Skip to content

A Will Eternal 15

บทที่ 15 วิชาอมตะมิวางวาย

แสงจันทร์กระจ่างลอดผ่านกลุ่มเมฆหมอกออกมาบางๆ ส่องกระทบลงบนเขาเซียงอวิ๋นแห่งสำนักธาราเทพ ทำให้ทั้งยอดเขาปรากฏเป็นภาพงดงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ช่วงกลางด้านตะวันออกของภูเขาลูกนี้ ปลายทางเดินภูเขาที่แยกออกไปเส้นหนึ่งมีลานแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ลานแห่งนี้ขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งไร่ รอบด้านมีพืชพรรณดอกไม้ส่งกลิ่นหอม เป็นความงามโดดเด่นเฉพาะตัว ในลานมีบ้านไม้หลังหนึ่ง ด้านในไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเก้าอี้หรือเตียงล้วนทำมาจากไม้สีม่วงทั้งสิ้น ไม้จันทร์ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ กระจายออกมา ซึ่งเขตงานนักการมิอาจเทียบเคียงได้เลย

ในลานนอกบ้านมีไร่นาที่ถูกไถดินผืนหนึ่ง ตรงมุมยังมีบ่อน้ำหนึ่งบ่อ เมื่อมาอยู่ภายใต้แสงจันทร์ในเวลานี้แล้ว ทำให้นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองไปรอบกายเผยความพึงพอใจ

“ศิษย์ฝ่ายนอกถือเป็นศิษย์ที่สำนักธาราเทพให้การยอมรับแล้ว การดูแลแน่นอนว่าต้องดีกว่าเป็นนักการเยอะมาก บ้านพักที่โดดเด่นไม่เหมือนใครนี้ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินศิษย์พี่ใหญ่พูดว่าหากสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนักได้ ก็จะได้อยู่ในถ้ำเทวา…ไม่รู้ว่าในถ้ำจะรูปร่างเป็นยังไง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองไปทางยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋น

ภูเขาเซียงอวิ๋นทั้งลูกนี้ มีเพียงศิษย์ฝ่ายในของสำนักเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติได้อยู่อาศัยในช่วงครึ่งบนของยอดเขา

ไม่นานเขาก็ดึงเอาสายตากลับมา บิดขี้เกียจอยู่ในบ้านไม้ หยิบเอาถุงเก็บของออกมาตบเบาๆ หนึ่งที ทันใดนั้นด้านหน้าก็ปรากฏขวดยาหนึ่งขวด แล้วก็ยังมีธูปสีเขียวอีกหนึ่งดอก

“ของดีแฮะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถือถุงเก็บของไม่วางมือ ผ่านไปเนิ่นนานสายตาจึงมาตกอยู่บนขวดยาและธูปเขียว ขวดยามีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งอยู่ และมีอักษรว่ารวมวิญญาณเอาไว้ ส่วนบนธูปสีเขียวก็สลักคำว่าขึ้นฟ้า ตอนที่เขาเป็นนักการก็เคยได้รับของทำนองนี้เช่นกัน เมื่อกลืนกินลงไปแล้วพลังจึงเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ตัวธูปหลังจากที่จุดแล้วให้สูดกลืนควันเข้าไป ส่วนยาก็กิน ผลที่ได้ล้วนไม่ต่างกัน

“จะกลืนลงไปทั้งอย่างนี้ออกจะสิ้นเปลืองไปหน่อย ไม่สู้หลอมพลังจิตก่อนแล้วค่อยใช้ บางทีอาจจะทำให้พลังของข้าทะลุเพดานไปเลยก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงตัดสินใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีฟืนหนึ่งสี เขากะว่าพรุ่งนี้จะลงเขาไปเอามา

คิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งไขว้ขา เริ่มฝึกวิชา สำหรับเรื่องการวิชานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เคยคิดล้มเลิกแม้แต่นิด ต่อให้ช่วงหลายวันมานี้ความคืบหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ยังคงยืดหยัดทำอยู่ทุกวัน

เขาบำเพ็ญเพียรก็เพื่อเป็นอมตะ ดังนั้นจึงมีมานะในการฝึกวิชาอย่างยิ่ง

หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เช้าตรู่แสงรุ่งอรุณสาดพร่างพรม หลอมรวมเข้ากับกลุ่มเมฆหมอก ทำให้ในหมอกมีแสงเปล่งประกายที่สะท้อนหักเหออกมาเป็นสีสันงดงามจับตา ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกวิชามาทั้งคืน หลังจากที่ลืมตาเขาก็รู้สึกจิตใจฮึกเหิม สวมชุดของศิษย์ฝ่ายนอกเดินเร็วๆ ออกมาจากบ้านไม้ มุ่งไปยังหอคัมภีร์ตามตำแหน่งที่ศิษย์พี่โหวบอกไว้เมื่อวานนี้

หอคัมภีร์อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา ห่างจากที่พักของเขาค่อนข้างไกล เดินมาได้ครึ่งชั่วยาม เขาถึงได้เห็นหอขนาดสูงแห่งหนึ่งไกลๆ ที่นั่นมีแสงพร่างพรายหมุนวน มีพลานุภาพบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากภายในปกคลุมไปทั่วทิศ

ระหว่างทางเจอลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนมีลักษณะรีบร้อน หลังจากสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกวิชาได้เพียงขั้นรวมลมปราณที่สามก็ยิ่งมองเมิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่ยิ่งระมัดระวังฝีเท้ามากขึ้น ศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่เขาเจอตลอดทางมานี้ล้วนมีพลังมากกว่าเขา ถึงกระทั่งที่ว่าบางคนทำให้เขารู้สึกถึงความลึกล้ำที่มิอาจประเมินได้ รอบกายของคนเหล่านี้มักจะรายล้อมไปด้วยศิษย์จำนวนไม่น้อยที่เดินส่งยิ้มบางๆ ผ่านร่างเขาไป

ยิ่งเข้าไปใกล้หอคัมภีร์ ศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งมีมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะเข้าไปใกล้ ในเวลานั้นเองสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งบินมาจากยอดเขาที่อยู่ห่างไกล หลังจากวนรอบเขาเซียงอวิ๋นหนึ่งรอบแล้วก็พุ่งทะยานไปยังขอบฟ้า

สามารถมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ภายในสายรุ้ง ใต้ฝ่าเท้าเหยียบล้อหนึ่งไว้ บินวนไปด้วยความรวดเร็ว

“นั่นเฉียนต้าจินจากศาลาพิพากษ์ ศิษย์พี่เฉียน!”

“ศิษย์พี่เฉียนคือศิษย์ฝ่ายในของสำนัก แถมได้อยู่ในศาลาพิพากษ์ ชื่อเสียงเลื่องลือ ว่ากันว่าฝึกวิชาได้ถึงการรวมลมปราณขั้นเก้าอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว สามารถยืมใช้ของวิเศษมาช่วยในการโบยบินได้ในระยะเวลาสั้นๆ น่าอิจฉานัก”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองด้วยความอิจฉาเช่นกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายหายลับไปที่ขอบฟ้า ถึงได้ปลงอนิจจังอยู่ในใจ

“รอวันใดที่ข้าบินได้แล้ว ข้าเองก็จะเลือกเวลาที่คนเยอะๆ บินวนบนเขาเซียงอวิ๋นหลายๆ รอบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบวาดหวังอยู่กับตัวเอง เดินสวนกลุ่มคนมายังด้านในหอคัมภีร์

หอแห่งนี้ใหญ่มาก ชั้นที่หนึ่งว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะยาวหนึ่งตัว ด้านหลังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งหลับตาอยู่ ลูกศิษย์ทุกคนที่เดินผ่านคนผู้นี้ล้วนวางป้ายคำสั่งไว้บนโต๊ะยาว รอให้มีแสงวาบขึ้นหนึ่งที จึงจะคำนับแล้วเดินจากไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปพลางเลียนแบบคนอื่น เมื่อวางป้ายคำสั่งลงบนโต๊ะก็มีแสงวาบขึ้นบนป้ายอย่างรวดเร็ว เขารีบหยิบขึ้นมาแล้วเดินขึ้นบันไดตามศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหน้า มาถึงยังชั้นที่สองของหอคัมภีร์

สถานที่แห่งนี้มีชั้นวางอยู่มากมาย ด้านบนจัดวางม้วนตำราแผ่นหยกเอาไว้เป็นแถว บางจุดก็มีตำราไม้ไผ่อยู่ด้วย ทุกม้วนล้วนมีแสงอ่อนๆ ปกคลุม ทำให้ชั้นที่สองของหอคัมภีร์ดูแล้วไม่ธรรมดา

ห่างออกไปไม่ไกลมีบันไดแถวหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบกายแล้วเดินไปทางบันได ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้น ทันใดนั้นก็มีแสงหนึ่งปรากฏขึ้นและดีดเขากลับมา

ชายหนุ่มคิ้วดกหนาคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกำลังเปิดตำราไม้ไผ่ หลังจากสัมผัสถึงเหตุการณ์นี้ก็เงยหน้าขึ้นกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที

“ศิษย์พี่ ชั้นที่สามนี้ต้องมีคุณสมบัติเช่นไรหรือถึงจะขึ้นไปได้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าน่าเอ็นดู ถามชายหนุ่มคิ้วหนาด้วยความอยากรู้

“เจ้าคือศิษย์ที่มาใหม่สินะ ที่นั่นต้องฝึกการรวมลมปราณได้ถึงขั้นที่ห้าถึงจะขึ้นไปได้” ชายหนุ่มเอ่ยปากเรียบๆ ก้มหน้าอ่านตำราไม้ไผ่ต่อ ไม่พูดอะไรอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ใครรบกวน ดังนั้นจึงไม่พยายามขึ้นไปชั้นที่สามอีก แต่เริ่มเดินเตร่อยู่ที่ชั้นสอง หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาดู เปิดอ่านตำราไม้ไผ่บางส่วนไปมา เห็นวิชายุทธ์มากมายที่อยู่ด้านใน เขาล้วนเกิดความสนใจทั้งสิ้น

โดยเฉพาะวิชาวิถีอัคคี ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่เลว

ไม่นานนัก เขาก็หาแผ่นหยกของวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางเจอ ข้างในมีรูปภาพและสูตรของขั้นที่สี่ถึงขั้นที่แปด ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหยิบมาไว้ในมือและเริ่มเดินเตร่อีกครั้ง

เวลาผ่านไป ไม่นานด้านนอกก็ใกล้จะถึงยามสายัณห์แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเดินได้ครบเจ็ดส่วนของชั้นที่สอง ผู้คนที่อยู่รอบกายก็ลดน้อยลงไปเยอะ

“มีเจ็ดแปดอย่างที่ดูแล้วไม่เลว…” ขณะที่ในใจของเขากำลังชั่งน้ำหนักว่าจะเลือกอันไหนนั้น มือก็หยิบตำราไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งม้วน ตำราไม้ไผ่ม้วนนี้ค่อนข้างชำรุดเสียหาย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงมองแวบเดียวดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาในทันที นัยน์ตาเผยความตื่นเต้นและฮึกเหิม

“วิชาอมตะมิวางวาย!!”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก อ่านคำแนะนำของวิชายุทธ์นี้อย่างละเอียด รู้ว่านี่คือวิชายุทธ์ที่ใช้ฝึกฝนร่างกายวิชาหนึ่ง หากทำสำเร็จได้ส่วนใหญ่ ก็แทบจะสามารถทำให้คนเป็นอมตะไม่มีวันตายได้

ลมหายใจของเขาถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน อ่านชื่อวิชายุทธ์นี้อีกครั้งก็ตัดสินใจเลือกวิชายุทธ์นี้ในทันที!

เขาบำเพ็ญเพียรก็เพื่อเป็นอมตะ ได้เห็นวิชายุทธ์นี้ในเวลานี้ พลันก็ให้รู้สึกว่าตนเองกับวิชายุทธ์นี้มีโชคชะตาต้องกันอย่างลึกล้ำ ดังนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หยิบเอาตำราไม้ไผ่เดินลงบันไดไป

ในโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวยาวยังคงหลับตาเช่นเดิมไม่ต่างไปจากตอนเช้า แต่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนวางแผ่นหยกวิชาลมปราณม่วงควบคุมกระถางรวมถึงตำราไม้ไผ่วิชายุทธ์อมตะมิวางวายวางลงบนโต๊ะ ดวงตาทั้งคู่ของท่านผู้เฒ่าก็ค่อยๆ ลืมขึ้น กวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที

สายตานี้ทำให้ร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน เขารู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายดุจดั่งสายฟ้า ทำให้ผู้ที่เห็นตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่หนาว ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทำท่าคำนับออกมา

ยังดีที่ท่านผู้เฒ่าเก็บสายตาไปอย่างรวดเร็ว มองไปที่ป้ายแทนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแทน

“ศิษย์ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ สามารถคัดลอกแปดขั้นแรกของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางไปได้หนึ่งฉบับ แล้วยังสามารถเลือกวิชายุทธ์นอกเหนือจากนั้นได้อีกหนึ่งวิชา” ผู้เฒ่าเอ่ยปากเนิบนาบ น้ำเสียงแหบแห้ง ขณะที่พูดสายตาของเขาไปตกอยู่บนตำราไม้ไผ่วิชาอมตะมิวางวาย ขมวดคิ้วน้อยๆ

“วิชายุทธ์นี้ถึงแม้จะบรรยายเอาไว้อย่างน่าตกตะลึง แต่ก็เป็นแค่บทที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น อีกทั้งระดับความยากในการฝึกสูงยิ่ง ความเจ็บปวดทรมานมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทนได้ ที่แล้วมามีศิษย์ฝ่ายในน้อยคนนักที่ฝึกได้สำเร็จ ส่วนใหญ่ล้วนถอดใจ ดังนั้นจึงถูกเก็บอยู่ในหอคัมภีร์นี้มานานมากแล้ว เจ้าแน่ใจรึว่าจะฝึกวิชานี้?” ผู้เฒ่ามองป๋ายเสี่ยวฉุน

“ผู้อาวุโส ศิษย์แน่ใจอย่างยิ่ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่า พลันรู้สึกว่าที่วิชานี้อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานหลายปีก็เพื่อรอตนเอง โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำว่าอมตะแล้ว ก็เหมือนเลือดในกายเขาจะปะทุเดือดขึ้นมาทันที จึงรีบเอ่ยปาก

ผู้เฒ่าไม่เกลี้ยกล่อมอีกต่อไป ยกมือขวาขึ้นสะบัด แผ่นหยกว่างเปล่าสองแผ่นลอยออกมาทันใด หลังจากคัดลอกเรียบร้อยแล้วก็ตกลงมาอยู่ตรงหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงหลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจอีกต่อไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บแผ่นหยกเอาไว้ สายตามีความคาดหวัง หมุนกายเดินออกไปจากหอคัมภีร์ตรงกลับไปยังลานที่พัก

ตอนที่กลับมาท้องฟ้าเป็นสียามค่ำคืนแล้ว ในบ้านไม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งทีค่อยหยิบแผ่นหยกของวิชาอมตะมิวางวายออกมา เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับแผ่นหยกแผ่นนี้ทันใด ดวงตาทั้งสองของเขาปิดลง พลันในสมองก็มีวิธีฝึกของวิชานี้ลอยขึ้นมา

ครึ่งชั่วยามต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ลืมตา นัยน์ตามีแววครุ่นคิด

วิชาอมตะมิวางวายนี้เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าพูดไว้อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงแค่บทที่ไม่ครบถ้วนบทหนึ่งเท่านั้น ด้านบนแนะนำว่าการฝึกวิชานี้แบ่งออกเป็นการฝึกสองอย่างคือภายในและภายนอก ซึ่งการฝึกภายนอกแบ่งออกเป็นหนัง เนื้อ เอ็น

ภายในคือกระดูกและเลือด

อีกทั้งในบทที่ไม่ครบถ้วนนี้ มีเพียงแค่วิธีการฝึกส่วนผิวหนัง และดูเหมือนว่าเมื่อฝึกขึ้นมา ท่าทางจะยากลำบากมากอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังพูดถึงว่าการฝึกฝนวิธีนี้สิ้นเปลืองพลังอย่างมาก แต่ว่าในนั้นมีเคล็ดลับสามสี่อย่างแนะนำเอาไว้ เคล็ดลับที่ว่าเหมือนจะเกินความจริงไปเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นเคล็ดลับหนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่าตรวนสลายลำคอ ที่มิมีของแข็งใดสามารถทำลายได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากเห็นคำว่าอมตะมิวางวายแล้ว สายตาเขาก็ปรากฏความเด็ดเดี่ยวทันที ทำตามคำแนะนำของวิชายุทธ์ ลุกขึ้นยืนยกมือทั้งสองข้างขึ้นตบไปยังแต่ละตำแหน่งในร่างกายไม่หยุด

จนกระทั่งถึงวันที่สอง ทั้งร่างของเขาปวดแสบไปหมด ยืนไม่ขึ้นนั่งไม่อยู่ แม้แต่ยกแขนขึ้นก็ยังรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงเกินจะทนไหว แต่ก็ยังกัดฟันทำตามวิธีฝึก พยายามเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี

“โอ้ยๆ อ่าๆ… ปล่อยก่อนแล้วค่อยบีบ… อูยๆ โอ๊ะๆ… บีบแล้วก็ปล่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนท่องประโยคหนึ่งในวิชาอมตะมิวางวาย กระโดดไปมาอยู่ในลานที่พัก ร้องโหยหวนไม่หยุด น้ำตาแทบจะไหลออกมา สุดท้ายก็กัดฟันพกหินวิเศษเดินออกจากลานที่พัก ลงเขาไปซะเลย

เขาคิดว่าในเมื่อต้องเคลื่อนไหว ก็ถือโอกาสลงเขาไปซื้อสมุนไพรแลกเอายาเพิ่มอายุมาเลย ทำเช่นนี้ยังไงก็ดีกว่าพยายามเคลื่อนไหวอยู่ในลานที่พักเยอะนัก

ดังนั้นบนเขาเซียงอวิ๋นวันนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยล้วนเห็นเด็กหนุ่มผิวพรรณขาวสะอาดคนหนึ่ง กระโดดเหยงๆ ด้วยท่าทางประหลาดไปตลอดทาง แถมยังเปล่งเสียงโอ๊ยๆ อยู่เป็นพักๆ ฟังแล้วน่าเวทนาไม่น้อย…

“โอ้ยๆ โอ๊ะๆ โอ๊ะๆ อ่าๆ…อ๊า…อ๊า…อ๊า…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้อยากจะร้องออกมา แต่มันเจ็บปวดมากจริงๆ ความเจ็บปวดชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ว่าจะขยับหรือไม่ก็ล้วนทรมานมากอยู่ดี แต่พอคิดถึงคำว่าอมตะมิวางวาย เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จนสามารถเดินจากภูเขามาถึงตลาดนอกสำนักได้

หลังจากซื้อยาสมุนไพรด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านครบหมดแล้ว เขาก็ซื้อฟืนหนึ่งสีมาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนฟืนสองสีนั้นราคาสูงมาก เขาซื้อแค่ท่อนเดียวกระเป๋าเงินก็ว่างเปล่าเสียแล้ว

เสร็จแล้วถึงได้กัดฟันเดินกลับไปยังสถานที่รับภารกิจ ทำภารกิจตอนที่เขาเคยรับไว้ครั้งยังเป็นนักการได้สำเร็จ แลกเอายาเพิ่มอายุมาได้หนึ่งเม็ด

ยาเม็ดนี้ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ทั้งเม็ดเป็นสีเหลือง ส่งกลิ่นหอมแปลกๆ เมื่อมองยาเม็ดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เจ็บปวดจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว เม็ดเหงื่อไหลรินออกมาทั่วร่างไม่หยุด จนแทบจะเปียกโชกไปทั้งร่าง

ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันแรงๆ ปีนขึ้นบันไดเขาเซียงอวิ๋นไปทีละขั้นๆ เบื้องหลังมีเหงื่อและคราบไคลหยดไหลเป็นทาง ตลอดทางมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าประหลาดใจหลังจากเห็นเขา บางส่วนยังถึงขั้นเผยความรังเกียจออกมาด้วยซ้ำ เพราะกลิ่นเหงื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเหม็นรุนแรงอย่างยิ่ง

ขนาดเขาเองยังไม่รู้ว่าตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร ขณะที่เดินทีละก้าวๆ จนกลับมาถึงลานที่พักก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว เหยียบย่างเข้าไปในลานได้ ตัวเขาก็กองพังพาบลง เจ็บปวดจนเป็นลมไป

ค่ำคืนนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในอาการสลบไสล เขาก็ยังถูกความเจ็บปวดปลุกให้ฟื้นขึ้นมาอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งฟ้าสาง เมื่อเขาลืมตาขึ้นความเจ็บปวดที่มีทั่วร่างถึงได้หายไปทั้งหมด

“นี่เป็นเพียงแค่วงจรเล็กๆ ที่ไม่สมบูรณ์แบบ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงคำแนะนำของวิชาอมตะมิวางวาย ต้องเป็นอย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งห้ามหมดสติ ถึงจะถือว่าเป็นวงจรเล็กๆ ที่สมบูรณ์แบบ และวงจรเล็กๆ เช่นนี้จำเป็นต้องครบ 81 ครั้ง ถึงจะถือว่าครบเต็มหนึ่งเสี่ยวโจวเทียน[1] ดั่งว่ากำลังเปลี่ยนผิวหนัง ภายหลังเมื่อผิวหนังมีความเหนียวแน่นในระดับหนึ่งแล้ว ก็จะไม่เจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้อีก

“หากวิชายุทธ์นี้ง่าย ทุกคนสามารถฝึกได้ล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าทุกคนก็สามารถเป็นอมตะหรอกหรือ ยิ่งเป็นเช่นนี้ข้าก็ยิ่งต้องฝึกฝน ฝึกอย่างนี้ต่อไปข้าจะต้องเป็นอมตะไม่มีวันตาย!” แววตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเด็ดเดี่ยว ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่เขามีต่อการเป็นอมตะ สามารถพูดได้ว่าถึงระดับที่ทำให้คนตกตะลึงได้แล้ว

รีบคว้าโอกาสตอนนี้ที่ร่างกายไม่เจ็บปวด ป๋ายเสี่ยวฉุนเอายาอายุวัฒนะออกมา หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว ขณะที่กำลังจะกินเข้าไป อยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบมองไปรอบกาย หลังจากแน่ใจว่าไม่มีคนแล้ว เขารีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านไม้ มือขวาทำท่ามุทราแล้วชี้ หม้อกระดองเต่าก็ปรากฏตัวขึ้นในพริบตา

“กินอย่างนี้ขาดทุนไปหน่อย หลอมพลังจิตแล้วค่อยกินถึงจะดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก หยิบเอาฟืนสองสีออกมาจุดไฟแล้ววางไว้ใต้หม้อกระดองเต่า พลันฟืนท่อนนี้ก็เผาไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นขี้เถ้า ลายเส้นสองเส้นบนหม้อกระดองเต่าสว่างวาบขึ้น

เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วครู่ ก็เอายาเพิ่มอายุใส่ลงไปในหม้อ แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่ยาวิเศษนี้ร่วงลงไป แสงสีเงินจ้าบาดตาก็เปล่งประกายวาบขึ้นมาทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว สีหน้าจึงไม่เปลี่ยน ตามองไม่กะพริบ

ไม่นานนักแสงสีเงินก็หายไป บนยาเพิ่มอายุที่อยู่ในหม้อมีลายเส้นสีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกสองเส้น กลิ่นหอมของยาที่ไม่รู้ว่าเข้มข้นกว่าก่อนหน้านี้มากเท่าไรกระจายออกมาในทันที แค่สูดดมทีเดียวก็คึกคักกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก

“น่าเสียดายที่หาเชื้อเพลิงของไฟสามสีไม่เจอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบยาวิเศษขึ้นมาโยนเข้าปากไป ยาวิเศษนี้เมื่อเข้าปากก็ละลายกลายเป็นไอร้อนผะผ่าวไหลริน แตกซ่านอยู่ในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแค่ว่าในสมองมีเสียงตูมดังขึ้นหนึ่งที ร่างกายประหนึ่งเตาไฟ เหมือนว่าทั้งร่างกำลังลุกไหม้ เส้นผมสีขาวที่อยู่บนหน้าผากเส้นนั้นสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่ามันกลายเป็นสีดำ ในร่างมีความรู้สึกเหมือนว่าพลังชีวิตเพิ่มพูนขึ้นมา ถึงกระทั่งที่ว่าผ่านไปแล้วพักใหญ่ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่หายไป กลับยิ่งรุนแรงขึ้นด้วย โพรงจมูกของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขั้นมีเลือดกำเดาไหลออกมา

“บำรุงเยอะแล้ว!” เขาลืมตากว้าง รีบฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง แต่กลับไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะยังไงสิ่งที่ยาวิเศษนี้ช่วยบำรุงไม่ใช่ลมปราณแต่เป็นพลังชีวิต เลือดกำเดาของเขายิ่งไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนที่ไหลรินในร่างเวลานี้ขยายเพิ่มมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกหนังที่ใกล้จะระเบิด ความหวาดผวาจึงเกิดขึ้นในทันที

ในความเป็นจริงแล้วยาวิเศษเม็ดนี้หลังจากที่ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสองขั้น ผลลัพธ์ย่อมเหนือล้ำเกินกว่าก่อนหน้า คุณค่าก็ยิ่งมากมายมหาศาล ด้วยพลังขั้นที่สามของการรวมลมปราณของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่มีทางแบกรับได้ไหว

ในเวลาที่วิกฤตการณ์มาเยือนเช่นนี้ ทันใดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็คิดถึงวิชาอมตะมิวางวาย จึงรีบดีดตัวขึ้น ใช้แรงทั้งหมดที่มีเอาสองมือตบลงไปบนร่างอย่างรวดเร็ว

เสียงตุบตับดังสะท้อนกลับไปกลับมา ความร้อนที่ไหลรินในร่างกายของเขาถึงได้คลายลงไปบ้าง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าหยุด จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ความร้อนในร่างกายของเขาก็หายไปหมด ความเจ็บที่แผ่ซ่านไปทั้งร่างทำให้เขาล้มลงไปกองทันที หอบหายใจฮักๆ แต่กำลังวังชากลับดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในแววตาก็ยิ่งมีประกายแสงวาบผ่านอย่างเข้มข้น

“ถึงแม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการหลอมพลังจิตอยู่บ้าง แต่หลักๆ แล้วก็เพราะยาวิเศษ ยาวิเศษ…มันมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้… มีทั้งที่สามารถเพิ่มพลังวิญญาณ มีทั้งที่สามารถเพิ่มอายุขัย… ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องมียาชนิดหนึ่งที่ทำให้คนเป็นอมตะได้ใช่หรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ประกายในดวงตาทั้งคู่ก็ยิ่งรุนแรง

“เขาเซียงอวิ๋นคือสถานที่ฝึกฝนอาจารย์ด้านยา…”

“ข้าจะเป็นอาจารย์โอสถ กลั่นหลอมยาเม็ดที่…ทำให้เป็นอมตะ!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น ในชั่วพริบตานั้น ความมุ่งมั่นเกี่ยวกับยาวิเศษก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

———-

[1] เสี่ยวโจวเทียน แปลตรงตัวว่า จักรวาลน้อย เป็นศาสตร์แห่งการทำสมาธิขั้นสูงของลัทธิเต๋า เพื่อเพิ่ม ‘หยวนชี่’ หรือ ‘พลังต้นกำเนิดชีวิต’ ให้ร่างกาย โดยมุ่งหมายให้ผู้นั่งสมาธิฝึกฝนการเปลี่ยนสารจำเป็น (จิง) ให้เป็นพลัง ‘ชี่’ ฝึกแปรชี่ให้เป็น ‘จิตวิญญาณ’ ฝึกจิตวิญญาณคืนสู่ ‘ความว่าง’ ฝึกความว่างเข้าสู่ ‘วิถีนิพพาน’ ผลจากการฝึกฝนเหล่านี้จะทำให้ผู้ฝึกก่อเกิดพลังภายในที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีอายุยืดยาวโดยไม่แก่ชราและไม่เจ็บป่วย (ที่มา: http://www.qigongthai.com/single-post)

**หมายเหตุ ปรับแก้คำ

ศิษย์ในฝ่าย เป็น ศิษย์ฝ่ายใน

ศิษย์นอกฝ่าย เป็น ศิษย์ฝ่ายนอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version