บทที่ 213 แค่หึหึจื่อจอมกระจอก!
เช้าตรู่ สามวันต่อมา
ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ไม่ดี มักจะนึกถึงเรื่องที่สองสำนักจะเปิดศึกต่อกันอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันในใจก็กลัดกลุ้มด้วย ครุ่นคิดว่าบางทีเมื่อสามวันก่อนตนคงแสดงออกได้อย่างยอดเยี่ยมจนผู้อาวุโสใหญ่ต้องการพาตนออกไปข้างนอกด้วยกัน
มิฉะนั้นรอจนผู้อาวุโสใหญ่จากไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าตนจะมีโอกาสไปหาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาหรอกหรือ เพียงแต่พอนึกถึงว่าถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่ต้องมีการป้องกันอย่างแน่นหนาแน่นอน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่ายหัว ใบหน้าใต้กากยามนี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ทว่าในสายตาของคนอื่น ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้กลับมืดทะมึนเย็นชา
เขาเดินออกมาจากถ้ำ แล้วก็มาถึงตีนเขาจงเฟิงอย่างรวดเร็ว ตอนที่มาถึงที่นี่ก็มีนักพรตประมาณสิบกว่าคนมารออยู่ก่อนแล้ว คนเหล่านี้พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน มีคนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่สีหน้าปกติ
เสินซ่วนจื่อ…ก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย
วินาทีที่เขามองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าก็เปลี่ยนน้อยๆ แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าจึงพลันเย็นชาขึ้นมา แค่นเสียงหึอย่างดูถูกหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้เขาหวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าตอนนี้เขาได้เอ่ยคำสาบานต่อหน้านายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยว่าพร้อมยอมรับใช้ แม้ว่าเขาจะยังกริ่งเกรงป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ความกริ่งเกรงนั้นก็ลดน้อยลงไปมากแล้ว
“ทุกคนล้วนมีบุคคลยิ่งใหญ่คอยหนุนหลัง เจ้าจะทำอะไรข้าได้!” เสินซ่วนจื่อหัวเราะเสียงเย็น
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจสายตาของคนเหล่านี้ พอมาถึงก็หาสถานที่นั่งลงทำสมาธิ รอบด้านเขาเดิมทียังมีคนอยู่สองสามคน ยามนี้ต่างก็รีบเลี่ยงออกไปด้วยท่าทีเคารพนบนอบ ช่วงเวลานี้ชื่อเสียงและบารมีของเย่จั้งได้เผยแพร่ไปทั่วสี่ทิศแล้ว
เวลาไม่นาน เงาร่างมากมายก็ทยอยกันมาถึง ในนี้มีทั้งสร้างฐานรากขั้นต้น ขั้นกลาง หรือแม้แต่ขั้นท้าย จนกระทั่งครึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่านพาผู้อาวุโสสีเลือดสองคนมาถึง ทุกคนจึงลุกขึ้นคารวะ และก็ต้องค้นพบอย่างน่าตกใจและแปลกใจว่า ผู้อาวุโสใหญ่ในความทรงจำที่ใจกล้าร้อนแรงมาโดยตลอดคนนั้นได้เปลี่ยนอาภรณ์แต่งกายไปแล้ว
ไม่ได้เร่าร้อนอย่างที่เคยเป็น แต่กลับค่อนข้างมิดชิดเรียบร้อย ทว่าลักษณะของนางในวันนี้ บวกกับใบหน้าที่งามล้ำ ทำให้เสน่ห์ของซ่งจวินหว่านไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ทำให้นักพรตที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ตกตะลึง ขณะเดียวกันก็มีคนไม่น้อยมองจนตาแข็งค้าง
ซ่งจวินหว่านยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มนี้เมื่อปรากฎขึ้น มีคนไม่น้อยถึงกับตาพร่า ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งใจเต้นกระหน่ำ
ขณะที่ซ่งจวินหว่านกวาดตามองทุกคน สายตาของนางมาหยุดอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ นางถึงได้ถลึงตาดุดันใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ออกอุบายอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตึงเครียด ยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม รู้สึกว่าซ่งจวินหว่านผู้นี้คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ เมื่อสามวันก่อนตอนเจอตนยังยิ้มหน้าบานอยู่เลย วันนี้กลับถลึงตาใส่ตนซะงั้น และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังวิเคราะห์ด้วยความแปลกใจอยู่นั้นเอง เสียงของซ่งจวินหว่านก็ดังก้องไปทั่วทิศ
“ครั้งนี้พวกเจ้าคือคนที่ได้รับเลือกให้ไปเยือนสำนักธาราเทพพร้อมกับบุรพาจารย์ การไปเยือนครั้งนี้ขอให้ทุกท่านตื่นตัวตลอดเวลา อย่าให้ขายหน้าสำนักธาราโลหิตเด็ดขาด!” ซ่งจวินหว่านเก็บเสียงหัวเราะ เอ่ยปากด้วยความจริงจัง ทุกคนรอบด้านพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
และตอนนี้เอง ทันใดนั้นบนเขาจู่เฟิงที่ห่างออกไปไกล ชั้นเมฆสีเลือดพลันแผ่กระจายดังครั่นครืนราวเสียงอสนีบาตที่ดังลั่นไปทั่วสี่ทิศ เมฆสีเลือดนั้นโหมซัดสาดไล่หลังกันขยายตัวออกไป จนกระทั่งแผ่ไปได้หลายร้อยจั้งถึงได้ลอยมาด้านหน้าช้าๆ สามารถมองเห็นได้รำไรว่าบนชั้นเมฆแห่งนี้มีผู้เฒ่าคนหนึ่ง ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วง สวมหมวกสูง แม้จะแก่ชรา ทว่าเอวกลับตั้งตรง บารมีแผ่ซ่านทั้งที่ไม่ต้องแสดงความโกรธ บนร่างมีปราณที่น่าตะลึงระลอกหนึ่งดำรงอยู่ ปราณนี้เพียงแค่ทุกคนรับสัมผัสน้อยๆ จิตใจก็พลันสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ราวกับถูกเขย่าขวัญ
“บุรพาจารย์ตระกูลซ่ง!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือก ลมหายใจถี่ระรัว รีบก้มหน้าเก็บสายตา ความรู้สึกที่ผู้เฒ่าคนนั้นมอบให้เขาก็คือความลึกล้ำมิอาจคาดเดา ราวกับว่าเพียงความคิดเดียวก็สามารถทำให้ตนไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป
ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ นักพรตรอบด้านก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน สีหน้าเคารพนบนอบ คารวะอย่างพร้อมเพรียง
“คารวะท่านบุรพาจารย์!”
“ขึ้นมากันเถอะ ข้าผู้อาวุโสจะพาพวกเจ้าไปที่สำนักธาราเทพ!” ขณะที่น้ำเสียงแก่เฒ่าดังอยู่ระหว่างชั้นเมฆ บุรพาจารย์ตระกูลซ่งผู้นั้นก็ก้มหน้าลงมองทุกคนหนึ่งครั้ง เพียงแค่สายตาเดียวก็ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับตกอยู่ในเหมันต์เย็นเยียบ จุดลึกในจิตใจเกิดความหนาวเย็นไร้ที่สิ้นสุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นเล็กน้อย บุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิต เมื่อรวมกับท่านข้างหน้านี้ เขาได้เจอมาแล้วสองคน คนแรกก็คืออู๋จี๋จื่อ ตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบคนทั้งสองเข้าด้วยกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ความอกสั่นขวัญหายที่อู๋จี๋จื่อมอบให้เขาเทียบไม่ได้กับบุรพาจารย์ตระกูลซ่งเบื้องหน้าผู้นี้เลย
“ใช่แล้ว อู๋จี๋จื่อคือบุรพาจารย์ที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ พลังแฝงมหาศาล ทว่ายังไงก็ยังหนุ่ม…ส่วนบุรพาจารย์ตระกูลซ่งท่านนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกมีประสบการณ์ ตบะลึกล้ำถึงระดับน่าหวาดกลัว ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีอายุอยู่มานานแค่ไหนแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือก ตอนที่ก้มหน้าลงมองกลับพบว่าร่างกายของตัวเองและคนอื่นที่อยู่รอบกายพลันถูกพลังมหัศจรรย์บางอย่างปกคลุม บินลอยขึ้นไปกลางอากาศอย่างมิอาจควบคุมได้ พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่บนชั้นเมฆสีเลือด
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าถอดสี เหยียบอยู่บนก้อนเมฆ แม้รอบด้านจะเป็นชั้นเมฆอ่อนนุ่ม ทว่ากลับเหนียวทนทาน ตอนที่ก้มหน้าลงมองสำนักธาราโลหิตซึ่งอยู่เบื้องล่าง อยู่ๆ หมอกสีเลือดเหล่านี้ก็กลิ้งซัดไล่หลังกัน เคลื่อนตัวไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล
ผืนดินด้านล่างหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ไหลผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์ความเร็วนี้ได้แล้วก็ยิ่งตื่นตะลึง ความเร็วเช่นนี้ต่อให้เขาทุ่มเทพลังทั้งหมดก็ไม่สามารถเทียบได้แม้แต่สามส่วน
“นี่ก็คือบุรพาจารย์หรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย หันหน้าไปมองคนอื่น ในบรรดานักพรตเหล่านี้ซึ่งรวมเสินซ่วนจื่อไว้ด้วย แต่ละคนไม่มีใครดีไปกว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ล้วนหน้าซีดขาว แตกตื่นกันทุกคน
มีเพียงซ่งจวินหว่านและผู้อาวุโสสีเลือดสองคนด้านหลังนางซึ่งขณะนี้กำลังนัดขัดสมาธิอยู่ด้านหน้า สีหน้าราบเรียบ เบื้องหน้าคนทั้งสามก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซ่งผู้นั้น…แค่เพียงแผ่นหลังก็ดุจดั่งน้ำวนลูกหนึ่งที่พาให้จิตวิญญาณของทุกคนจมดิ่งลงไป
เมื่อมองใกล้ๆ สามารถมองเห็นผมสีดอกเลาของเขาปลิวสะบัด ริ้วรอยบนใบหน้ามีเยอะมาก ทั้งยังมีกระสีน้ำตาลอยู่บางส่วน ยามนี้กำลังหลับตานั่งทำสมาธิ
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรับตัวเข้ากับความเร็วนี้ได้ บนหมอกเมฆ รอบด้านมีค่ายกลอยู่หนึ่งชั้น ทำให้ลมพัดเข้ามาได้น้อย แม้จะทำให้ผมปลิวไสว แต่กลับไม่เป็นอุปสรรค
คิดว่าอีกไม่นานก็จะได้ใช้ตัวตนของเย่จั้งกลับไปเยือนสำนักธาราเทพ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกฮึกเหิมแปลกประหลาดบางอย่างเกิดขึ้น เบื้องหน้าเขามีเงาร่างมากมายลอยขึ้นมา
“ไม่รู้ว่ากลับไปครั้งนี้ พอเจอจางต้าพั่ง จ้างต้าพั่งจะจำข้าได้หรือเปล่า ฮิฮิ…แล้วก็โหวเสี่ยวเม่ย หากข้าใช้ตัวตนของเย่ตะโกนเรียกนางว่าเสี่ยวเม่ย…รวมไปถึงโจวซินฉี สวีเป่าไฉ กุ่ยหยา…” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงคนพวกนี้ก็หัวเราะขึ้นมาทันที
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฮึกเหิม ด้านข้างก็มีเสียงหึเย็นๆ ดังลอยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนผินหน้าไปมองก็เห็นทันทีว่าเสินซ่วนจื่ออยู่ห่างจากตัวเองไม่ไกล ยามนี้ดวงตาของเขาที่แฝงแววดูหมิ่น ทั้งยังซุกซ่อนความเย็นเยียบเอาไว้ กำลังมองมายังตน
“เจ้าฮื้อฮ้าจื่อ เจ้ามองข้าทำไม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงเย็น
คำพูดของเขาดังออกไป คนรอบด้านพากันตื่นตัวขึ้นมาทันที การเดินทางครั้งนี้เนื่องจากมีบุรพาจารย์และผู้อาวุโสใหญ่อยู่ด้วย พวกเขารู้สึกกดดันมาก ไม่กล้าออกเสียง ต่างฝ่ายต่างนั่งทำสมาธิ รู้สึกเบื่อน้อยๆ ยามนี้พอมองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนและเสินซ่วนจื่อคล้ายจะมีเรื่องกัน จึงคึกคักขึ้นมาโดยพลัน
โดยเฉพาะป๋ายเสี่ยวฉุนที่แค่เอ่ยปากก็เป็นคำเสียดสี คำว่าเจ้าฮื้อฮ้าจื่อนั้น คนไม่น้อยพอได้ยินก็อึ้งกันไปก่อน จากนั้นถึงจะตั้งสติได้
“เจ้าว่าอะไรนะ!” ไฟกองใหญ่ลุกท่วมในใจเสินซ่วนจื่อ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเดือดดาล
“เจ้าไม่ชอบชื่อนี้หรือ? ไม่ถูกสิ ก็เห็นเจ้าชอบหึนักไม่ใช่หรือ ตลอดทางมานี้ตั้งแต่เจอหน้าข้าจนถึงตอนนี้เจ้าหึใส่ข้าตั้งหลายครั้งแล้ว หึอีกที ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าหึหึจื่อล่ะนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากราบเรียบ สีหน้าเย็นชา ทว่าคำพูดกลับยั่วเย้า ทำให้เสินซ่วนจื่อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ขณะเดียวกันรอบด้านก็มีคนไม่น้อยหัวเราะพรืดออกมา
“เจ้า…หึ ก็แค่ฝึกปราณกระบี่เป็นนิดหน่อยเท่านั้น วันธรรมดาเอาแต่โอ้อวดตนไปเรื่อย ทำให้คนอื่นไม่สามารถบำเพ็ญตบะได้ คนไร้ค่าเช่นเจ้า สักวันจะต้องถูกนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยกำจัด!” เสินซ่วนจื่อตอกกลับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา
“เจ้ามันก็ดีแต่ดูดวงไม่ใช่หรือ ปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนอื่นไปเรื่อย นี่น่ะหรือที่เรียกว่าความสามารถ จะบอกอะไรให้นะ ข้าเย่จั้งบนรู้ดวงดาว ล่างรู้น้ำพุใต้ธรณี แค่กวาดสายตามอง ในรัศมีหมื่นลี้ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้ แค่สะบัดปลายแขนเสื้อก็สามารถทำให้หึหึจื่ออย่างเจ้าสิ้นราบพนาสูร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง พูดอย่างโอหัง บนชั้นเมฆแห่งนี้มีบุรพาจารย์อยู่ด้วย ไม่มีใครกล้าลงมือ เรื่องที่ไม่สามารถขยับมือ ได้แต่ขยับปากเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนชื่นชอบที่สุดเลยล่ะ แล้วก็ไม่เคยกลัวใครมาก่อนด้วย
“เจ้ามันไร้ยางอาย หึ!” เสินซ่วนจื่อกัดฟันแค่นเสียงหึ ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนตัดบท
“เห็นไหมเจ้าหึอีกแล้ว หึหึจื่อ? ปรึกษากันหน่อยสิ อย่าหึหึอีกเลยได้ไหม นี่หากไปถึงสำนักธาราเทพแล้วยังเอาแต่หึหึอยู่แบบนี้ หากถูกคนอื่นเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นปีศาจหมูแปลงกายมา มันจะขายหน้าเอาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ
“เจ้า!!” เสินซ่วนจื่อเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่เจอหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนไฟโทสะจะต้องลุกโชติช่วงไปสามจั้ง เวลานี้อยู่ต่อหน้าคนมากมาย ทั้งตนยังเถียงไม่ชนะอีกฝ่าย เขาจึงเดือดดาลถึงขีดสุด ลุกพรวดขึ้นยืน
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนมีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน ปลายนิ้วชี้มือขวายามนี้มีปราณเลือดมารวมตัวกันรออยู่แล้ว
เสินซ่วนจื่อเองก็เห็นภาพนี้เช่นกัน ใจหายวาบ เขาแค่ลุกขึ้นยืนเท่านั้น ไม่ได้คิดจะลงมือ
“พอแล้ว เสินซ่วนจื่อเจ้านั่งลง! เย่จั้ง เจ้ามานั่งข้างกายข้า!” และเวลานี้เอง ซ่งจวินหว่านผู้อาวุโสใหญ่หันกลับมามองคนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับทำให้เสินซ่วนจื่อได้โอกาสนั่งลง ขณะที่กำลังจะแค่นเสียงหึอีกหนึ่งรอบก็นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาได้ เขาฝืนข่มกลั้นเอาไว้ ในใจยิ่งเกลียดป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นไปอีก
ทุกคนรอบด้านจัดอาภรณ์นั่งให้เรียบร้อย แต่ในใจกลับอิจฉาป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนักที่ได้ไปนั่งเคียงข้างกับผู้อาวุโสใหญ่ แถมบุรพาจารย์ก็อยู่ตรงนั้นด้วย นี่หากถูกบุรพาจารย์มองมาหลายครั้งแล้วจดจำได้ ถ้าเช่นนั้นวันหน้าในสำนักต้องมีโอกาสอีกมากมายแน่นอน
“ผู้อาวุโสใหญ่ คือว่า…ข้าอยู่ตรงนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ข้าว่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหดคอลง เพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ซ่งจวินหว่านกลับหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครั้ง
“มานี่!”
———
