บทที่ 179 ข้าจะบอกความลับอย่างหนึ่งกับเจ้า
ในถุงเก็บของเงียบสนิท ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา เอ่ยข่มขู่อีกหนึ่งรอบ ทว่าถุงเก็บของก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหว
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ด ปิดผนึกถุงเก็บของเอาไว้ หัวเราะเสียงเย็นอยู่หลายที หลับตานั่งทำสมาธิ หลายวันต่อมา ความรู้สึกไม่สบายตัวของเขาในที่สุดก็กลับคืนมาเป็นปกติ หลังจากเคลื่อนไหวตบะในร่างแล้ว เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วก็ค่อยๆ ได้รับการบำรุงจากหยดน้ำสีทองในร่างที่แผ่ขยายต่อเนื่อง
“เจ้าหน้ากากน้อย คราวนี้ดูสิว่าเจ้าจะหลบไปอยู่ที่ไหนได้อีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น สัมผัสได้ว่าเนตรทงเทียนสามารถฝืนลืมขึ้นมาได้อีกครั้งจึงเปิดถุงเก็บของทันที หว่างคิ้วพลันปริออกเป็นรอยแยก ดวงตาที่สามสีม่วงเบิกโพลงขึ้นมา มองเข้าไปในถุงเก็บของ
วินาทีที่มองเข้าไปในถุงเก็บของ ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนดังอื้ออึง สิ่งที่ดวงตาเขาเห็นคือถุงเก็บของหายไปแล้ว สิ่งของที่อยู่ด้านแตกตัวออกเป็นส่วนๆ ทั้งหมดกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงหน้ากากที่ถูกขยำเป็นก้อนอันเดียวปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนในคลองจักษุของเขา
หน้ากากนี้ซ่อนตัวอยู่ในชั้นด้านในของถุงเก็บของ มันกำลังค่อยๆ หลอมละลายชั้นด้านในของถุงเก็บของ ซึ่งยามนี้ละลายไปได้เกินครึ่งแล้ว หากว่ามีเวลาอีกช่วงหนึ่งก็จะสามารถลอดทะลุแล้วหนีออกไปได้โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น
ยามนี้ถูกมองด้วยดวงตาที่สามของป๋ายเสี่ยวฉุน หน้ากากนี้พลันสั่นสะท้าน ส่องแสงบาดจ้า พยายามพุ่งทะลุออกไปจากถุงเก็บของให้ได้ ทว่ายังไม่ทันที่มันจะทำสำเร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งที พลังวิญญาณหลอมรวมเข้าไป คว้าจับหน้ากากนี้เอาไว้ได้แล้วกระชากออกมาอย่างแรง
เมื่อกระชากออกมาจากถุงเก็บของ ดวงตาที่สามของป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถมองเห็นหน้ากากนี้ในมือของตัวเอง แต่ความรู้สึกของเขา และดวงตาปกติของเขากลับมองไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับหน้ากากนี้ไม่มีตัวตนอยู่
“ไม่ถูกสิ เหตุใดตอนที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต ข้าถึงมองเห็นหน้ากากนี้ได้ล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด ดวงตาที่สามไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก เวลานี้หลังจากค่อยๆ ปิดลง มหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นของเขาก็พลันระเบิดปราณวิถีฟ้าหนึ่งเส้นออกมา วินาทีที่ปราณนี้พวยพุ่งไปทั่วร่าง กลางฝ่ามือของเขาพลันเกิดการบิดเบือน หน้ากากโปร่งใสอันหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา แต่ไม่นานมันก็ไม่โปร่งใสอีกต่อไป กลายมาเป็นสสารที่จับต้องได้
กลายมาเป็นหน้ากากสีเนื้อชิ้นหนึ่ง!
หน้ากากอันนี้ก็คือวัตถุที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบีบขยำเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต บางราวกับปีกจั๊กจั่นนั้นไม่ต้องพูดถึง ทั้งยังนุ่มนิ่มอย่างมาก มากกว่านั้นคือแฝงเร้นไว้ด้วยปราณเส้นหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองไม่ออก
ปราณนี้มาจากผิวเนื้อของตัวหน้ากากเอง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึง เขานึกถึงวิญญาณของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตในวันนั้นที่คล้ายกับว่าได้หลอมรวมเข้ากับหน้ากาก พยายามหนีเอาชีวิตรอด
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ด้านใน ออกมาให้นายท่านป๋ายของเจ้าเห็นเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดเสียงต่ำ หน้ากากไม่มีความเคลื่อนไหวใด รออยู่พักใหญ่ ประกายดุดันในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ บีบลงไปแรงๆ หนึ่งครั้ง แต่กลับพบว่าต่อให้เขาจะใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ยังคงไม่สามารถบีบให้หน้ากากนี้แหลกละเอียดได้
“ไม่ออกมาใช่ไหม นึกว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างลงไปยังตีนเขา ไม่นานก็มาถึงชายฝั่งแม่น้ำทงเทียน ยกมือขึ้นสูง ทำท่าจะโยนมันลงน้ำ
น้ำของแม่น้ำนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดขึ้นมาได้ว่ามันสามารถหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง เวลานี้กำลังจะลองดูให้แน่ใจ แต่ยังไม่ทันได้ปล่อยมือ หน้ากากในมือเขาพลันสั่นสะเทือนรุนแรง ทั้งยังมีเสียงสั่นๆ เร่งร้อนดังลอยมา
“ผู้อาวุโส…มีอะไรก็พูดกันดีๆ มีอะไรก็พูดกันดีๆ นะขอรับ…”
“ยอมพูดแล้วรึ? ยังไม่ปรากฏกายออกมาเล่าประวัติความเป็นมาของเจ้าอีก!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววโหดเหี้ยม เอ่ยปากดุดัน
ในหน้ากากที่ถูกบีบขยำจนเป็นก้อน เวลานี้มีไอหมอกกลุ่มหนึ่งลอยสูงขึ้นมา ไอหมอกนี้เกาะตัวกันกลายเป็นเงาคนตัวเล็กๆ ร่างหนึ่ง ลักษณะไม่เหมือนกับคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสังหารในวันนั้นเท่าไหร่นัก เวลานี้กำลังตัวสั่นโค้งกายน้อมคำนับป๋ายเสี่ยวฉุนติดๆ กัน สีหน้าหวาดผวา
“ท่านผู้อาวุโสโปรดเมตตา ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยคือลูกศิษย์ฝ่ายในของสำนักธาราโลหิต ชื่อว่าเย่จั้ง…” เงาวิญญาณนี้ตัวสั่นงันงก รีบพูดรัวเร็ว ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ในกระบี่อุกกาบาตเขาหนีจากความตายมาได้ ทว่ากลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนจับโยนใส่ไว้ในถุงเก็บของ เดิมคิดจะแอบหนีออกไป แต่ยังไม่ทันทำสำเร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หาสถานที่ที่เขาซ่อนตัวเจอเสียก่อน
ตอนนั้นในใจยังหวังว่าเผื่อจะโชคดี นึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคงฆ่าตัวเองได้ยาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กลับเหี้ยมโหดนัก ถึงกับจะโยนร่างเขาให้ละลายอยู่ในแม่น้ำทงเทียน
แม่น้ำทงเทียนมีพลังวิญญาณเข้มข้นอย่างยากจะอธิบายได้ ต่อให้เขามีของล้ำค่าป้องกันตัว แต่เมื่อถูกโยนลงไปวิญญาณย่อมแตกสลายอย่างแน่นอน
ได้ยินชื่อของอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ ในใจแอบรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชื่อของอีกฝ่ายช่างมีอำนาจบาตรใหญ่นัก เย่จั้ง ไม่ว่าจะเป็นความหมายว่าฝังกลบรัตติกาล หรือความหมายว่าฝังศพยามรัตติกาล ก็ล้วนทำให้คนฟังรู้สึกเหี้ยมหาญไม่ธรรมดา
เวลานี้เหล่ตามองเงาวิญญาณ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง
“ชื่อก็ฟังงั้นๆ แหละ ไม่เห็นจะเพราะ ไม่น่าฟังเท่าชื่อของข้า”
เย่จั้งอึ้งงัน รีบรับคำว่าใช่อย่างขลาดกลัว ไม่กล้าพูดมาก ทว่าในใจกลับรู้สึกรันทดนัก ตอนอยู่สำนักธาราโลหิตเขาก็ไม่ได้รับความสำคัญ ลำบากยากแค้นมาหลายปีถึงจะฝึกรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบสำเร็จ ความทุกข์ยากลำเข็ญระหว่างนั้นมีแต่ตัวเขาที่รู้
เดิมทีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สร้างฐานรากหุบเหวกระบี่อุกกาบาต เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่หลายปีมานี้เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดในสำนัก จึงศึกษาเล่าเรียนวิชาจิปาถะไปหมด ไม่เพียงเรียนรู้การหลอมยา ยังเรียนศาสตร์การทำนายของสำนักด้วย มักจะเสี่ยงทายให้ตัวเองเป็นประจำ ถึงแม้จะไม่แม่นนัก แต่ก็พอเดาถูกอยู่หลายครั้ง แลกมาด้วยโอกาสอันดี สะดวกในการฝึกบำเพ็ญตบะ
ก่อนที่กระบี่อุกกาบาตจะเปิดใช้ เขาเสี่ยงทายออกมาได้ว่าตัวเองจะได้รับวาสนายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในโลกกระบี่อุกกาบาต
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าจะเป็นความจริง จึงเสี่ยงทายอยู่อีกหลายครั้ง สุดท้ายเมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นความจริง ถึงได้กัดฟันยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล ถึงขนาดยอมลำบากร่างของตน ในที่สุดก็ได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วม แต่นึกไม่ถึงว่าวาสนาไม่ทันได้มาครอบครอง กลับยังต้องถูกป๋ายเสี่ยวฉุนคนที่เขามองว่าโหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุดจับตัวมาอีก
“นายท่านป๋าย ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ปล่อยข้าไปเถอะ ข้า…ข้าไปเป็นสายลับให้ท่านก็ได้ ท่านปล่อยข้ากลับสำนักธาราโลหิต นับแต่นี้ไปข้าจะคอยส่งข่าวมาให้สำนักธาราเทพของท่าน ข้า…ข้าสาบานได้!” เย่จั้งอ้อนวอน ประสานมือคารวะติดต่อกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหล่มองเย่จั้ง กวาดตามองใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วจึงแค่นเสียงเย็นชา
“สายลับ? เจ้าใส่หน้ากาก ตอนนี้คงเป็นตัวตนที่แท้จริงสินะ ไม่ใช่เย่จั้งคนเดียวกับที่ข้าสังหารไปก่อนหน้านี้ เจ้ากล้าหลอกข้า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเกลียดคนที่หลอกข้ามากที่สุด ข้าจะดับชีวิตเจ้าเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา ขณะที่เอ่ยปากดุดันก็นั่งยองๆ ลง คิดจะโยนหน้ากากในมือลงไปในแม่น้ำ
ลูกคลื่นลูกหนึ่งโถมตัวขึ้นมา เห็นว่าใกล้จะแตะโดนน้ำของแม่น้ำ เย่จั้งก็กรีดร้องโหยหวน สั่นเทาไปทั้งร่าง วิกฤตความตายขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในใจของเขา โดยเฉพาะนึกถึงความอัปยศ ความอึดอัดคับข้องใจของตัวเองในสำนักหลายปีมานี้ เขาก็แทบจะหลั่งน้ำตา
“อย่าฆ่าข้า ข้า…ข้าจะบอกความลับยิ่งใหญ่ข้อหนึ่งให้ท่านรู้!!” เย่จั้งยอมทุ่มหมดหน้าตัก เอ่ยปากเสียงแหลมสูง ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปาก เรื่องแบบนี้เขาไม่เชื่อหรอก เวลานี้จึงปล่อยมือ หน้ากากชิ้นนี้จึงตรงดิ่งเข้าหาแม่น้ำทงเทียนทันที
“อย่านะ ความลับนี้เป็นเรื่องจริง เกี่ยวข้องกับนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ!!” เย่จั้งอกสั่นขวัญกระเจิง ร่างเกือบจะตกลงไปในน้ำแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง คำว่านิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรไปจากเป็นอมตะไม่มีวันตาย เวลานี้จึงยื่นมือขวาออกไปคว้าหน้ากากด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ดึงมาไว้ด้านหน้าตนเอง
“หากเจ้าโกหกข้า เจ้าก็คงรู้นะ ข้าเกลียดคนที่หลอกข้ามากที่สุด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างจริงจัง
“ข้าพูดเรื่องจริง สำนักธาราโลหิตซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งเอาไว้ ที่นั่นมีวัตถุอันเป็นนิจนิรันดร์ ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร แม้แต่พวกบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิตเองก็ยังไม่รู้ว่าในสำนักของพวกเขาซุกซ่อนวัตถุสยบสวรรค์เช่นนี้เอาไว้!!
ว่ากันว่าผู้ที่ได้ครอบครองวัตถุนี้ สามารถสัมผัสถึงความลับของนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ หากสามารถแก้ได้ก็จะเป็นนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ!!”
“ข้าไม่ได้โกหกท่าน ข้าพูดเรื่องจริง จริงแท้แน่นอน!!” เย่จั้งตัวสั่น เอ่ยปากพูดระรัว เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ปกติ คนแบบนี้น่ากลัวเกินไป
“เหลวไหลทั้งเพ เรื่องแบบนี้แม้แต่บุรพาจารย์ยังไม่รู้ แล้วเจ้าจะรู้ได้ยังไง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนขึงตาใส่ ทำท่าจะโยนลงน้ำอีกครั้ง
“ข้า…ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิต ข้าเป็นตัวปลอม…” เย่จั้งใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ พูดทุกอย่างออกมาหมด
ฟังคำอธิบายของเขา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตัวตนที่แท้จริงของเย่จั้งผู้นี้ กลับเป็นสายลับที่แม้แต่ตัวเย่จั้งเองก็ยังไม่รู้ว่ามาจากขั้วอิทธิพลลึกลับใด!
เดิมทีเขาอาศัยอยู่ในขอบเขตของสำนักธาราโลหิต เป็นผู้บำเพ็ญตนตบะรวมลมปราณขั้นสามซึ่งมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา ถูกศัตรูคู่อาฆาตไล่สังหาร ก่อนจะสิ้นลม มีบุคคลลึกลับผู้หนึ่งมาช่วยเขาเอาไว้ หลังจากลังเลเล็กน้อย ด้วยความฉุกละหุกจึงคล้ายไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นจึงมอบหน้ากากหนึ่งอันให้กับเขา ให้เขากลายมาเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักธาราโลหิตคนหนึ่งที่ชื่อเย่จั้ง ให้เขาไปทำภารกิจหนึ่งให้สำเร็จแทนเย่จั้งผู้นี้ จากนั้นก็ผนึกวิญญาณเขาเอาไว้
ส่วนเย่จั้งตัวจริง ถึงแม้จะตายไปแล้ว แต่เนื่องจากเกิดในตระกูลที่ดี บรรพบุรุษของเขาเคยสร้างคุณความดีใหญ่หลวงให้กับสำนักธาราโลหิต ดังนั้นสำนักจึงรับปากบรรพบุรุษท่านนั้นว่าจะต้องให้เย่จั้งได้กลายมาเป็นศิษย์ฝ่ายในอย่างแน่นอน
ดังนั้นคนลึกลับผู้นั้นจึงให้เขาไปทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งภารกิจนั้นก็คือให้เขาแอบไปเอาวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญนั้นมา บอกที่ซ่อนกับเขาอย่างละเอียด และเนื่องจากสถานที่ซ่อนวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญมีประตูใหญ่อยู่หนึ่งบาน กุญแจที่ใช้เปิดประตูบานนี้ก็คือยาที่มีความพิเศษเม็ดหนึ่ง
หลอมยาเม็ดนี้ไม่ยาก อาจารย์โอสถทั่วไปล้วนหลอมออกมาได้ แต่จะยากตรงที่ไม่ว่าใครเป็นคนหลอมอัตราความสำเร็จก็มีเพียงแค่ครึ่งเดียว อีกทั้งวัตถุดิบที่ใช้หลอมยาเม็ดนี้แต่ละชิ้นยังเป็นของที่หาได้ยากมากอย่างถึงที่สุด จะรวบรวมมาได้สักชุดหนึ่งถือเป็นเรื่องลำบากมาก
ยังดีที่สำนักลึกลับนั้นคล้ายจะร่ำรวยไม่น้อย ถึงได้รวบรวมวัตถุดิบมาให้เขาเกินครึ่ง ขาดแค่เลือดกำเนิดสัตว์อย่างเดียวก็ครบแล้ว
เวลาเดียวกัน หลังจากที่วิญญาณตนนี้เข้ามาสวมรอยร่างของเย่จั้ง กลายเป็นลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตแล้ว ตอนเริ่มต้นนั้นทุกอย่างยังราบรื่น ไม่นานก็ได้กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายใน แต่เขาค่อยๆ ค้นพบว่าตอนที่ร่างกายของตัวเองฝึกวิชาของสำนักธาราโลหิตกลับเกิดอุปสรรค คล้ายว่าถึงแม้จะมีคุณสมบัติอันดี ทว่าไม่สอดคล้องกับวิชาที่ฝึก ปัญหานี้เริ่มขยายใหญ่เรื่อยๆ ทำให้เขาติดแหง็กอยู่ในขั้นรวมลมปราณแปด ไม่สามารถฝ่าทะลุไปได้
ไม่นานสำนักเองก็เริ่มเพิกเฉย และผู้นำสารของสำนักลึกลับคนนั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ ทำให้หลายปีของเขาหลังจากนั้น ต้องลำบากแสนเข็ญมากมายเพื่อให้ได้ฝึกบำเพ็ญตบะต่อ…
ส่วนคนลึกลับและอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังก็คล้ายจะอยู่ห่างไกลจากสำนักธาราโลหิตมากมายเหลือแสน ทั้งยังมีอุปสรรคที่ไม่รู้แน่ชัด ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะแย่งชิงวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญมาจากสำนักธาราโลหิตโดยตรง ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันเคยปรากฏตัวแค่สามครั้ง แถมแต่ละครั้งยังเป็นแค่เงาที่ทอดลงมา และดูเหมือนว่าต่อให้เป็นการทอดเงาลงมาก็ยังยากลำบากอย่างมาก
การปรากฏตัวครั้งแรกคือจัดการเรื่องที่ให้วิญญาณนี้สวมรอยแทนเย่จั้งเข้าไปอยู่ในสำนัก ปรากฏตัวครั้งที่สองคือตอนที่เย่จั้งกลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในได้อย่างราบรื่น ผู้นำสารของสำนักลึกลับผู้นั้นคล้ายไม่พอใจนัก แต่ก็ยังบอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ ให้เย่จั้งเข้าใจเงื่อนไขของภารกิจ ขณะเดียวกันก็มอบวัตถุดิบในการหลอมยาเม็ดนั้นให้เย่จั้งด้วย วัตถุชิ้นสุดท้าย ทางสำนักลึกลับก็กำลังตามหาอยู่เช่นกัน บอกเย่จั้งว่าไม่ต้องรีบร้อน
ส่วนการปรากฏตัวครั้งที่สามคือ
เย่จั้งจนใจ ถึงได้เสี่ยงทายค้นหาลู่ทาง ดังนั้นจึงมีเรื่องราวเบื้องหลังตามมา…
“สำนักนั้นโง่หรือไง? ถึงได้เลือกเจ้ามาเป็นสายลับ? แล้วสำนักธาราโลหิตจะจับไม่ได้เลยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังจบก็รู้สึกว่าหากไม่ใช่เจ้าเย่จั้งที่โกหก ถ้าเช่นนั้นสำนักลึกลับนั่นก็คงโง่งม หรือไม่ก็ยังมีเรื่องราวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ สำนักลึกลับนั่นก็คงไม่มีทางเลือกถึงได้ให้วิญญาณตนนี้มาสวมรอยแทนเย่จั้ง
—————————————————————