Skip to content

A Will Eternal 19

บทที่ 19 ตำนานของเจ้าเพียงพอนขาว

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีฐานะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกใช้ชีวิตในเขาเซียงอวิ๋นได้อย่างแช่มชื่น นอกจากมักจะเอาแต่คิดถึงอาหารรสเลิศของฝ่ายครัวไฟแล้ว ด้านอื่นๆ เขาล้วนพึงพอใจอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการฝึกวิชาหรือการศึกษาพืชหญ้า ต่างทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตล้วนเต็มไปด้วยสาระ เพียงแต่ว่าบางครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่าย ที่พักของเขาค่อนข้างอยู่ในที่ลับตาคน รอบด้านไม่มีคนรู้จัก หลายครั้งแค่พูดคุยกับผู้อื่นก็ยังไม่มีโอกาส

“หรือว่าผู้บำเพ็ญเพียรต้องสันโดษกันอย่างนี้ทุกคน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นทอดถอนใจ ยืนอยู่ในลานที่พัก มองไปบนท้องฟ้า ท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนวัย

ตอนนี้ลมฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านไปแล้ว ลมหนาวพัดโชย เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงต่ำ บางครั้งระหว่างผืนฟ้าและผืนดินจึงสามารถมองเห็นเกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมา และการมาเยือนของหน้าหนาวครานี้ ต้นไผ่เหมันต์วิเศษเองก็ยิ่งเจริญงอกงามอย่างแข็งแรง ความสูงในปัจจุบันเกินกว่าความสูงของป๋ายเสี่ยวฉุนไปแล้ว สีเขียวขจีเป็นผืนแผ่นกลายเป็นภาพบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางฤดูหนาวนี้

ขณะนี้ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนกว่านับตั้งแต่วันที่เขาได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของป้ายศิลาพืชหญ้า เพียงแต่ว่าระดับความยากของพืชหญ้าเล่มที่สองนั้นมากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ความเร็วในการศึกษาจึงค่อนข้างช้าเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือ แม้ว่าสุดท้ายแล้วโจวซินฉีจะไม่สามารถคว้าอันดับหนึ่งของศิลาแผ่นแรกคืนไปได้ แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงเศษชิ้นส่วนพืชหญ้าที่เหลือไว้ไม่ได้ประกอบกันให้ในสมบูรณ์ในช่วงสุดท้ายของการทดสอบนั้น ความกดดันก็เพิ่มขึ้นมา

“ชื่อเสียงอันเลื่องลือของข้า จะให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างโจวซินฉีนั่นอยู่เหนือไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจอยู่กับตัวเองเงียบๆ เมื่ออุดมการณ์ในส่วนลึกของจิตใจ ที่ต้องการพูดอย่างภาคภูมิใจภายใต้สายตาของคนนับหมื่นว่าตนเองก็คืออาจารย์โอสถเต่าคนนั้นยังไม่สำเร็จผล เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองต้องยิ่งพยายามให้มากถึงจะดี

แม้ว่าความคืบหน้าของพืชหญ้าเล่มที่สองจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่การฝึกวิชาอมตะมิวางวายของเขาเกือบจะได้ถึงหนึ่งเสี่ยวโจวเทียนแล้ว

ความเจ็บปวดรุนแรงของการฝึกวิชายิ่งเพิ่มพูนทุกครั้ง แต่ความเด็ดเดี่ยวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อคำว่าอมตะมิวางวาย ทำให้เขายืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้

“ยังมีเวลาอีกสามวัน สามวันให้หลัง ตามวิธีการที่บอกไว้ของวิชาอมตะมิวางวาย ก็จะถือว่าครบหนึ่งเสี่ยวโจวเทียนอย่างสมบูรณ์แบบ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟัน ศึกษาพืชหญ้าเล่มที่สองพลางวิ่งห้อตะบึงอยู่ในลานบ้านไปมา

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามสายัณห์ของวันที่สาม หิมะปลิวว่อนอยู่ในอากาศ ทำให้สำนักธาราเทพประดับไปด้วยสีเงินประกายงดงามจับตา

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังวิ่งตะบึงอยู่นั้น พลันร่างกายของเขาก็สะท้านไหวอย่างรุนแรงจากนั้นก็หยุดลง ความเจ็บปวดมหาศาลต่อเนื่องกันมานานถึงเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวัน เวลานี้ได้หายไปในพริบตา

กระแสความร้อนปะทุเดือดขึ้นมาพรวดพราด หลังจากไหลทะลักอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ในร่างกายเขา ทั้งหมดก็มารวมตัวกันบนผิวหนัง ทำให้ผิวหนังร้อนผะผ่าวเหมือนดั่งเตารีดเหล็กที่เพิ่งออกมาจากเตาไฟ

เกล็ดหิมะยังไม่ทันได้ร่วงหล่นลงบนร่างกายของเขาก็หลอมละลายในทันที ตามมาติดๆ ด้วยการกลายเป็นควันสีขาวลอยขึ้นไปในอากาศ

“สำเร็จแล้ว!” ถึงแม้ว่าปากของป๋ายเสี่ยวฉุนจะแห้งผาก เนื้อตัวร้อนผ่าวอย่างยิ่ง แต่กลับตื่นตระหนกระคนดีใจไม่หยุด เขาก้มหน้าลงมองร่างกายของตนเอง เห็นได้ในทันทีว่าผิวหนังของตนมีแสงสีดำปรากฏออกมา แสงเหล่านี้หลังจากไหลเวียนไปแล้วหนึ่งรอบก็ค่อยๆ สลายหายไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือขวาขึ้นมาทิ่มแขนหนึ่งที ความรู้สึกแข็งแกร่งและทรหดเหมือนหนังวัวแบบนั้นทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกาย จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างอีกหนึ่งครั้ง เขาค้นพบอย่างชัดเจนว่าความรวดเร็วของตนเองเหมือนจะเร็วขึ้นมาอีกเล็กน้อย ดังนั้นจึงพุ่งถลาไปข้างหน้า เสียงฟิ้วดังหนึ่งที ร่างกายก็ออกมาปรากฏอยู่ในระยะหลายจั้ง

ความเร็วเช่นนี้มีมากกว่าก่อนหน้าเป็นเท่าตัว เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งปิติยินดี ทดลองอยู่นาน รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นจึงฝึกพลังตามสูตรวิชาอมตะมิวางวายต่ออย่างไม่ลังเล นี่คือวิธีที่ต้องปิดปากและจมูก เพื่อใช้ร่างกายในการหายใจ หายใจเข้าหนึ่งที หายใจออกหนึ่งที ถือเป็นวงจรเล็กๆ วงจรหนึ่ง ทุกวันต้องทำให้ได้เก้าเก้าแปดสิบเอ็ดครั้ง ติดต่อกันเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวัน ถึงจะถือว่าครบหนึ่งเสี่ยวโจวเทียน

หากสามารถยืนหยัดทำได้ เมื่อรวมเข้ากับเสี่ยวโจวเทียนของความเจ็บปวดในร่างกายก่อนหน้านี้ ก็จะเป็นการประสบความสำเร็จขั้นต้นของผิวหนังคงกระพัน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนอยู่พักหนึ่ง ถึงได้ค่อยๆ จับหลักได้ เริ่มยืนหายใจเข้าออกอยู่ในลานที่พัก แต่หลังจากที่เขาทำครบหนึ่งวงจรเล็กได้สำเร็จด้วยความยากลำบากแล้วนั้น ร่างกายของเขาก็ผ่ายผอมลงไปหนึ่งรอบอย่างเห็นได้ชัด

และความรู้สึกหิวโหยก็ปรากฏขึ้นในเวลานี้ ทำให้ท้องของป๋ายเสี่ยวฉุนส่งเสียงร้องดังโครกครากออกมา เขาไม่สนใจ ยังคงหายใจเข้าออกแบบนี้ต่อไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดหลังจากที่เขาหายใจเข้าออกได้สำเร็จห้าสิบครั้ง ร่างกายของเขามองดูแล้วก็แทบจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก

เหมือนว่าส่วนที่บำรุงร่างกายทั้งหมดได้ถูกดึงออกไป แต่ผิวหนังของเขาในเวลานี้ เมื่อมองดูกลับยิ่งแข็งแกร่ง

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนทนไม่ไหวอีกแล้ว เมื่อลืมตาเขาก็เวียนหัวดวงตาพร่าลาย ความรู้สึกหิวโหยที่มิอาจบรรยายได้นั้น ราวกับว่าแทบจะเขมือบช้างตัวมโหฬารลงไปได้ในคำเดียว

“ไม่ไหวแล้ว ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายอย่างแรง ดวงตาเปล่งแสง มองไปรอบๆ บริเวณ แต่รอบด้านนี้ไม่มีสิ่งใดที่กินได้เลย นอกจากต้นไผ่สีเขียวเป็นมันขลับพวกนั้นที่ดูแล้วน่ากินมาก

เขาอยากจะอดทน แต่ความหิวโหยนั้นทำให้ร่างกายเขาส่งเสียงซูมหนึ่งทีก็ตรงมาอยู่ด้านข้างของไผ่เหมันต์วิเศษแล้ว เขากัดต้นไผ่พวกนั้นลงไปแรงๆ หนึ่งคำใหญ่

เสียงกร้วมดังหนึ่งครั้ง ลำต้นไผ่ถูกกัดลงไปหนึ่งคำใหญ่ เคี้ยวเสียงดังกร้วมๆ อยู่ในปาก หลังจากกลืนลงไปแล้ว ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็บิดเบี้ยวทันที ความขมนั้นทำให้เขาสั่นเยือกขึ้นมาทั้งตัว

“ขมเกินไปแล้ว…”

“ข้าอยากกินข้าว…” ในชั่วพริบตานั้นความคิดถึงที่เขามีต่อฝ่ายครัวไฟรุนแรงขึ้นจนถึงขีดสุด เขาหิวนี่ แถมโตมาขนาดนี้ก็ยังไม่เคยหิวเท่านี้มาก่อน เวลานี้หิวจนหัวหมุนติ้ว ตาก็พร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจถี่กระชั้น ร่างกายพุ่งพรวดห้อตะบึงออกไปจากลานบ้าน

วิ่งทะยานไปตามเส้นทางด้วยความรวดเร็วอย่างถึงขีดสุด ศิษย์ฝ่ายนอกคนอื่นๆ ที่เจอระหว่างทาง รู้สึกแต่เพียงลมที่พัดวูบผ่านไป ก็พากันหันมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความประหลาดใจ

เขาตรงดิ่งลงจากภูเขามา บุกพุ่งเข้าไปในเขตงานนักการ ห้อทะยานตรงไปยังฝ่ายครัวไฟ ไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูให้เสียเวลาก็กระโดดโจนทะยานเข้าไปทั้งตัว

เวลานี้ฝ่ายครัวไฟกำลังทำอาหารกันอยู่ หลังจากที่จางต้าพั่งและเฮยซานพั่งจากไปแล้ว หวงเอ้อพั่งกลายเป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ ขณะที่เขากำลังเทน้ำข้าวอยู่นั้น ลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา ถ้วยด้านหน้าหายไป ที่ปรากฏอยู่ด้านล่างน้ำข้าวนั้นคือป๋ายเสี่ยวฉุนที่อ้าปากกว้าง

“หา?” หวงเอ้อพั่งตกใจ เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ก็อึ้งงันไปเช่นกัน หลังจากมองเห็นชัดว่าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไร ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกเอาหม้อใหญ่หนึ่งใบขึ้นมาดื่มอึกๆ ลงไปหมดด้วยความหิวโหย เหมือนยังรู้สึกว่าช้าไปจึงยื่นหัวเข้าไปในหม้อ น้ำข้าวในหม้อใบนั้นลดหายลงไปในพริบตาเดียว…

หนึ่งคำ สองคำ สามคำ…ป๋ายเสี่ยวฉุนดื่มน้ำข้าวติดๆ กันร้อยกว่าหม้อ ร่างกายของเขาเหมือนหลุมลึกไร้ก้น ไม่มีความรู้สึกอิ่มเลยสักนิดเดียว

“หิวจัง ไม่ไหวแล้ว ข้ายังหิวอยู่เลย…ข้าอยากกินเนื้อ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน มองสะเปะสะปะไปรอบด้าน สิ่งแรกที่มองเห็นก็คือศิษย์พี่ตัวอ้วนดั่งภูเขาเนื้อหลายคน จึงกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งที

คนอ้วนทั้งหลายของฝ่ายครัวไฟเบิกตาอ้าปากค้างมองป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาเคยเห็นคนหิวมาก่อน แต่กลับไม่เคยเห็นใครหิวมากขนาดนี้ แถมนี่ยังเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน เห็นได้ชัดว่าเขาหิวจนกลายเป็นผีเปรตหิวโหยไปแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องเขม็งมายังพวกตนแล้วกลืนน้ำลาย พวกหวงเอ้อพั่งก็ผวาทันที รีบถอยหลังกรูด หวงเอ้อพั่งยิ่งตะโกนเสียงดัง

“จิ่วพั่ง ในห้องครัวมีอาหารวิเศษที่เตรียมไว้ให้สำหรับท่านผู้เฒ่าโจว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ ประกายแสงในดวงตาวาบขึ้นมาทันที ร่างกายพุ่งทะยานเข้าไปในห้องครัว

พวกหวงเอ้อพั่งที่อยู่ด้านนอกมองหน้าสบตากัน ทุกคนล้วนสูดลมหายใจอย่างหวาดเสียว

“เห็นหรือยัง นี่ก็คือจุดจบของการกลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก ศิษย์น้องเล็กต้องหิวโหยจนกลายเป็นแบบนี้…”

“ตีพวกเราให้ตาย พวกเราก็ไม่ยอมเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเด็ดขาด!” เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ล้วนตัดสินใจเด็ดขาด รู้สึกเห็นอกเห็นใจป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างมาก

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามหักห้ามใจ อิงตามหลักความจริงหกประการของครัวไฟแล้ว กินได้แค่ริมขอบเท่านั้น ห้ามกินหมด เพราะหากทำผิดกฎขึ้นมา ผู้ที่ซวยก็คือศิษย์พี่เหล่านั้นของฝ่ายครัวไฟ เรื่องแบบนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำไม่ลง

ดื่มน้ำแกง กินริมขอบ ความรู้สึกหิวโหยของป๋ายเสี่ยวฉุนในที่สุดก็ลดลงมาเล็กน้อย สามารถทนได้ในระยะเวลาสั้นๆ ถึงได้เดินออกมา เขาอยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก รู้สึกว่าวิชาอมตะมิวางวายช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่เจ็บปวดแล้ว แต่ความรู้สึกหิวโหยแบบนี้ทำให้คนเป็นบ้าได้ยิ่งกว่า

“ศิษย์พี่รอง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหวงเอ้อพั่งตาปริบๆ

หวงเอ้อพั่งเห็นว่าสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาเป็นปกติแล้วถึงได้วางใจ กล้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ตบไหล่เขาพลางมองด้วยสายตาเห็นใจ

“ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องกังวล อย่างมากพวกเราก็แค่เตรียมอาหารให้ท่านผู้เฒ่าโจวใหม่ก็เท่านั้น ดูเจ้าสิ หิวจนกลายเป็นขนาดนี้ เฮ้อ ต่อไปเจ้ากลับมาบำรุงร่างกายบ่อยๆ เถอะ”

คำพูดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินก็ซาบซึ้งใจ เขากัดฟัน ตัดสินใจว่าต่อไปมาให้น้อยครั้งจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นสภาพของตนเองอย่างในวันนี้ หากวันใดข่มกลั้นไม่ได้จริงๆ เกรงว่าฝ่ายครัวไฟฝ่ายเดียวคงเลี้ยงไม่ไหว…

หลังลาจากพวกหวงเอ้อพั่งที่มาส่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจเดินขึ้นเขาเซียงอวิ๋น ความรู้สึกงดงามและสบายใจก่อนหน้านี้ก็หายไปในพริบตา สิ่งที่แทนที่เข้ามากลับกลายเป็นความสิ้นหวัง เขากลัวจริงๆ ว่าตนเองจะหิวตาย

“ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ในสำนักธาราเทพเคยมีลูกศิษย์คนใดหิวตายหรือไม่ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนแรกนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเบ้ ขณะที่กำลังคิดว่ามีวิธีใดสามารถแก้ปัญหาเรื่องของกินได้ในระยะยาว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไก่ร้องดังลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก

ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงไก่ร้องนั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดชะงัก ค่อยๆ หันหน้ากลับไป จ้องเขม็งไปยังทิศทางที่เสียงไก่ลอยมา ดวงตาแข็งทื่อ ท้องก็เริ่มร้องดังโครกครากขึ้นมา

“ไก่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน พบว่าไม่มีใครสนใจตนเองก็สะบัดร่างหนึ่งที มุดเข้าไปในพุ่มหญ้าโดยตรง รวดเร็วราวกับตัวเพียงพอน เสียงสวบดังขึ้นหนึ่งทีก็ไม่เห็นเงาแล้ว

ผ่านไปพักหนึ่ง ในสถานที่เลี้ยงสัตว์ปีกวิเศษโดยเฉพาะของเขาเซียงอวิ๋น นอกรั้วกั้นโดยรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น มองกลุ่มไก่ตัวใหญ่พอๆ กับลูกวัวตัวเล็กๆ หางมีขนสามสีที่กำลังเดินไปเดินมาอย่างลำพองอยู่ในราวกั้น แววตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่ากลืนน้ำลายลงคอไปแล้วกี่อึก

“เนื้อ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงประหลาดอยู่ตรงนั้น เสียงหัวเราะนั้นเมื่อฟังแล้วน่าหวาดผวาเป็นพิเศษ

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version