บทที่ 226 ทุกอย่างวางใจได้
นิ้วส่วนบนของเขาจงเฟิง ซ่งจวินหว่านกลับมาด้วยใบหน้าขุ่นเคือง บินเข้าไปในทะเลสาบเลือด พอมาถึงถ้ำก็ไม่รอให้ประตูใหญ่ของถ้ำเปิดออกเอง แต่ใช้เท้าถีบโครมลงไปหนึ่งที
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของถ้ำสั่นสะเทือน พอเปิดไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีรอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นทันที
“เจ้าเย่จั้งบ้า ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหมถึงได้กล้าไม่ยอมกลับมา!” ซ่งจวินหว่านถีบอีกหนึ่งที จนกระทั่งประตูใหญ่ของถ้ำถูกถีบจนแหลกละเอียด จึงเดินเข้าไปด้านในด้วยความโมโหโกรธา
เด็กรับใช้สี่คนที่ยืนอยู่สองฝั่ง ยามนี้ต่างตัวสั่นสะท้าน พวกเขาไม่เคยเห็นผู้อาวุโสใหญ่โกรธมากถึงขนาดถีบประตูใหญ่ของถ้ำตัวเองพังแบบนี้มาก่อน
ไม่นานในถ้ำก็มีเสียงโครมครามดังลอยออกมา ซ่งจวินหว่านทั้งทุบทั้งขว้าง ความโกรธนี้ถึงได้พอจางหายไปครึ่งหนึ่ง นั่งอยู่ตรงนั้น ในสีหน้าของนางมีความคับแค้นใจที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังสัมผัสไม่ถึง
“เจ้าเย่จั้งร้ายกาจผู้นี้ ที่ให้เจ้าไปทำความสะอาดเขาจงเฟิง ให้เจ้าไปซ่อมแซมถ้ำ ก็เพราะว่าไม่ให้คนอื่นมองเจ้าเป็นศัตรูอีก ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ก็คือช่วงเวลาที่ถูกคนริษยามากที่สุด แม้ว่าการกำจัดสิ่งปฏิกูลอาจจะทำเกินไปหน่อย แต่เจ้าก็มาหาข้าสิ มาขอร้องข้า แค่นี้ข้าก็ไม่ให้เจ้าไปทำแล้ว!” ซ่งจวินหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ
“แต่เจ้ากลับสมคบคิดกับคนนอก ถึงขนาดหนีไปจากที่นี่ แถมยังพูดว่าจะไม่กลับมาด้วย ได้ ชีวิตนี้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้กลับมาอีกเลย!” ซ่งจวินหว่านคว้าหมับเข้าที่กาเหล้าข้างกายได้ก็ขว้างลงไปบนพื้นอย่างแรง
นอกถ้ำ เด็กรับใช้พวกนั้นมองหน้ากันไปมา ก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ยามนี้ในตำหนักบุตรโลหิตของเขาซือเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็โกรธมาก เขารู้สึกว่าซ่งจวินหว่านเผด็จการเกินไป มีสิทธิ์อะไรให้ตนไปทำเรื่องพวกนั้น แถมตนจะไปหลอมยาให้คนอื่นนางก็ยังจะยุ่งวุ่นวายด้วย
“ยายผู้หญิงคนนี้อารมณ์ร้ายเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพึมพำ
ด้านหน้าของเขา เฟิงหยา บุตรโลหิตเขาจงเฟิงกำลังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มไม่ยิ้ม ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงนั่งอยู่ด้านข้าง สีหน้าแปลกประหลาดไม่ต่างกัน คนทั้งสองมองกันไปมา ตอนนี้ต่างก็แน่ใจมากแล้วว่าระหว่างเย่จั้งและซ่งจวินหว่าน ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
“ศิษย์น้องเย่จั้งอย่าโมโหไปเลย พวกเรามาคุยเรื่องหลอมยากันเถอะ” เฟิงหยาบุตรโลหิตเขาจงเฟิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยปากพูด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้ามองบุตรโลหิตของเขาซือเฟิง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับอีกฝ่าย หลังจากประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พยักหน้า
“บอกไว้ก่อนนะ หากตอนข้าหลอมยาแล้วเกิดอุบัติเหตุอะไรที่ส่งผลกระทบกับคนอื่น พวกเจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบกันเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างลำพองใจ เขารู้สึกว่าในเมื่อตอนนี้ตนเก่งกาจถึงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวโอหังสักหน่อย
“ทุกอย่างวางใจได้!” เฟิงหยายิ้มน้อยๆ มอบถุงเก็บของใบหนึ่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
สำหรับความอวดดีของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอคติ กลับยิ่งรู้สึกว่าเดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ที่เขาให้ความสำคัญคือยาวิเศษระดับสี่ หากเย่จั้งที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้สามารถหลอมออกมาได้ ถ้าเช่นนั้นการหลอมศพของเขาก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกก้าว
“ศิษย์น้องเย่จั้ง มาๆๆ ข้าจะพาเจ้าไปดูถ้ำที่ใช้หลอมยา เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไรก็เสนอมาได้เลย” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะฮ่าๆ มองสบตากับบุตรโลหิตหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นพาป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปจากตำหนักบุตรโลหิต
เขาซือเฟิงให้ความสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก ถึงขนาดแบ่งแยกพื้นที่หนึ่งของนิ้วส่วนบนไว้ให้เป็นสถานที่หลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะ ที่นี่คือบริเวณริมขอบของนิ้วส่วนบน ค่อนไปทางนิ้วส่วนล่าง รอบด้านว่างเปล่า นักพรตทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว และเรื่องเกี่ยวกับการมาหลอมยาที่เขาซือเฟิงของเย่จั้งก็แพร่ไปทั่วเขาซือเฟิงอย่างรวดเร็ว
นักพรตเขาซือเฟิงส่วนใหญ่ที่พอได้ยินเรื่องนี้ มีบางคนที่หน้าเปลี่ยนสีทันควัน ไพล่นึกไปถึงความน่าสังเวชของสหายร่วมสำนักเขาจงเฟิง ต่างก็เริ่มรู้สึกลังเล ในใจเต็มไปด้วยความระแวงภัย
“ได้ยินว่าบุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่เชิญเย่จั้งมาหลอมยา…เรื่องนี้พวกเราต้องระวังตัวกันให้มาก”
“เย่จั้งผู้นั้นมีฉายาว่ามารโรคห่า ระดับความน่ากลัวเวลาเขาหลอมยาทำให้ทุกคนของเขาจงเฟิงที่พูดถึงเรื่องนี้หน้าเปลี่ยนสี…”
แต่ยังมีนักพรตบางส่วนที่ไม่ยี่หระ รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเกินจริงไปมาก จึงไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจ
“ก็แค่หลอมยา จะส่งผลกระทบได้มากเท่าไหร่กันเชียว ส่วนเรื่องท้องร่วงนั่นก็เป็นเพราะไม่มีการป้องกันไว้ก่อนถึงได้โดนเล่นงาน แค่พวกเราระวังให้มากหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“หึ ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าการหลอมยาของเจ้าเย่จั้งผู้นี้จะสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้แค่ไหนกันเชียว!”
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอยู่ที่นี่ บุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงต่างก็ออกคำสั่งมาแล้วว่าพื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่คือเขตต้องห้าม คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ห้ามเข้าไปใกล้
ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจกับการกระทำนี้ของเขาจงเฟิงอย่างมาก ในถ้ำที่เตรียมไว้ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะนี้ หลังจากที่ผู้อาวุโสใหญ่จากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นั่งขัดสมาธิ ด้านหน้าเขามีร่างใหญ่โตร่างหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่เหมือนกัน
ร่างนี้มีขนสีเขียวขึ้นเต็มกาย ขนพวกนี้เวลานี้ไม่ได้ยาวขยายออกมาอย่างไร้ขีดจำกัดอีกแล้ว แต่หดเล็กลงไปเยอะมาก ทว่าฟันคมกริบที่โผล่ออกมาด้านนอก และยังมีปุ่มกระดูกบนร่าง รวมไปถึงเล็บมือที่คมราวใบมีดนั้นยังคงทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงไอดุร้ายน่าตกใจ เห็นแล้วขนพองสยองเกล้า นี่ก็คือศพขนเขียวของป๋ายเสี่ยวฉุนตนนั้น!
ทั้งยังเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าวันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมาเยอะมาก โดยเฉพาะผิวหนังของศพขนเขียวที่ยิ่งแข็งแรงทนทานราวเหล็กกล้า ตลอดทั้งลำกายให้คนมองรู้สึกว่ามันแกร่งกร้าวบ้าคลั่ง
ยังมีดวงตาสีม่วงคู่นั้นที่ราวกับมีปราณเส้นหนึ่งไหลเวียนไปมา ทำให้รู้สึกว่าศพขนเขียวนี้มีชีวิตชีวาผิดแผกไปจากศพตนอื่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปมองมาก็เริ่มรู้สึกหวาดเสียวเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะเป็นคนหลอมศพขนเขียวตนนี้ด้วยตัวเอง ทว่าเขาก็ยังรู้สึกสยองขวัญอยู่ดี
“ไม่น่ารักเลยสักนิดเดียว…เก็บฟันกลับไป เล็บก็เก็บไปด้วย แล้วก็ขนเขียวพวกนั้นอีก เก็บกลับไปให้ข้าให้หมด” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา หลังจากพูดจบ ศพขนเขียวตัวนี้ก็ร่างสั่นน้อยๆ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าฟัน เล็บ และปุ่มกระดูกเหล่านั้นหดเล็กลง จนกระทั่งหายไปหมด แม้แต่ขนสีเขียวก็ยังหดสั้นลงไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดกลายเป็นเพียงขนละเอียดตามผิวหนัง
ส่วนไอดุร้ายบนร่างก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน กลายมาเป็นปกติ แม้ว่าตลอดทั้งร่างยังคงเป็นสีเขียว แต่เห็นได้ชัดว่าดูเหมือนคนปกติมากขึ้น สีหน้าทึ่มทื่อเล็กน้อย มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
“แบบนี้สิถึงค่อยน่าดูหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจแล้วก็หันออกไปมองนอกถ้ำ แล้วก็มองถุงเก็บของด้านหน้าที่บุตรโลหิตมอบให้ ด้านในนั้นมีพืชหญ้าปริมาณมาก แม้ว่าจะสู้ที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมอบให้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน โดยเฉพาะด้านในยังมีพืชหญ้าพิเศษอยู่บางส่วน ระดับความล้ำค่าเมื่อเทียบกับที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมอบให้แล้วยังถือว่าสูงกว่าอีกหนึ่งระดับ
“บุตรโลหิตของเขาซือเฟิงนี่ก็ลงทุนไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าในถุงเก็บของนั้นยังมีหินเพลิงโลหิตและเตาหลอมอีกเป็นจำนวนมาก แล้วก็ยังมีแผ่นหยกอีกหนึ่งแผ่น ด้านในบันทึกตำรับยาที่เรียกว่ายาโลหิตผันเลี้ยงศพเอาไว้
หยิบเอาตำรายาขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาอย่างละเอียด หน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสี ตำรับยานี้อธิบายไว้อย่างคลุมเครือ มีหลายจุดที่เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ หากไม่มีความรู้ด้านการหลอมยาวิเศษระดับสี่อย่างแท้จริงก็ไม่มีทางเข้าใจได้เลย
ถึงขนาดที่ว่าต่อให้มีความรู้ระดับนี้เวลาศึกษาก็ยังยากลำบากไม่น้อย ยังดีที่ความรู้วิถีโอสถที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุนมากพอที่จะให้เขาหลอมยาวิเศษระดับห้าได้แล้ว เขาจึงสามารถทำความเข้าใจไปได้ทีละจุด และไม่นานเขาก็ต้องอ้าปากค้าง สำลักลมหายใจ
“ยาโลหิตผันเลี้ยงศพนี้ถึงขนาดใช้ศพเป็นเตาหลอม ก่อตัวออกมาเป็นยาศพ เมื่อศพแห้งเม็ดยาก่อตัวสำเร็จ…จำเป็นต้องใช้เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าศพ เพื่อให้มีเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้ายาศพ หลอมรวมเป็นหนึ่งเตา หลอมออกมาเป็นยาโลหิตผันเลี้ยงศพหนึ่งเม็ด!”
“ยาเม็ดนี้ไม่ได้ให้คนที่มีชีวิตกิน แต่เตรียมไว้ให้ศพหลอม สามารถทำให้ศพดำตนหนึ่งฝ่าทะลุขั้นมาอยู่ในขอบเขตที่เทียบเคียงกับรวมโอสถ…ศพบิน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาที่มองตำรับยาเปล่งประกายแปลกประหลาด
“นี่ไม่ใช่ยาวิเศษระดับสี่แล้ว น่าจะเป็นระดับหกเสียมากกว่า เพียงแต่ว่ามีผู้ที่มากความสามารถด้านวิถีโอสถคนหนึ่งย่อให้มันเข้าใจง่าย แล้วก็แบ่งออกเป็นสี่สิบเก้าขั้นตอน ถึงได้พอฝืนใช้วิธีของระดับสี่หลอมยาเม็ดนี้ออกมาได้!”
“ยาวิเศษที่ถูกย่อให้ง่ายลงแบบนี้อานุภาพก็จะลดลงไปบางส่วนด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ายังคงมีอัตราความเป็นไปได้ที่แน่นอน ทำให้ศพดำฝ่าทะลุขั้นได้…หากเพิ่มวิธีการบางอย่างเข้าไป อัตราความเป็นไปได้ที่จะฝ่าทะลุขั้นถึงจะเพิ่มขึ้นสูงมากขึ้น”
“ยาวิเศษ…หลอมแบบนี้ได้ด้วยหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหลือเชื่อ หลังจากศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้งก็เริ่มทำการไตร่ตรอง คอยมองไปที่ศพขนเขียวเบื้องหน้าเป็นระยะ
ศพขนเขียวตนนี้หลายปีมานี้ได้อยู่ภายใต้การหลอมอย่างเอาใจใส่ของผู้อาวุโสใหญ่ จึงมีความสามารถในการรบเทียบเคียงได้กับสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว หากสามารถฝ่าทะลุขั้นไปได้ก็จะเท่าเทียมกับศพดำ เหมือนสร้างฐานราก
“ยาวิเศษที่ดีแบบนี้มอบให้บุตรโลหิตออกจะสิ้นเปลืองไปสักนิด หากสามารถหลอมออกมาได้ แล้วเอามาใช้กับศพตนนี้ของข้า ไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ…แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้จะอธิบายกับเขาซือเฟิงอย่างไร ง่ายที่จะถูกคนจับได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำปลายคาง มองตำรา นัยน์ตาโชนแสงวาววับ ศึกษาอีกครั้ง
เวลาผ่านไปครึ่งเดือน อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เงยหน้าขึ้น ลมหายใจถี่ระรัว ดวงตาเปล่งประกาย หัวเราะเสียงน่าขนลุก
“ขั้นตอนช่วงต้นไม่เปลี่ยน เพียงแต่ว่าช่วงหลังมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อหลอมออกมาเป็นยาแม่ลูกโลหิตผันเลี้ยงศพ!”
“หลังจากใช้ศพหลอมสี่สิบเก้าตนหลอมออกมาเป็นยาได้สำเร็จแล้ว ก็ใช้ศพขนเขียวตนนี้ของข้าเป็นเตากระถางหลอมยาขนาดยักษ์ ใช้ศพตนนี้หลอมโลหิตผัน พอก่อตัวขึ้นเป็นยาก็แบ่งออกมาเป็นยาลูก เมื่อเป็นเช่นนี้ยาลูกมอบให้บุตรโลหิต หากเขาสามารถทำให้ศพหลอมฝ่าทะลุขั้นได้จริง ถ้าอย่างนั้นมันก็จะถูกศพขนเขียวตนนี้ของข้าควบคุมเอาไว้ได้ตลอดเวลา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนตบขาตัวเองป้าบใหญ่ เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง หน้าบานเป็นกระด้ง สีหน้าฮึกเหิม เขาอยากจะทดลองวิธีการหลอมยาชนิดนี้เต็มแก่แล้ว มองไปรอบด้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะอย่างดูหมิ่นหนึ่งครั้ง
“คิดจะทดสอบข้าล่ะสิ ยาโลหิตผันเลี้ยงศพนี่ไม่ใช่ว่าอาศัยเตาหลอมและหินเพลิงโลหิตก็จะหลอมออกมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดเล็กน้อยก็เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการทดสอบตัวเอง หากตนอ่านตำรับยาไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่าตนไม่สามารถหลอมยาออกมาได้
หลังจากตนอ่านเข้าใจแล้ว อีกฝ่ายถึงจะเปิดสถานที่หลอมยาที่แท้จริงให้
ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เรียกผุ้อาวุโสใหญ่ให้มาหา หลังจากบอกผู้อาวุโสใหญ่ว่าตนต้องการศพหลอมสี่สิบเก้าตน รวมไปถึงหินเพลิงโลหิตและพืชหญ้าที่มากกว่าเดิม ผู้อาวุโสใหญ่ของเขาจงเฟิงก็ไม่แสดงอาการแปลกใจแม้แต่นิด กลับหัวเราะเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ทำมุทราชี้ไปที่ถ้ำแห่งนี้ ถ้ำพลันสั่นสะเทือน เส้นทางเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา
ด้านใต้เส้นทางนี้ก็คือวังใต้ดินแห่งหนึ่ง!
กลางวังใต้ดินมีทะเลสาบเลือดอยู่หนึ่งแห่ง รอบทะเลสาบสีเลือดคือศพหลอมสี่สิบเก้าตนที่นั่งขัดสมาธิ ไอดุร้ายรวมตัวกันกระโจนเข้ามาปะทะใบหน้า
หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นก็เอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น สีหน้าไม่สบอารมณ์
“ศิษย์น้องเย่จั้ง ที่นี่ถึงจะเป็นสถานที่หลอมยาที่แท้จริง!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงประสานมือคารวะ ยอมรับนับถือวิถีโอสถของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยใจจริง ต้องรู้ว่าตำรับยานั้นบุตรโลหิตของเขาซือเฟิงเคยเอาไปให้อาจารย์โอสถหลายคนดูมาก่อน ทว่าแทบจะไม่มีใครเข้าใจ มีเพียงบุตรโลหิตและเขาเท่านั้นที่เนื่องจากมีคัมภีร์อยู่บางส่วนถึงได้รู้วิธีการหลอมยาที่แท้จริง
ทว่าตอนนี้ เย่จั้งผู้นี้ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนก็มองออกถึงกุญแจสำคัญ นี่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาจึงรีบประสานมือคารวะด้วยความเกรงใจ อธิบายอยู่รอบหนึ่งก็หยิบเอาพืชหญ้าจำนวนไม่น้อยส่งให้ นั่นถึงได้พอทำให้สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนคลายลง
“ท่านออกไปเถอะ ไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า ใครก็ห้ามเข้ามา” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเสียงเรียบ