Skip to content

A Will Eternal 211

บทที่ 211 นางมารตัวร้าย…

“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไม่เชื่อเรื่องที่เซวี่ยเหมยพูด ข้าไม่เชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว ในใจของข้า ความสะอาดบริสุทธิ์ของท่านราวกับดอกบัว สิ่งโสมมใดๆ บนโลกนี้ล้วนไม่สามารถทำให้ท่านแปดเปื้อนได้ ความงามของท่านดุจดั่งดอกสุ่ยเซียน[1] ข้าไม่ยินยอมให้มีมลทินใดแตะต้องบนกายท่านแม้แต่นิดเดียว!” อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะรุนแรงมากขึ้น ในดวงตาทั้งคู่ของเขามีทั้งความเสียใจ ขณะเดียวกันก็ยิ่งมากด้วยความเจ็บปวดและเสียดาย

“ผู้อาวุโสใหญ่ ในใจของข้า ท่านคือคนเช่นนี้ คือความปรารถนาที่ข้าต้องการแม้ในยามหลับฝัน คือท่าเรือพักพิงที่ข้าอยากจะจอดอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาล คือเซียนสาวในอุดมคติของข้า คือความสะอาดบริสุทธิ์ที่ข้าต้องปกป้องไปชั่วชีวิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งเศร้าโศกและเจ็บแค้น ร่างกายสั่นเทา ราวกับว่าบัดนี้ความผิดหวังในก้นบึ้งของหัวใจได้หลอมรวมเข้ากับความยึดมั่นกลายมาเป็นความคลุ้มคลั่ง ทั้งยังถูกบีบคั้นอย่างถึงขีดสุด ตอนนี้จึงระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

“ข้าเย่จั้งชีวิตนี้สังหารคนมานับไม่ถ้วน มีแต่ความอำมหิตเย็นชา ข้าสูญเสียความเป็นคน สูญเสียอารมณ์ความรู้สึก สูญเสียเลือดอันเร่าร้อน ทุกวันนี้ข้าเหมือนมีเพียงเปลือกนอก หลงเหลือแค่เพียงความเย็นชา การเข่นฆ่า และความชั่วร้าย ทว่าในเปลือกนี้ก็ยังมีเส้นแห่งแสงสว่างอยู่หนึ่งเส้น แสงสว่างนี้ก็คือแสงแห่งความหวังที่เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าได้เห็นท่านผู้อาวุโสใหญ่ครั้งแรกในปีนั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บนร่างของเขาก็ยิ่งมีไอดุร้ายแผ่ซ่านออกมาคล้ายระงับเอาไว้ไม่อยู่ ทำให้คนที่สัมผัสถึง อดไม่ได้ที่จะเห็นภาพซากศพกองเป็นภูเขาและเลือดเจิ่งนองราวมหาสมุทรลอยขึ้นมา และมากกว่านั้นคือความเหี้ยมหาญที่ลอยออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ซ่งจวินหว่านตัวสั่นเยือก นางเหม่อมองป๋ายเสี่ยวฉุน มองความผิดหวัง เศร้าโศกและเจ็บปวดในดวงตาของเขา มองความงดงามในอดีต ความบริสุทธิ์ไร้ราคี และความยึดมั่นที่แฝงเร้นอยู่ในส่วนลึกของดวงตาเขา แล้วก็มองเห็นว่าเมื่อทุกอย่างนั้นพังทลายลง ความเป็นจริงและความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้คนคนหนึ่งคลุ้มคลั่งอย่างที่เขาแสดงออก

“หากจะพูดว่าข้าเลือกเขาจงเฟิง ก็สู้พูดว่าสิ่งที่ข้าเลือกคือ คือท่านผู้อาวุโสใหญ่เสียดีกว่า”

“ท่านพูดว่าข้าหื่นกระหาย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ทุกครั้งที่มองท่าน ข้าก็อดคิดที่จะปกป้องท่านไม่ได้…”

“ทว่าผู้อาวุโสใหญ่ ท่านในตอนนี้ไม่ใช่ท่านอีกต่อไปแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง สีแดงในดวงตายิ่งเข้มข้น ความเจ็บปวดก็ยิ่งเห็นเด่นชัด

“สวมอาภรณ์ของท่านให้ดี จัดการกับอารมณ์ของท่านให้เรียบร้อย เก็บเอาความเย้ายวนของท่านกลับคืนไป…โปรดนำซ่งจวินหว่านผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์จนใครก็มิอาจดูหมิ่น แสงสว่างแห่งความหวังเพียงอย่างเดียวในใจของข้าที่ชีวิตนี้ของข้าเย่จั้งต้องการปกป้อง คืนมาให้ข้าด้วย…” ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนดุร้าย คำรามเสียงดังราวกับคนบ้า ดังจนถ้ำสั่นสะเทือน แม้แต่น้ำในบ่อก็ยังกระเพื่อม ราวกับว่าต้องการนำอารมณ์ทั้งหมดที่มีระเบิดออกมาพร้อมกับการคำรามบ้าคลั่งนี้

วิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมยามนี้ก็ยังตัวสั่นไปด้วย เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืมใช้ตัวตนของเย่จั้งด้วยความอึ้งงัน รู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับว่าอีกฝ่าย…คือเย่จั้งตัวจริง ทุกประโยคที่พูดออกมา แล้วยังมีการระเบิดอารมณ์นั่นอีก ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก

ตลอดทั้งถ้ำค่อยๆ ตกอยู่ในความเงียบสงบ ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะเสียงแหบแห้ง ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความผิดหวัง แฝงไว้ด้วยความขมขื่น หันตัวกลับเงียบๆ ไม่มองซ่งจวินหว่านอีก

ชั่วขณะที่หมุนตัวกลับนั้น ใจของเขาสั่นไหว นั่นคือความตกใจ เมื่อครู่ตอนที่เขาเข้ามาในถ้ำก็สัมผัสได้ถึงไอความเย็นระลอกหนึ่งที่พุ่งสูงขึ้นมา ทุกกลอุบายที่คิดมาตลอดทาง เขาล้วนไม่มีความมั่นใจ

ทำได้เพียงพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ เมื่อครู่วินาทีที่อีกฝ่ายออกมาจากน้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ทันทีว่าหากตนไม่ระวังเพียงนิดก็อาจพาตัวเองไปสู่ความซวยได้

“ผู้หญิงบ้านี่ชั่วช้าเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดคับข้องใจ เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าตอนนี้ตนได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์ มีชื่อเสียงไม่น้อยในสำนัก ดังนั้นถึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้มาจัดการเขา

“ยังดีที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ใช่คนโง่ ดูสิว่าอันดับต่อไปเจ้าจะเอาลูกไม้อะไรออกมาใช้อีก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตัว รอการลงมือครั้งต่อไปของอีกฝ่าย

ในสมองของซ่งจวินหว่านเกิดเสียงดังอื้ออึง ร่างสั่นสะท้าน ทุกคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับมีดที่ทิ่มแทงลงไปกลางใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า นางเหม่อมองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ในสายตาของนาง แผ่นหลังที่นางเห็นอยู่เบื้องหน้า บัดนี้คล้ายสูงใหญ่ขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดราวกับสามารถค้ำประคองฟ้าดินได้

นางไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไร เย่จั้งในยามนี้เขย่าคลอนจิตใจของนางอย่างรุนแรง ความรู้สึกนี้ดุจดั่งภูเขาที่ร่วงลง บดขยี้อุปสรรคกีดขวางทั้งหมด แล้วกระแทกลงบนจิตวิญญาณของนางโดยตรง

นางทำได้เพียงเงียบงัน ในใจสับสนวุ่นวาย เดิมนางวางแผนว่าวันนี้เรียกให้เย่จั้งมา หาเหตุผลสักข้อลงโทษคนผู้นี้โดยการจับขังไว้ในคุกโลหิต ทั้งสามารถทำให้ข่าวลือทั้งหมดในวันนั้นหายไป ขณะเดียวกันก็ทำให้เซวี่ยเหมยไม่สามารถมาฆ่าเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ การแก่งแย่งชิงดีระหว่างคนทั้งสองก็จะถือว่านางชนะไปหนึ่งก้าว

แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเย่จั้งที่ปกติมองตนด้วยความหื่นกระหาย มาวันนี้กลับทำท่าจะพังทลายลงเพราะอาภรณ์ไม่เรียบร้อยและการกระทำของตน ทุกประโยคที่เขาพูดออกมา โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกให้นางคืนซ่งจวินหว่านตัวจริงให้กับเขา ประโยคนี้เขย่าคลอนซ่งจวินหว่านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้หลังจากที่ซ่งจวินหว่านเงียบงันไป ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาจึงมีประกายบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากเดิมเพิ่มขึ้นมา

ซ่งจวินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้ายั่วยวนค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยความนิ่งสงบ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง อาภรณ์ชุดหนึ่งที่ค่อนข้างมิดชิดก็สวมลงบนร่างของนาง จัดระเบียบเส้นผมอีกเล็กน้อย รัศมีทั่วร่างของนางในยามนี้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก ไม่มีทางท่าเย้ายวน แต่เป็นความงดงามที่สง่าเรียบร้อยอย่างยิ่ง

เดิมทีนางก็อายุไม่มากอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อแต่งกายเช่นนี้ ความแตกต่างที่มากกว่าก่อนหน้าอย่างมากทำให้ตลอดทั้งในและนอกร่างของนางแผ่ความงามพิลาสยากจะอธิบายออกมาเป็นระลอก ราวกับปะติมากรรมชั้นยอด

ผิวพรรณขาวนวลโดยไม่ต้องใช้เครื่องประทินผิวดั่งแสงอรุณที่สาดส่องลงบนหิมะ เส้นผมดำขลับเกล้ามวยขึ้นสูง ตอนที่มองไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาประกายน้ำคู่นั้นบริสุทธิ์ใสแจ๋ว

โดยเฉพาะริมฝีปากสีชาดอิ่มตึงที่อยู่ใต้ฟันขาวสะอาดและดวงตาสุกใสดุจดวงดาว ทำให้คนมองเหมือนเห็นความงดงามและสีสันสดใสทั้งหมดเท่าที่โลกมนุษย์พึงมี

“เจ้าหันกลับมาเถอะ” ซ่งจวินหว่านพูดเบาๆ

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนระแวดระวัง ทว่ากลับเผยท่าทางผิดหวัง แฝงเร้นให้เห็นถึงความเหี้ยมหาญออกมาจากภายใน ค่อยๆ หันกายกลับมา มองซ่งจวินหว่านด้วยดวงตาลึกล้ำและขมขื่น

เพียงแค่หันมามอง ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นสะเทือนโครมคราม เขาเห็นคนสวยมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นโหวเสี่ยวเม่ยหรือโจวซินฉี หรือแม้แต่ตู้หลิงเฟยที่หายตัวไป ไม่ว่าใครก็ตามล้วนงดงามอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับซ่งจวินหว่านในยามนี้ บนร่างของซ่งจวินหว่านกลับเผยเสน่ห์และความเป็นผู้ใหญ่ที่แตกต่างจากหญิงสาวเหล่านั้น

โดยเฉพาะที่ตอนนี้ความยั่นยวนกลายมาเป็นความเรียบร้อยสง่าผ่าเผย สถานการณ์ที่พลิกกลับเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตากว้างอ้าปากค้าง

ความงามนั้นแฝงไว้ด้วยความพิสุทธิ์ ราวกับดอกบัวที่โผล่พ้นผิวน้ำ ทำให้คนมองตกตะลึงสุดขีด

“นางมารร้าย…ซ่งจวินหว่านผู้นี้คือนางมารร้ายตัวเป้ง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปากคอแห้งผาก หายใจถี่กระชั้น ความระแวดระวังในใจไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น

มองเห็นท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งจวินหว่านเอามือปิดปากหัวเราะ เสียงหัวเราะนี้ไม่มีความยั่วยวน แต่มีความทะเล้นเพิ่มเข้ามา โดยเฉพาะประกายสดใสที่อยู่ในดวงตาทั้งคู่ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น

“นี่มันอุบายอะไรกัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น หัวใจเต้นกระหน่ำโครมคราม เขารู้สึกว่าหลังจากที่ซ่งจวินหว่านลงมืออีกครั้ง อุบายครั้งนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้าหลายต่อหลายเท่านัก ครั้งนี้แทบจะใกล้เคียงกับท่าไม้ตาย อยู่ๆ เขาก็นึกไม่ออกว่าจะโจมตีกลับไปเช่นไร

“เอาล่ะ ข้าเอาซ่งจวินหว่านในหัวใจเจ้าคืนให้เจ้าแล้ว คราวนี้เจ้าพอใจหรือยัง” ซ่งจวินหว่านยิ้มงดงาม น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพูด ซ่งจวินหว่านก็เอ่ยต่อทันที

“ครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามาเพราะจะบอกเรื่องหนึ่งให้เจ้ารู้ เจ้ากลับไปเก็บของให้เรียบร้อย อีกสามวัน เช้าตรู่เจอกันที่ตีนเขาจงเฟิง เจ้ากับข้า และบุรพาจารย์ตระกูลซ่งของข้าจะเดินทางไปเยือน…สำนักธาราเทพ!”

“บุรพาจารย์ตระกูลซ่งของข้าก็เป็นหนึ่งในบุรพาจารย์ทั้งแปดท่านของสำนักธาราโลหิตเช่นกัน!” สีหน้าของซ่งจวินหว่านค่อยๆ กลายมาเป็นเคร่งขรึม เอ่ยปากเนิบนาบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง หลังจากได้ยินคำว่าสำนักธาราเทพ ในใจของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“ไปเยือน…สำนักธาราเทพ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ รู้สึกแปลกๆ พอนึกว่าตัวเองต้องใช้ตัวตนของเย่จั้งกลับไปยังสำนักธาราเทพ เขาก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

“ทำไม ไม่อยากไปหรือ?” ซ่งจวินหว่านมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ยิ้มน้อยๆ

“เดิมไม่ได้คิดจะพาเจ้าไปด้วย แต่กังวลว่าหากเจ้าอยู่ในสำนักจะถูกนางสารเลวเซวี่ยเหมยกัดไม่เลิก อีกทั้งข้าก็ไม่อยู่ด้วย ดังนั้นจึงทำได้เพียงพาเจ้าไปด้วยกัน”

“ต่อไปหากเจ้าเจอนางคนชั่วเซวี่ยเหมยนั่นก็ระวังตัวให้มากหน่อย นางหญิงต่ำช้านั่นอำมหิตโหดเหี้ยม ทั้งยังน้ำขึ้นน้ำลงวิถีดินเก้าครั้ง อู๋จี๋จื่อบิดาของนางก็ยิ่งเป็นบุรพาจารย์ที่สำนักธาราโลหิตคาดหวังว่าจะได้เลื่อนชั้นไปอีกขั้น ดังนั้นเวลาผู้หญิงคนนี้ทำอะไรจึงไม่เคยเกรงใจใคร”

“ข้ากับนางไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร นางหญิงสารเลวนั่นคิดจะอาศัยตัวตนและพรสวรรค์ของตัวเองมาแย่งตำแหน่งบุตรโลหิตของยอดเขาจงเฟิงกับข้า มีหรือที่ข้าจะยอมให้นางทำสำเร็จ!” เมื่อพูดถึงเซวี่ยเหมย ดวงตาของซ่งจวินหว่านก็เผยประกายเย็นเยียบ ราวกับรู้ว่าท่าทางของตัวเองเช่นนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับภาพลักษณ์ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่าไหร่นัก นางก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องอธิบายเพิ่มเติม

“รุ่นก่อนๆ ของสำนักธาราโลหิตเราจะต้องมีบุตรโลหิตสี่คน ตอนนี้สามเขาที่เหลือล้วนมีบุตรโลหิตทยอยกันปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว มีเพียงเขาจงเฟิงของข้าเท่านั้นที่ยังไม่มี บุตรโลหิตตำแหน่งสูงส่ง เทียบเคียงได้กับผู้อาวุโสไท่ซ่าง หากถึงขั้นรวมโอสถเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นอังคุฐโลหิต เป็นรองเพียงบุรพาจารย์เท่านั้น ตำแหน่งสำคัญมาก หากคิดจะเป็นอังคุฐโลหิตก็ต้องเป็นบุตรโลหิตให้ได้ก่อน!

บุตรโลหิตของเขาจงเฟิง หลายปีมานี้ล้วนเป็นคนของตระกูลซ่งของข้าที่ได้ครอบครอง ทว่าครั้งนี้เซวี่ยเหมยดันสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้เก้าครั้ง คิดจะช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตด้วย

หากข้าแพ้ เขาจงเฟิงที่อยู่ภายใต้การครอบครองของตระกูลซ่งของข้าก็จะเกิดรอยร้าว ซึ่งเรื่องนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด” พูดจบซ่งจวินหว่านก็หันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ใคร่ครวญอะไรบางอย่าง หลังจากคิดไปคิดมา อยู่ๆ เขาก็ถามว่า

“ถ้าเช่นนั้นการไปเยือนสำนักธาราเทพครั้งนี้ ไปด้วยเหตุอันใด?”

ซ่งจวินหว่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้เป็นความลับ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน นางไม่มีทางพูดแน่ ทว่าตอนนี้พอคิดดูแล้วก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง มือขวายกขึ้นโบก ค่ายกลตลอดทั้งถ้ำทำงานทันที เมื่อปิดผนึกรอบทิศไว้แล้ว นางจึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

———————————————————————-

[1] ดอกสุ่ยเซียน/ ดอกจุ๊ยเซียน(水仙)ชื่อภาษาอังกฤษคือดอกนาร์ซิสซัส ( Narcissus) กลีบดอกสีขาวสะอาด เกสรตรงกลางสีเหลือง กลิ่นหอมเย้ายวน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version