Skip to content

A Will Eternal 224

บทที่ 224 แบบนี้คงไม่ถือว่าเป็นกบฏต่อสำนักกระมัง

เวลาผ่านไปอีกสิบวัน หลังจากที่เตาหลอมยาระเบิดอีกสองครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนไร้หนทางอื่น ทำได้เพียงลดสรรพคุณของยาลง นั่นถึงทำให้เตาหลอมไม่ระเบิดอีก เขาจนใจเล็กน้อย รู้สึกว่าเตาหลอมพวกนี้เปราะบางเกินไป…

หลังจากลดสรรพคุณของยาลง ผ่านการผสมผสานกับวิธีพืชหญ้าหมื่นสรรพสิ่งของเขา จากแรกเริ่มที่ไม่มั่นคง ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นมั่นคงมากแล้ว ภายใต้ความพยายามของป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดก็หลอมยาชุบวิญญาณรวมผลึกระดับสี่ออกมาได้หนึ่งเตา

แม้ว่าจะมีแค่ห้าเม็ด อีกทั้งคุณสมบัติเป็นแค่สิ่งของระดับล่าง ทว่าปราณวิญญาณที่แฝงเร้นอยู่ในยาเม็ดนี้กลับเหนือล้ำเกินกว่ายาวิเศษใดๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยหลอมมาก่อนหน้า เมื่อหยิบมาถือในมือ เขายังสัมผัสได้ด้วยว่ายาวิเศษนี้กำลังสั่นสะท้าน

ราวกับมีความวิเศษที่แน่นอนอยู่ในนั้น…

นี่คือความพิเศษอย่างหนึ่งของยาระดับสี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ก็สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตายิ่งฮึกเหิมมากขึ้น เพียงแค่ยาพวกนี้เขาก็มั่นใจว่าจะทำให้พวกผู้อาวุโสไท่ซ่างของสำนักธาราโลหิตพอใจได้ ส่วนบุรพาจารย์เหล่านั้น บางทียานี่อาจจะยังไม่ดีพอ

“ขอแค่อัตราความสำเร็จในการหลอมยาของข้าเพิ่มสูงขึ้น ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง พอได้เห็นก็ต้องยอมรับออกมาจากใจจริง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น ลำพองใจอยู่ในใจ เปิดเตาหลอมต่อ เตรียมฝึกฝนฝีมือให้ชำนาญ

สิ่งที่เขาต้องการคือความเชี่ยวชาญต่อยาวิเศษระดับสี่ทั้งหมด ซึ่งต้องมีอัตราหลอมสำเร็จสูงสุด เหมือนกับที่เขาทำได้ในยาสามระดับแรก ภายใต้ความตั้งมั่นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่สนใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้านนอก จมจ่อมอยู่กับการหลอมยา เมื่อเลือกยาหอมเลื่อนลอยซึ่งเป็นตัวแทนของยาระดับสี่อีกประเภทหนึ่งได้แล้วก็เริ่มหลอมยา

หลายวันต่อมา หลังจากยาวิเศษที่เขาใช้เส้นทางใหม่ในการหลอมส่งกลิ่นหอมออกมา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โชนแสงวาววับ มือขวายกขึ้นทำมุทราเปิดฝาเตาออก ควันสีเขียวระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาแล้วแผ่กระจายไปทั่ว

“หืม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้สนใจควันสีเขียวนั่น แต่กวาดสายตามองไปในเตา แล้วก็ต้องค้นพบด้วยความตะลึงว่า ในเตาหลอมยา…ไม่มียาวิเศษอยู่!

“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ หาอย่างละเอียดอยู่นานมากก็ยังหายาไม่พบ แม้แต่กากยาก็ยังไม่มี ราวกับว่ายาวิเศษในเตาอยู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงควันสีเขียวก่อนหน้านั้นจึงมองไปรอบด้าน แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น หลอมยาอีกครั้ง หลังจากสังเกตอย่างละเอียดจึงรู้สาเหตุ

“กลายมาเป็นควันสีเขียว?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองควันสีเขียวในเตาหลอมที่พอลอยขึ้นมาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าเขาจะพยายามกักควันเขียวนี้ไว้อย่างไรก็ไม่ได้ผล

“น่าสนใจ ยาวิเศษระดับสี่ทุกชนิดล้วนมีจุดที่พิเศษ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ท้อใจ กลับยิ่งสนใจมากขึ้น อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาทดลองใช้วิธีแตกต่างกันมากมายหลอมยาทั้งหมดสิบกว่าเตา ทว่าก็ยังคงล้มเหลวทั้งหมด ยายังคงกลายเป็นควันเขียวลอยกระจายออกไป

และในขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังศึกษาและหลอมยาหอมเลื่อนลอยนี้ นักพรตของเขาจงเฟิงเพิ่งจะตื่นจากฝันร้ายของเตาระเบิด ยังไม่ทันได้ฉลองดีใจก็ต้องตกอยู่ในฝันร้ายครั้งใหม่อีกครั้ง

นักพรตคนแรกที่ท้องเสียคือเสินซ่วนจื่อ คืนหนึ่งของเมื่อสิบกว่าวันก่อน เขากำลังช่วยพยากรณ์ให้กับคนอื่น ทันใดนั้นหน้าก็ถอดสี และที่ยิ่งเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่ก็คือภายใต้ความแปลกใจของสหายร่วมสำนักข้างกายเขา

เสินซ่วนจื่อหน้าแดงแปร๊ดจากไปไกลด้วยความรวดเร็ว คืนนั้นเขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะพังทลายเต็มที เช้าตรู่วันที่สอง ใบหน้าเขาซีดเผือดโรยแรงไปทั้งร่าง

“เกิดอะไรขึ้น ข้าไม่กินธัญพืชทั้งห้า[1]มาสิบกว่าปีแล้ว ทำไมถึงยังท้องเสียได้…” เสินซ่วนจื่อเอามือกุมท้อง เริ่มคำนวณด้วยความเครียด ทว่ายังไม่ทันได้คำนวณเสร็จก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากอีกครั้ง…

จากนั้นนักพรตคนแล้วคนเล่า ไม่ว่าจะอยู่ในถ้ำหรืออยู่นอกถ้ำ ขอแค่อาศัยอยู่ในเขาจงเฟิง สูดอากาศของที่นี่เข้าไป ทุกคนก็ล้วนหน้าเผือดสี เริ่มท้องเสียในเวลาที่แตกต่างกันไป…

หากเป็นแค่การท้องเสียธรรมดาก็ยังว่าไปอย่าง ทว่าเนื่องจากเวลาที่ผ่านพ้น หลายวันต่อมา ที่อาการหนักที่สุดก็คือต้องเข้าห้องน้ำกันร้อยรอบต่อหนึ่งวัน…ต่อให้ไม่หนักหนาก็ยังต้องถ่ายท้องสิบกว่าครั้งต่อวัน

นักพรตตลอดทั้งเขาจงเฟิงเป็นบ้ากันไปหมด พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านี่ต้องเป็นยาพิษแบบใดกันแน่ ถึงทำให้แม้แต่นักพรตสร้างฐานก็ยังมิอาจต้านทานได้ จนถึงขนาดที่ว่ายังร่างกายเสื่อมโทรมไปด้วย

“มีคนวางยาพิษ!!”

“สมควรตายเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันอีก หรือว่าจะเป็นฝีมือเย่จั้ง!”

อาการถ่ายท้องเหมือนโรคห่าแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งพื้นที่นิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิงคล้ายกับมีหมอกพิษที่มองไม่เห็นดำรงอยู่ นักพรตคนใดก็ตามที่โดนหมอกพิษนั่น ไม่ว่าจะอยู่ในตบะใดก็ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ไม่นานครึ่งหนึ่งของเขาจงเฟิงก็แทบมองไม่เห็นเงาคน ความบ้าคลั่งของทุกคนไต่ไปถึงจุดสูงสุด แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลือกันเท่าไหร่นัก

การท้องเสียนี้ไม่ได้สิ้นสุดลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ…ดวงตาของซ่งเชวียเลื่อยลอย ร่างของเขาอ่อนเปลี้ยไปหมด วันหนึ่งมานี้เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเข้าห้องน้ำไปกี่ครั้ง เขาในยามนี้ถึงขั้นมีความรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไปแล้วด้วยซ้ำ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน…”

“ต้องเป็นเย่จั้งแน่นอน เขากำลังหลอมยา ต้องเป็นเพราะฤทธิ์ยาแผ่กระจายออกมาด้านนอก ทำให้พวกเราเป็นเช่นนี้!” นานวันเข้าก็ยิ่งมีคนคาดเดาถึงสาเหตุได้มากขึ้น แต่กลับไม่มีใครสามารถไปเอาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนได้ อาการท้องเสียของพวกเขาร้ายแรงถึงขั้นไม่สามารถออกไปจากถ้ำได้แล้ว…

ไม่นาน ขณะที่แม้แต่พื้นที่นิ้วส่วนบนของเขาจงเฟิงก็เริ่มมีลางจะเกิดเหตุการณ์นี้ ซ่งจวินหว่านหน้าถอดสี รีบหนีออกไปจากเขาจงเฟิง สำหรับการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้นางกลัวจนตัวสั่นแล้ว

“เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ…การหลอมยาของเขา เหตุใดถึงได้น่ากลัวขนาดนี้!” ซ่งจวินหว่านสำลักลมหายใจ มองลูกศิษย์เขาจงเฟิงด้วยความเห็นใจ

เรื่องนี้ถึงขนาดแพร่ไปยังสามยอดเขาที่เหลือด้วย ทำให้ลูกศิษย์ของสามยอดเขานั้นพากันเห็นเป็นเรื่องตลก ยังมีบางส่วนที่ยิ่งทำเกินกว่าเหตุ ถึงขนาดไปสำรวจหาความจริงที่เขาจงเฟิง ทว่าตอนกลับมา…ทุกคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ปิดด่านนับแต่นั้น

ไม่นานลูกศิษย์ทุกคนของเขาจงเฟิง ต่อให้คลานก็ต้องคลานออกไปจากเขาจงเฟิงให้ได้ ไม่กล้าอยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว ทว่าพวกเขาโดนพิษล้ำลึกเกินไป ต่อให้ออกไปจากเขาจงเฟิงแล้วก็ยังไม่สามารถหายดีได้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ สภาพร่างกายแต่ละคนยิ่งทรุดโทรม ตอนที่มองไปยังถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาเผยความหวาดกลัว หากเลือกได้ พวกเขายอมเลือกเตาระเบิดเสียดีกว่า…

“เจ้าเย่จั้งผู้นี้เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว เขาต้องกำลังแก้แค้นพวกเราแน่ๆ!”

“บัดซบ คนผู้นี้ไม่ใช่มารเย่ แต่เป็นมารโรคห่า!!”

“มารโรคห่าเย่จั้ง!!”

เมื่อเวลาหมุนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากการที่นักพรตสร้างฐานรากเหล่านี้ต้องผ่านพ้นแต่ละวันไปด้วยความทุกข์ทรมาน พวกเขาไม่กล้าเกลียดป๋ายเสี่ยวฉุนอีกต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ไปหาเรื่องเย่จั้งอีก…

พวกเขารู้สึกว่าเย่จั้งผู้นี้น่ากลัวเกินไป พลังของยาที่สามารถฆ่าคนได้โดยไร้รูปลักษณ์เช่นนี้ ทำให้ทุกคนหวาดผวา

และก็ด้วยเหตุนี้ จึงมีนักพรตจำนวนไม่น้อยถึงขั้นไม่ดูถูกวิถีโอสถอีก ตั้งใจไว้ว่าต่อจากนี้จะเริ่มเอาเวลาไปศึกษาดูบ้าง…

ต่อให้เป็นเขาจู่เฟิงเองก็ยังสังเกตเห็นเรื่องนี้ ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่รู้เรื่องด้วยแม้แต่นิด เดิมทีคุณสมบัติของร่างกายเขาก็แตกต่างไปจากทุกคนอยู่แล้ว ด้วยวิชาอมตะมิวางวายจึงทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย จมจ่อมอยู่กับการหลอมยา ในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็ห้ามไม่ให้ควันเขียวลอยขึ้นไปได้สำเร็จ ทำให้มันตกตะกอนอยู่ในเตาหลอมได้อีกครั้ง เกาะตัวกันกลายมาเป็นธูปหอมเลื่อนลอย

แล้วก็หลอมยาวิเศษระดับสี่อย่างอื่นอีก จนกระทั่งอัตราการหลอมยาสำเร็จเพิ่มสูงขึ้นถึงเจ็ดส่วน ใช้พืชหญ้าจนหมดแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงจำต้องหยุดมือ ถือยาเดินออกไปด้วยอารมณ์ลึกล้ำ

มองแสงอาทิตย์งดงามที่สาดส่องอยู่ด้านนอก ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่ารอบด้านเงียบสงัดเกินไป เขาทอดสายตามองออกไป ตลอดทั้งเขาจงเฟิงเงียบกริบไร้สรรพสำเนียง แล้วก็ยิ่งมองไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ปลื้มปริ่มขึ้นมา รู้สึกว่าในที่สุดตอนที่ตนหลอมยา รอบด้านก็ไม่ได้รับผลกระทบอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงเดินไปบนเขาจงเฟิงด้วยความอิ่มเอมใจ ทว่าไม่นานเขาก็เริ่มกลัวและหวาดระแวง

“ที่นี่ ทำไมถึงได้เงียบขนาดนี้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกทะแม่งๆ เขาใกล้จะเดินลงเขาอยู่แล้วทว่ากลับไม่เห็นคนสักคน แม้แต่ปราณชีวิตก็ยังไม่มี เขาสัมผัสได้ว่าในถ้ำเหล่านั้นล้วนว่างเปล่า

“คนล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เริ่มเครียดเล็กน้อย รีบเดินเร็วๆ ไปอีกหลายก้าว จนกระทั่งลงมาจากเขา เพิ่งจะเดินออกมาก็เห็นนักพรตสร้างฐานรากของเขาจงเฟิงคนหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล สองข้างกายมีลูกศิษย์ฝ่ายในคอยช่วยพยุง คล้ายว่ากำลังจะเดินผ่านมาทางนี้ พอเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน นักพรตคนนี้ก็สั่นไปทั้งร่าง เบิกตากว้าง ใบหน้าเผยความหวาดกลัว

“เจ้า…หลอมยาเสร็จแล้ว?” ลมหายใจของเขารัวเร็ว ชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“หา? หลอมเสร็จแล้วน่ะสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนงุนงงเล็กน้อย เขาเพิ่งจะพูดจบ นักพรตคนนั้นก็เผยท่าทางตื่นเต้น หมุนกายหันไปทางพื้นที่ฝ่ายในที่อยู่ด้านหลัง ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเปล่งเสียงคำรามดังลั่น

“ทุกคนออกมาเถอะ กลับถ้ำพวกเรากัน ในที่สุด…มารโรคห่าก็หลอมยาเสร็จแล้ว!!” หลังจากที่เสียงของเขาดังสะท้อนออกไป ในเขตของฝ่ายในก็มีเสียงฮือฮาดังลอยมาจากถ้ำจำนวนไม่น้อยทันที ไม่นานเงาร่างของคนแล้วคนเล่าที่ต้องมีคนประคองอยู่ด้านข้างก็ทยอยกันปรากฏตัวออกมา ทุกคนใบหน้าเหลืองตอบ ดวงตาทั้งคู่ที่เดิมทีไร้ชีวิตชีวา ยามนี้เผยประกายตื่นเต้นคึกคัก

“จริงหรือ? มารโรคห่าหลอมยาเสร็จแล้วจริงหรือ?”

“สวรรค์มีตา!!”

“ในที่สุดก็ได้กลับเขาจงเฟิงแล้ว…”

ซ่งเชวียก็อยู่ในกลุ่มคนเช่นกัน ขาทั้งคู่ของเขาสั่นระริก จ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน เขาไม่เหมือนกับคนอื่น จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จิตสังหารในดวงตายิ่งตลบอบอวล

ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว มองทุกคนด้วยความหวาดหวั่น มองพวกเขาแต่ละคนที่มีลูกศิษย์ฝ่ายในช่วยประคอง เดินอ้อมผ่านร่างของตัวเองไปอย่างรวดเร็ว แต่ละคนห้อตะบึงไปยังเขาจงเฟิง

จนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูป คนหลายร้อยคนถึงได้จากไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองซ่งจวินหว่านที่บินลอยมาจากที่ไกลๆ เยื้องกรายลงด้านหน้าตน มองตนด้วยสีหน้าซับซ้อน

“พี่หญิงซ่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง

“หลอมเสร็จแล้วรึ? เอายาวิเศษมาให้ข้า ข้าจะเอาไปให้บุรพาจารย์” ซ่งจวินหว่านยิ้มเจื่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหยิบยาวิเศษระดับสี่ห้าชนิดออกมาจากในถุงเก็บของ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของยาวิเศษที่เขามีติดตัว แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มอบให้ทั้งหมด

หลังจากที่ซ่งจวินหว่านรับมา พอวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วใบหน้าก็เผยความประทับใจทันที เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง เผยรอยยิ้มออกมา บอกให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรอนางที่นี่ จากนั้นถึงได้กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินดิ่งไปยังยอดเขาจงเฟิง

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเล็กน้อย เขารู้กฎของสำนักธาราโลหิตดี แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้เขาต้องทำให้ฝ่ายสูงของสำนักธาราโลหิตให้ความสำคัญอย่างมากได้แน่นอน ทว่าก็ยังคงกระวนกระวายใจเล็กน้อย

รออยู่หนึ่งก้านธูป ตอนที่ซ่งจวินหว่านกลับมา นัยน์ตาของนางฉายประกายแปลกประหลาด โยนป้ายคำสั่งหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เชยคางของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้น ลมหายใจของนางมีกลิ่นหอมราวดอกกล้วยไม้ เอ่ยปากเสียงเบา

“บุรพาจารย์ให้ข้าบอกเจ้าว่า นับตั้งแต่นี้ไป ขอแค่เจ้าไม่เป็นกบฏต่อสำนัก ในสำนักธาราโลหิตแห่งนี้ เจ้าจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับที่ญาติสายตรงของตระกูลซ่งทุกคนได้รับ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมขึ้นมาทันใด รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองสามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ได้แล้ว ขณะที่กำลังลำพองใจอย่างสุดๆ นั้น เขาก็กวาดตามองผู้อาวุโสใหญ่คนสวยที่อยู่ตรงหน้า พลันยกมือขวาขึ้นเชยคางของอีกฝ่าย

“แบบนี้คงไม่ถือว่าเป็นกบฏต่อสำนักกระมัง?” ขณะที่เขาหัวเราะคิกคัก ซ่งจวินหว่านยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น นางโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยถูกใครแทะโลมเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าจึงแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที ทว่านัยน์ตากลับฉายประกายเย็นเยียบ

“ดูท่าข้าคงต้องทำให้เจ้ารู้ถึงความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสใหญ่ซะบ้างแล้ว!”

……………….

[1] ไม่กินธัญพืชทั้งห้าเรียกว่า ปี้กู่ (辟谷)คือวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า โดยหลีกเลี่ยงทานธัญพืชห้าชนิดได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version