอาทิตย์ปรากฎ ห้วงจักรวาลก็แตกต่างไปจากเดิมในชั่วพริบตา ซากปรักหักพังหนึ่งล้านแปดหมื่นแห่ง บัดนี้ล้วนพร้อมใจกันสั่นสะเทือน ยังไม่สิ้นสุด วินาทีนี้ดวงตาข้างขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดแสงออกมาเช่นกัน แสงนี้อ่อนโยนนุ่มนวล เพราะนั่นคือ…ดวงตาจันทรา!
โลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบมีดวงอาทิตย์แล้ว แล้วจะไม่มีดวงจันทร์ได้อย่างไร พระจันทร์หนึ่งล้านแปดหมื่นดวงจึงก่อตัวขึ้นมา และนับแต่นี้ไปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ในโลกของห้วงจักรวาล มีทั้งค่ำคืนที่มืดมิด มีทั้งกลางวันที่สว่างเจิดจ้า มีแสงสุริยา และมีแสงจันทรา!
พระอาทิตย์และพระจันทร์ของดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเกิดจากการจำแลงและสร้างขึ้นจากมารดาแห่งนิรันดร์กาล
แต่พระอาทิตย์กับพระจันทร์ในเวลานี้ พวกมันไม่ใช่ภาพมายา พวกมันมีอยู่จริง เพราะพวกมันต่างก็เป็นดวงตาทั้งสองข้างของป๋ายเสี่ยวฉุน!
“มีพระอาทิตย์และพระจันทร์ มีขาวและดำ ยังจำเป็นต้องมีเมล็ดพันธ์…เมล็ดพันธ์แห่งชีวิต…” ท่ามกลางเสียงพึมพำ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มแน่นิ่ง แต่กลับมีปราณแห่งชีวิตที่กลายมาเป็นเมล็ดพันธ์ซึ่งลอยออกมาจากในร่างของเขาแล้วฝังลึกลงไปในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบประหนึ่งเชื้อเพลิง
ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงนั่งเข้าฌานเหมือนจะไม่ขยับลุกขึ้นมาอีก แต่จะเฝ้าพิทักษ์อยู่ตรงตำแหน่งที่บ้านเกิดหายไปแบบนี้ตลอดกาล ทว่าดวงตาของเขากลับแผ่อยู่เต็มห้วงจักรวาล เงาร่างของเขา…ก็สามารถจำแลงขึ้นได้ทุกที่ในห้วงจักรวาลแห่งนี้เช่นกัน
เวลาผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ปีแล้วปีเล่าล่วงเลยผ่านไป พระอาทิตย์และพระจันทร์ในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบสับเปลี่ยนหมุนวน เป็นเหตุให้ซากปรักหักพังแต่ละแห่งเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตื่น และเริ่มมีพลังชีวิตปรากฏ
เมล็ดพันธ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพาะลงไปก็เริ่มฟักตัวหล่อเลี้ยงโลกทุกใบ
จนกระทั่งผ่านไปได้หนึ่งแสนปี…
โลกเกิดการแปรสภาพวิวัฒนาการ ทะเลกลายเป็นทุ่งนา ทุ่งนากลายเป็นทะเล พระอาทิตย์และพระจันทร์ยังคงเคลื่อนโคจรเปลี่ยนผัน ในห้วงนทีแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเป็นประจักษ์พยาน สงครามในปีนั้นที่ผ่านมานานแสนนานกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของความว่างเปล่า และแม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังกลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายมาเป็นคนที่ไม่มีใครจดจำอดีตของเขาได้
ซากปรักหักพังหนึ่งล้านแปดหมื่นใบในโลกวิญญาณนิรันดร์กาลก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ท่ามกลางการหมุนเวียนของพระอาทิตย์และพระจันทร์ ภายใต้ลมและฝนแห่งกาลเวลา เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุน เศษซากสิ่งปลูกสร้างที่พังภินท์แต่ละแห่งได้กลายมาเป็นเถ้าธุลีที่ค่อยๆ สลายหายไปตามเวลาที่ล่วงพ้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในโลกแห่งหนึ่งที่เคยเป็นเพียงซากปรักหักพังได้มี…สิ่งมีชีวิตอย่างแรกถือกำเนิดขึ้นมาในห้วงจักรวาลแห่งนี้!
สิ่งมีชีวิตนี้เล็กจ้อยเกินไปจนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ต่อให้ใช้อำนาจจิตก็ยังจำเป็นต้องเพ่งมองอย่างตั้งใจมากๆ ถึงจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมัน นี่คือสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งที่ไม่มีจิตสำนึก อ่อนแอเปราะบางอย่างถึงที่สุด แต่กระนั้นก็เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ดูเหมือนว่าที่พวกมันปรากฎตัวขึ้นมาได้ก็เพราะได้แสงอาทิตย์สาดส่องอาบไล้ แม้แต่ตรงพื้นที่ที่ดินแดนเซียนนิรันดร์กาลเคยหายไปในปีนั้น ตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งเข้าฌานอยู่ตอนนี้ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยเหล่านี้ปรากฏด้วย
การถือกำเนิดของพวกมันเหมือนจะทำให้ห้วงจักรวาลที่เงียบสงัดแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แม้ความเงียบจะยังคงอยู่ แต่พลังชีวิตกลับยิ่งเข้มข้นและอุดมสมบูรณ์มากขึ้นทุกขณะ ดวงตาทั้งคู่ที่จำแลงมาเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ของป๋ายเสี่ยวฉุนมองสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เงียบๆ มองพวกมันเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงซากปรักหักพังหนึ่งล้านแปดหมื่นแห่ง…ในอีกหลายแสนปีต่อมา
บางทีไม่ควรจะเรียกว่าซากปรักหักพังอีกแล้ว เพราะโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบในตอนนี้เหมือนกลายมาเป็นฟ้าดินที่ถือกำเนิดใหม่ มองไม่เห็นร่องรอยเศษซากของความผุพังมาก่อน ซ้ำในโลกหลายใบที่พอผ่านฝนผ่านลมมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วนก็ได้มีมหาสมุทรปรากฎขึ้นแล้ว
และยังมีโลกไม่น้อยที่เริ่มมีเทือกเขา ฝุ่นผงกลายมาเป็นดินโคลน
จนกระทั่งวันหนึ่งในมหาสมุทรผืนหนึ่งมีสิ่งมีชีวิตประเภทสาหร่ายสีฟ้าผุดขึ้นเป็นแถบๆ พวกมันแผ่อวลไปทั่วน้ำทะเลอย่างเงียบเชียบ เมื่ออยู่ในโลกที่แตกต่างกันก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน ต่อให้เป็นโลกที่ไม่มีน้ำทะเล แต่ในดินโคลนก็ยังมีสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ปรากฎขึ้น
ตอนที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เผยตัว เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนได้เยื้องกรายมายังมหาสมุทรในโลกใบหนึ่ง เขาก้มหน้าลงมองน้ำทะเลเงียบๆ ก่อนจะใช้มือขวาจุ่มลงไปงมเอาสาหร่ายสีฟ้าพวกนี้ขึ้นมาจากน้ำทะเลแล้วหลับตาลง
“ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…” เนิ่นนานต่อมา เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไป สาหร่ายสีฟ้าในมือของเขาก็จมลงกลับคืนสู่มหาสมุทรใหญ่อีกครั้ง
ช่วงเวลาต่อมา สาหร่ายสีฟ้าและสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงมหาสมุทร เปลี่ยนแปลงพื้นดิน แล้วก็ลามมาเปลี่ยนแปลงโลก ทำให้พลังชีวิตในโลกหนึ่งล้านแปดหมื่นใบยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
โลกบางแห่ง นภากาศเป็นสีครามสดใส แสงอาทิตย์สว่างจ้าจนมองเห็นหมู่ก้อนเมฆสีขาว บริสุทธิ์จนทำให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
และยังมีโลกบางแห่งที่แม้พื้นดินจะแตกระแหง อากาศร้อนแผดเผา แต่ในโลกแบบนี้ก็ยังมีลางว่าจะมีพลังชีวิตฟื้นตื่นขึ้นมา
โลกทั้งหนึ่งล้านแปดหมื่นใบใช่ว่าจะมีมนุษย์อยู่ในโลกทุกใบ แต่มีเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน มีกฎเกณฑ์มากเกินกว่าจะคำนวณ และภายใต้การแปรสภาพของต้นกำเนิดอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้นี้ก็ได้ก่อให้เกิดกฎเกณณ์ที่สอดคล้องกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัยในดินแดนของใครของมัน
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องมองโลกเหล่านี้ เงาร่างของเขาเคยเยื้องกรายไปเยือน เคยเข้าไปสำรวจในโลกมากมาย จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายแสนปี ในโลกแต่ละใบเริ่มมีสิ่งมีชีวิตร่างนิ่มที่ไร้กระดูก บ้างก็มีกระดองมีเปลือก บ้างก็ไม่มีเปลือกห่อหุ้ม ลักษณะของพวกมันแปลกประหลาดอย่างมาก บ้างก็ชอบจู่โจม บ้างก็อ่อนโยนใจดีอย่างยิ่ง
และยังมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อยที่อัศจรรย์ยิ่ง เพราะพอแตะสัมผัสโดนก็หายวับไปในพริบตา…
ทว่าการปรากฏตัวของพวกมันกลับทำให้โลกในห้วงจักรวาลแห่งนี้ที่เดิมทีจืดชืดไร้ชีวิตชีวากลับมีสีสันเพิ่มเติมเข้ามา และพอพวกมันปรากฎตัว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานอีกกี่ปี บนพื้นดินในโลกใบหนึ่ง ในที่สุดก็มี…พืชต้นหนึ่งงอกขึ้นมา!!
นี่คือพืชพรรณที่มีลักษณะคล้ายหญ้า แต่ก็ไม่เหมือนพืชพรรณทั่วไป มันมีขนาดเล็กมาก ประมาณเล็บมือเท่านั้น และหากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าในร่างของมันเหมือนจะมีหลอดเลือดเล็กๆ คล้ายเส้นผมอยู่มากมาย…
เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ข้างพืชพรรณชนิดนี้ เขาย่อตัวนั่งยองๆ มองพืชพรรณตรงหน้าที่บอบบางแต่กลับทนทาน สัมผัสถึงพลังชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างของมัน ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
“ใกล้แล้ว…จริงๆ …”