บทที่ 216 ไม่มีอะไรที่ไม่รู้
ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน เป่ยหันเลี่ยและหลู่เทียนเหล่ยซึ่งรับหน้าที่จับตามองเขา ยามนี้ดวงตาของพวกเขาก็หดลง ตกใจกับความแม่นยำในการอนุมานของเย่จั้งผู้นี้ไม่น้อย
รอบด้านพลันเงียบสงัด วินาทีนั้นสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ มีความสุขกับการมองเห็นสายตาตกตะลึงจากคนรอบกาย
โดยเฉพาะท่าทางขวัญกระเจิงของเสินซ่วนจื่อ บัดนี้คนผู้นี้ใกล้จะพังทลายเต็มที
สีหน้าคาดคิดไม่ถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสบายอารมณ์อย่างถึงขีดสุด
“แค่หึหึจื่อจอมกระจอกยังมีหน้ากล้ามาสู้กับข้า หึ หากเป็นสำนักอื่นก็ยังพอว่า แต่สำนักธาราเทพแห่งนี้คือบ้านของข้า ข้ายังต้องพยากรณ์อะไรอีกงั้นหรือ? หลับตาเดินยังไม่หลงทางเลย!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานเปี่ยมสุข รู้สึกว่าความฝันที่จะได้รับการจับจ้องจากสายตาของคนนับหมื่นของตัวเอง ตอนนี้ใกล้จะเป็นความจริงแล้ว
ขณะที่กำลังจะถอนตัวเพราะประสบความสำเร็จแล้วนั้น เสินซ่วนจื่อสีหน้าดุร้าย อยู่ๆ ก็คำรามขึ้นมาเสียงดัง
“ไม่ถูก เย่จั้ง เมื่อครู่นี้เจ้าตบตาผู้คน ถ้ำแห่งนี้แค่มองก็เห็นปราณสีม่วงลอยขึ้นมา ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะคำนวณออกมาได้จริง!” เสียงของเสินซ่วนจื่อแหลมสูง เมื่อดังออกมา ซ่งจวินหว่านขมวดคิ้วฉับ ทุกคนของสำนักธาราเทพก็ลังเลกันไปครู่หนึ่ง พวกเขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่พยากรณ์ได้แม่นยำถึงขนาดนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ดขึ้นมาทันที ถลึงตากลับ
“เจ้าไม่ยอมแพ้ใช่ไหม? ได้ ข้าจะทำให้เจ้ายอมแพ้ให้ดู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ปิดตาทั้งคู่ลง ครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าเดิมเล็กน้อย ขณะที่ทุกคนรอบด้านกำลังเริ่มเกิดความสงสัยนั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง
ในดวงตาของเขาฉายประกายแสงแปลกประหลาดราวกับมีแสงระยิบระยับสาดส่องเต็มไปหมด ทำให้สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียดมากขึ้น ตลอดร่างก็ยิ่งมีปราณดุร้ายแผ่ออกมาเป็นระลอก
สายตาไปตกอยู่บนถ้ำอีกแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล ระหว่างที่กระแอมแห้งๆ ก็ยกมือขวาขึ้นชี้
“ถ้ำแห่งนี้เคยถูกฟ้าผ่ามาก่อน!” คำพูดของเขาดังออกไป ลูกตาของโจวซินฉีพลันหดตัวเข้าหากัน ถ้ำแห่งนี้ก็คือถ้ำของโจวซินฉีตอนเป็นศิษย์ฝ่ายใน ปีนั้นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยามันเคยถูกฟ้าผ่าจริง
ขณะที่เสินซ่วนจื่อเตรียมจะอ้าปากโต้กลับ
ทว่าการอนุมานของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เสร็จสิ้น ประกายประหลาดในดวงตาของเขาเปล่งแสงวิบวับ หลังจากมองถ้ำแห่งนั้นอย่างละเอียดก็เดินเข้าไปดมใกล้ๆ
“ที่นี่มีกลิ่นอายของชาดทาแก้ม หากข้าเย่จั้งไม่ได้ทายผิด ถ้าเช่นนั้นถ้ำแห่งนี้ไม่เพียงแต่เคยถูกฟ้าผ่ามาก่อน แต่ยังเป็นถ้ำของลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งด้วย!”
“ไหนข้าลองคำนวณดูอีกทีสิ…อืม อีกอย่างลูกศิษย์หญิงคนนี้ยังเป็นสาวงามคนหนึ่ง เดี๋ยวข้าจะลองคำนวณชื่อของหญิงสาวผู้นี้ดู!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หลังจากเอ่ยปากอย่างโอหังก็มองเห็นว่าคนรอบด้านพากันทำหน้าเซ่อ นึกลำพองใจ มือขวายกขึ้นเริ่มทำมุทรา ผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจก็เอ่ยปากอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนนี้…แซ่โจว!” อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนตัวกลับมา มองไปยังโจวซินฉีที่บัดนี้เบิกตากว้างอ้าปากค้างไปเรียบร้อย หลังจากประเมินอย่างละเอียดหนึ่งรอบก็ชี้นิ้วมาที่โจวซินฉี
“ที่นี่ เคยเป็นถ้ำของเจ้ามาก่อน!”
ลูกศิษย์สำนักธาราเทพทุกคนพลันฮือฮากันขึ้นมา เผยสีหน้าเหลือเชื่อตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน เป่ยหันเลี่ยและหลู่เทียนเหล่ยสำลักลมหายใจ จางตาพั่งที่อยู่ด้านข้างก็ยิ่งสั่นไปทั้งร่าง
ดวงตาของสวีเหม่ยเซียงมีประกายเย็นเยียบวาบผ่าน สำหรับนักพรตเช่นนี้ของสำนักธาราโลหิต ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคำนวณออกมาได้จริง หรือก่อนหน้านี้เคยได้รับข้อมูลมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ล้วนทำให้นางตื่นตะลึงได้ทั้งสิ้น จิตสังหารที่มีต่อเย่จั้งจึงพุ่งสูง
โจวซินฉีเงียบงันไปชั่วครู่ มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชาแล้วพยักหน้า
เมื่อนางพยักหน้าแบบนี้ ทุกคนของสำนักธาราโลหิตก็เบิกตาค้างกันไปทันที ในสมองของเสินซ่วนจื่อราวกับมีฟ้าผ่าดังเลื่อนลั่น ตะลึงลานอย่างสมบูรณ์แบบ
“จะเป็นไปได้ยังไง…” ร่างของเขาสั่นเยือก บัดนี้สมองมีเสียงดังอื้ออึง ต่อให้เป็นตอนนี้เขาก็ยังคงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ทั้งๆ ที่เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงปราณแห่งการอนุมานจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่นิดเดียว ทว่าอีกฝ่าย…กลับคำนวณทุกเรื่องออกมาได้
ประกายสดใสในดวงตาซ่งจวินหว่านยิ่งมีมาก ก่อนหน้านี้นางเคยไปสืบเรื่องของเย่จั้ง รู้ว่าตอนที่เย่จั้งยังเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในก็เป็นวิชาพยากรณ์ฟ้าแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสินซ่วนจื่อเสียอีก
มองเห็นทุกคนมีท่าทางเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งภาคภูมิใจ คึกคักฮึกเหิม เดินออกไปเร็วๆ หลายก้าว เปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านเสียเอง เริ่มแนะนำเขาเซียงอวิ๋นให้กับทุกคนฟัง ซึ่งนี่เดิมทีเป็นงานของพวกสวีเหม่ยเซียงและโจวซินฉี ทว่าตอนนี้ ทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปได้หลายก้าวก็จะหลับตาลงอยู่พักหนึ่ง พอลืมตาขึ้นก็มักจะพูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนของสำนักธาราเทพหน้าเปลี่ยนสีอย่างต่อเนื่อง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้หนักรู้เบา เรื่องที่ควรพูดก็พูด เรื่องที่ไม่ควรพูดก็ไม่หลุดออกมาสักแอะ
“ที่นี่…เอ๊ะ รอยแตกของก้อนหินเหล่านี้ดูแปลกๆ นะ ไหนข้าลองคำนวณดูสิ…อืม ที่นี่เคยมีงูปรากฏมาก่อน งูหลายตัว งูเยอะมากๆ เลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้าอยู่ข้างก้อนหินที่มีรอยร้าวแห่งหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม หลังจากคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ที่นี่ก็เคยถูกฟ้าผ่าเหมือนกัน สวรรค์ เขาเซียงอวิ๋นมีกี่ที่กันแน่ที่เคยถูกฟ้าผ่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนนำทุกคนเดินๆ หยุดๆ บางครั้งก็ร้องอุทานตกใจ มือไม้ก็ชี้ไปทั่ว
“ที่นี่มีปราณของผู้แข็งแกร่ง ข้ายังคงสัมผัสได้ว่าที่นี่เคยมีสุดยอดผู้แข็งแกร่งอยู่คนหนึ่ง เขาเคยยืนอยู่ตรงนี้มองใต้หล้าด้วยความภาคภูมิใจ คนผู้นี้น่าจะเป็นอันดับหนึ่งเรื่องพืชหญ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพาทุกคนมาหยุดอยู่นอกหอพืชหญ้า หลังจากหลับตาลงก็หันหลังให้หอพืชหญ้า เอ่ยชื่นชมราวกับว่าสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่พูดถึงนั้นน่านับถืออย่างยิ่ง
“ที่นี่คือหอภารกิจใช่ไหม ข้าสัมผัสได้ว่าเคยมีคนคนหนึ่ง กวาดเอาภารกิจทั้งหมดไปทำเสียเกลี้ยง!” ไม่นานก็มาถึงจุดรับภารกิจ เพิ่งจะมาถึงป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้องอุทานเสียงหลง
“เอ๊ะ ที่นี่ข้าสัมผัสได้ถึงปราณของนก ที่นี่เคยมีนกตัวใหญ่ตัวหนึ่ง!”
“แล้วก็ตรงนี้…ไม่ถูกสิ ไหนข้าคำนวณสิ…ที่นี่เคยไก่หาย!”
จากการที่เขาพาทุกคนเดินไปทั่วเขาเซียงอวิ๋นอย่างต่อเนื่อง คำพูดที่เขาพูดออกมาเริ่มทำให้ทุกคนของสำนักธาราเทพตะลึงงัน แถมยังถูกต้องทั้งหมด ไม่ผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ราวกับว่าเย่จั้งผู้นี้เคยมาที่สำนักธาราเทพมาก่อน ทั้งยังเคยอาศัยอยู่ที่นี่มานานอีกด้วย
โจวซินฉีหายใจกระชั้น หลังจากที่หลู่เทียนเหล่ยและเป่ยหันเลี่ยมองเห็นสีหน้าของโจวซินฉี ในใจก็ยิ่งแตกตื่น ประกายเย็นเฉียบในดวงตาของสวีเหม่ยเซียงก็ยิ่งเข้มข้น
หญิงชราของเขายวนเหว่ยเองก็ใจสั่นไม่ต่างกัน แต่ยังดีที่เนื้อหาซึ่งพวกเขาได้ยินเย่จั้งผู้นี้พูดต่างก็เป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยังอดตกใจไม่ได้ การคาดเดาจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นมากลางใจ ถึงขนาดมีคนคาดเดาว่าเจ้าเย่จั้งผู้นี้ เป็นไปได้มากว่าเคยแอบมาสอดแนมสำนักธาราเทพ!
เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดเดาต่างๆ ของสำนักธาราเทพแล้ว ทุกคนของสำนักธาราโลหิตต่างรู้ว่าเย่จั้งไม่เคยมาที่สำนักธาราเทพมาก่อน ยามนี้จิตใจจึงสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเสินซ่วนจื่อที่ยิ่งราวกับมีสายฟ้าฟาดใส่ร่างติดต่อกัน ตะลึงลานไปโดยสิ้นเชิง เขาพบว่าค่ายกลใหญ่ของที่นี่มีอยู่ทุกหนแห่ง ตนไม่กล้าแตะต้องเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงขนาดที่ว่าแค่เขาเริ่มร่ายวิชาอนุมานเล็กน้อยก็ยังมีความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ทว่าเย่จั้งกลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เดินผ่านตรงไหนก็คำนวณตรงนั้น ใช้วิชาการอนุมานที่แม้แต่เสินซ่วนจื่อก็ยังดูไม่ออกถึงเส้นสนกลใน พูดคุยสนุกสนานมาตลอดทาง นำมาสู่ความสะท้านสะเทือนครั้งแล้วครั้งเล่า
จนเสินซ่วนจื่อเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองเสียแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ในสายตาของคนสำนักธาราโลหิต มีเพียงคำอธิบายเดียว เย่จั้งผู้นี้…มีความรู้ด้านการพยากรณ์ฟ้าดินลึกซึ้งถึงขั้นเขย่าคลอนฟ้าดินได้
เห็นว่าเดินไปทั่วเขาเซียงอวิ๋นแล้ว ตลอดทางมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจไม่หยุด ทว่าคนรอบด้านกลับมีสีหน้าเลื่อนลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และเวลานี้เอง จางต้าพั่งหายใจถี่รั่ว หลังจากมองสวีเหม่ยเซียงที่อยู่ข้างกายครั้งหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมา ชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน คำรามเสียงต่ำหนึ่งครั้ง
“ผู้อาวุโสเย่จั้ง ในเมื่อเจ้าคำนวณเก่งขนาดนี้ ไหนลองคำนวณเรื่องของข้าดูบ้างสิ!”
พอเขาพูดแบบนี้ คนรอบด้านจึงเงียบเสียงกันทันที ทุกคนของสำนักธาราโลหิตมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนเสินซ่วนจื่อยิ่งฮึกเหิมเป็นกำลัง
“วิชาคำนวณวัตถุนั้นง่าย ทว่าวิชาคำนวณคนนั้นยากมาก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าเย่จั้งผู้นี้จะคำนวณชะตาชีวิตคนได้เก่งกาจเกินจริงขนาดนั้น!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเหยเก มองจางต้าพั่งหนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าไม่ควรพูดความจริง ตอนนี้พอคิดได้แล้วว่าจะพูดอะไรจึงหลับตาทั้งคู่ลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ใจของจางต้าพั่งเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน ตัวเขานั้นไม่ได้อยากออกมา ทว่าสวีเหม่ยเซียงให้เขาลองหยั่งเชิงดู เขาไม่กล้าขัดคำสั่ง เวลานี้ใจเต้นกระหน่ำโครมคราม พอมองเห็นเย่จั้งที่อยู่ด้านหน้าหลับตาลง เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากไปอีก
หลังจากผ่านไปสิบกว่าชั่วลมหายใจ ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง มองมาทางจางต้าพั่ง เอ่ยปากเนิบนาบ
“น้องชายมีชะตาชีวิตที่ไม่เลว ร่ำรวยเสพสุขได้ตลอดชีวิต วันหน้าย่อมมีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่รออยู่”
จางต้าพั่งเหม่อลอยเล็กน้อย คำพูดเหล่านี้ เขารู้สึกอีกฝ่ายพูดกว้างเกินไป มิอาจโต้กลับได้ ยามนี้จึงทำได้เพียงมองสวีเหม่ยเซียงตาปริบๆ
สวีเหม่ยเซียงมองดูเหมือนยิ้ม ทว่าในความเป็นจริงแล้วในใจยิ่งระวังเย่จั้งมากกว่าเดิม ส่วนคนอื่นของสำนักธาราเทพก็มีสีหน้าปั้นยาก คำพูดเหล่านี้ของเย่จั้งต่างก็เป็นคำพูดที่ดี ยังไงก็คงไม่สามารถตอกกลับว่าเขาคำนวณได้ไม่แม่นยำหรอกกระมัง
“เจ้าคำนวณได้…” จางต้าพั่งกัดฟัน กำลังจะเอ่ยปากพูด
“เมื่อก่อนเจ้าเป็นคนอ้วน อ้วนมาก ถือกำเนิดที่ครัวไฟ แต่ภายหลังมีวาสนาได้กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก…ไหนข้าลองคำนวณสิ อืม ระหว่างที่เจ้าจะได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกก็มีอุปสรรคอยู่หลายครั้ง ซึ่งอุปสรรคพวกนั้นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเผยแววแปลกประหลาดออกมาอีกครั้ง ชี้นิ้วไปที่จางต้าพั่ง พูดด้วยท่าทีขึงขัง
พอเขาพูดจบ จางต้าพั่งก็สำลักลมหายใจทันที รู้สึกว่าสายตาของเย่จั้งที่มองมาทำให้เขาขนลุกขนพอง ราวกับว่าความลับทุกอย่าง แค่อีกฝ่ายมองปราดเดียวก็ล้วนถูกเปิดโปงออกมาได้
ทุกคนของสำนักธาราเทพเงียบกริบ แต่ละคนตื่นตะลึงอย่างยิ่งยวด
เมื่อเห็นว่าแค่เย่จั้งคนเดียวก็สามารถทำให้นักพรตของสำนักธาราเทพที่อยู่แห่งนี้แตกตื่นได้ ซ่งจวินหว่านจึงเอามือปิดปากหัวเราะ เสียงหัวเราะราวระฆังแก้วดังกังวานไปสี่ทิศ
“ต่างก็พูดกันว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแห่งสำนักธาราเทพสร้างฐานรากวิถีฟ้า ยอดเยี่ยมเลิศล้ำ ทว่าสำหรับข้าแล้ว เย่จั้งแห่งสำนักธาราโลหิตของข้า แม้จะเป็นเพียงสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ สติปัญญา หรือตบะ ก็ล้วนดีเยี่ยมทุกด้าน มากพอที่จะทัดเทียมกับป๋ายเสี่ยวฉุนได้ น่าเสียดายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน มิฉะนั้น หากพวกเขาได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ต้องยิ่งน่าดูมากแน่นอน”
พอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้หัวใจก็เต้นโครมคราม คิดว่าตนจะแลกเปลี่ยนคามรู้กับตัวเองได้อย่างไร จินตนาการภาพว่า หรือต้องให้ตนยกมือซ้ายขึ้นมาตีมือขวา…
นึกมาถึงตรงนี้เขาก็ก้มหน้ามองมือทั้งคู่ของตัวเอง กะพริบตาปริบๆ
——