บทที่ 233 เอ๊ะ? ทำไมท่านถึงไม่พูดแล้วล่ะ?
ขณะที่เซวี่ยเหมยกำลังค้นหาปัญหาเรื่องตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นั้น ในสำนักธาราโลหิตก็มีข่าวลือบางอย่างเกิดขึ้น ข่าวลือพวกนี้มาจากเขาซือเฟิง ว่ากันว่าหลังจากบุตรโลหิตของเขาซือเฟิงได้รับยาวิเศษของป๋ายเสี่ยวฉุนไปก็ปิดด่านทันที ตอนนี้แม้ว่าจะยังไม่ออกจากด่าน ทว่ากลับมีคลื่นแกร่งกร้าวลอยออกมาจากในตำหนักบุตรโลหิตเขาซือเฟิงเป็นระยะ
คลื่นที่ว่านี้ดึงดูดความสนใจจากคนไม่น้อย โดยเฉพาะบุตรโลหิตของเขาเส้าเจ๋อเฟิงและเขาอู๋หมิงเฟิงที่ยิ่งจับสังเกตมากกว่าใคร โดยปกติแล้วพวกเขาสามคนไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าบุตรโลหิตเขาซือเฟิงคล้ายจะฝ่าทะลุขั้นไปแล้ว
ต่อให้ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะ ทว่าสำหรับเขาซือเฟิงแล้ว การฝ่าทะลุขั้นของศพหลอมตนหนึ่งก็ทำให้ความสามารถในการสู้รบของตนเองก้าวหน้าพรวดพราดได้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรโลหิตของเขาเส้าเจ๋อเฟิงและเขาอู๋หมิงเฟิงจึงเริ่มร้อนใจ เช้าตรู่หลายวันถัดมา นอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ผู้อาวุโสใหญ่ของเขาเส้าเจ๋อเฟิงกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวมาถึงด้วยความรวดเร็ว
“ข้าผู้อาวุโสคือหันชุนตงแห่งเขาเส้าเจ๋อเฟิง ศิษย์น้องเย่จั้งอยู่ในถ้ำหรือไม่?” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิง ร่างกายบึกบึนล่ำสัน สูงใหญ่ผึ่งผาย ตลอดทั้งร่างให้ความรู้สึกถึงปราณเลือดที่เข้มข้น ในฐานะที่เป็นนักพรตผู้ฝึกหลอมร่างกาย เขายืนอยู่ตรงนั้นจึงมองดูเหมือนภูเขาลูกย่อม ทั้งยังมีพลานุภาพสยบน่าตะลึงแผ่กระจายออกมา แม้แต่น้ำเสียงก็ยังทุ้มหนาอย่างถึงที่สุด
ใบหน้าบนต้นไม้โลหิตนอกถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นสะท้านกันเป็นแถว แต่กลับไม่กล้าเผ่นหนีอย่างครั้งก่อนๆ แม้คนนอกจะน่ากลัว ทว่าในสายตาของพวกมัน เย่จั้งน่ากลัวยิ่งกว่า ยามนี้จึงทำได้เพียงกัดฟันยืนอยู่ตรงนั้น มองไปยังผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงตาปริบๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ไม่กี่ชั่วลมหายใจก่อนหน้าที่ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงจะมาเยือน เขาก็สัมผัสได้แล้ว ยามนี้ได้ยินเสียงจากข้างนอก ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอันใด ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของถ้ำเปิดออกทันที ต้นไม้โลหิตได้รับคำสั่งจึงรีบหลีกทางออกให้
ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงก้าวยาวๆ เดินตรงเข้าไปในลานกว้างนอกถ้ำ เวลาเดียวกันนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาจากในถ้ำ วินาทีที่คนทั้งสองประสานสายตากัน ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือคารวะ
“ศิษย์น้องเย่ ปีนั้นตอนที่เจ้าเดินออกมาจากในหุบผาโลหิต ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง น่าเสียดาย…ตอนนั้นเจ้าเลือกเขาจงเฟิง หากเจ้าเลือกเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าก็ดีน่ะสิ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มนี้เมื่ออยู่บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา มองแล้วดูน่าสะพรึงกลัว ประสานมือคารวะกลับ
“ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงมาที่นี่ด้วยตนเอง ถือเป็นเกียรติกับเย่จั้งยิ่งนัก เชิญ!”
ระหว่างที่พูด ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงเองก็ไม่เกรงใจ เดินตามป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปในถ้ำ หลังจากแยกกันนั่งสองฝั่งแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงก็เอ่ยปากออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ศิษย์น้องเย่จั้งตบะไม่ธรรมดา ทั้งยังมีพรสรรค์น่าตื่นตะลึง สะสมไว้มากทยอยใช้ทีละน้อย พอบินทีก็ทะยานขึ้นฟ้า ยอดเขาจงเฟิงมีศิษย์น้องเย่จั้งอยู่ถือเป็นโชคดีของเขาจงเฟิงยิ่งนัก”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจขึ้นมาทันควัน ทว่ากลับรักษาสีหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ อมยิ้มไม่พูดอะไร
“อีกทั้งศิษย์น้องเย่จั้งยังได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์ อนาคตไร้ขีดจำกัด…” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงพูดด้วยความปลดปลง ทั้งยังพูดถึงเรื่องสงครามระหว่างสองสำนักทมิฬและโอสถ ปรึกษาเรื่องเล็กใหญ่ในสำนักธาราโลหิต เปลี่ยนวิธีการมายกยอปอปั้นป๋ายเสี่ยวฉุน
สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเรียบเฉย ทว่าในใจกลับถูกใจสุดๆ ได้ยินคำสรรเสริญของอีกฝ่าย เขารู้สึกภูมิใจอย่างมาก คอยพยักหน้าเป็นระยะ บางครั้งก็ส่ายหัว บางครั้งก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงครุ่นคิดว่าตัวเองเปิดฉากมาได้พอสมควรแล้ว ขณะที่กำลังจะพูดถึงธุระสำคัญ กลับมองเห็นแววให้กำลังใจในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาลังเลเล็กน้อย ดังนั้นจึงชมเชยอีกรอบ
“ศิษย์น้องเย่จั้งเป็นคนมีสวรรค์ คือมังกรและหงส์ในกลุ่มคน…”
“ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตของเรา คนที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงได้กับศิษย์น้องเย่จั้งนั้นนับได้ไม่เกินห้านิ้วเลย…” ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงพูดจนปากคอเริ่มแห้งผาก ขบคิดว่าน่าจะพอประมาณแล้ว แต่พอมองป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพบว่าความสนใจของอีกฝ่ายกำลังเข้มข้นได้ที่ ราวกับตกอยู่ในคำยกยอของตน
ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงลังเลเล็กน้อย เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนมาเพื่อขอร้องให้อีกฝ่ายช่วย ดังนั้นจึงกัดฟัน คิดสรรหาถ้อยคำสรรเสริญมาสุดชีวิต จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงพบว่าตัวเองหมดคำพูดแล้วจริงๆ ทว่าทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยิ่งฮึกเหิมมากกว่าเดิม
“เอ๊ะ? ทำไมท่านไม่พูดแล้วล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงด้วยความแปลกใจ
ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง หลังจากกัดฟันพยายามเค้นคำพูดออกมาอีกสองสามคำ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง รู้สึกว่าเย่จั้งที่อยู่ด้านหน้าผู้นี้ลึกล้ำเกินคาดเดา ตนไม่สามารถมองอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาได้เลย ดังนั้นจึงประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
“ศิษย์น้องเย่จั้งฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริง ข้าผู้แซ่หันนับถือ นับถือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้แซ่หันก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว ครั้งนี้ที่ข้าผู้แซ่หันมาก็เพราะต้องการผดุงความเป็นธรรมให้กับศิษย์น้อง ศิษย์น้องเย่มีวิถีโอสถน่าตะลึง เคยหลอมยาวิเศษให้เขาซือเฟิงมาก่อน ทว่าทุกคนของเขาซือเฟิงกลับไร้มโนธรรมในหัวใจ ไม่เพียงแต่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ยังเกลียดแค้นศิษย์น้องเย่จั้งด้วย!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า สีหน้าจึงมืดคล้ำลง แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง
“โดยเฉพาะบุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงที่ยิ่งทำเกินกว่าเหตุ ศิษย์น้องเย่จั้งหลอมยาให้พวกเขา พวกเขากลับยังเอาความโกรธแค้นมาลงที่ศิษย์น้องเย่ เรื่องนี้ทำกันเกินไปแล้ว ศิษย์น้องเย่จั้งวางใจเถอะ เรื่องนี้บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าได้เรียนให้สำนักทราบ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ศิษย์น้องเย่แล้ว!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ระหว่างที่พูดก็กวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่และบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงมาก เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ช่างเถอะๆ ผ่านเรื่องคราวนี้ ข้าผู้แซ่เย่ก็มองเรื่องราวมากมายได้ชัดเจนขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวถอนหายใจ
“ศิษย์น้องเย่จั้งไม่จำเป็นต้องเกรงใจพวกเรา ศิษย์น้องเย่จั้งเลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษ เดิมทีก็มีพรสวรรค์ในการฝึกหลอมร่างกายอยู่แล้ว ทั้งยังมีผีร้ายปกป้องร่างกาย เป็นคนครอบครัวเดียวกับเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้า” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงหัวเราะฮ่าๆ
“เขาซือเฟิงนั่นไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาอีก ทว่าพวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เอาแบบนี้ ศิษย์น้องเย่จั้งมาหลอมยาวิเศษให้เขาเส้าเจ๋อเฟิงของเราสักเตา ข้าผู้อาวุโสรับรองว่าต่อให้เจ้าทำให้เขาเส้าเจ๋อเฟิงถล่ม ข้าผู้อาวุโสและบุตรโลหิตก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้วใส่!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงตบอกป้าบใหญ่ มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
“เรื่องนี้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเย่จั้งโปรดวางใจ ข้าเข้าใจกฎระเบียบดี” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงหยิบเอาถุงเก็บของใบหนึ่งออกมาจากหน้าอก วางไว้ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้ง หยิบเอาถุงเก็บของขึ้นมาดู ข้างในมีพืชหญ้าปริมาณมากบรรจุเอาไว้ และยังมีหินวิเศษจำนวนไม่น้อย ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจ ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด สีหน้าพลันกระตุก ผู้อาวุโสใหญ่เจ้าเส้าเจ๋อเฟิงเองก็ขมวดคิ้ว หันออกไปมองนอกถ้ำ
“ศิษย์น้องเย่จั้งอยู่หรือไม่ ข้าเกิ่งเฉียนคุนผู้อาวุโสใหญ่แห่งเขาอู๋หมิงเฟิง” นอกถ้ำ ผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิง คนแคระผู้นั้นยามนี้ยืนอยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าเป็นปกติ ทว่าในใจกลับร้อนรนเล็กน้อย เดิมทีเขายังลังเลเรื่องที่จะมาขอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปหลอมยาให้ แม้แต่บุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิงเองก็ไม่ต่างกัน
แต่พอวันนี้เขาได้ยินว่าผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงมาปรากฏตัวอยู่ที่เขาจงเฟิง เขาก็เริ่มนั่งไม่ติด โดยเฉพาะบุตรโลหิตเขาอู๋หมิงเฟิงที่ยิ่งร้อนรน เร่งเร้าให้เขารีบมาที่นี่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาให้แก่เขาอู๋หมิงเฟิงให้ได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ลุกขึ้นเดินออกไปนอกถ้ำ ตอนรับผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิง ไม่นานก็พาผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิงกลับเข้ามาในถ้ำด้วย
ผู้อาวุโสใหญ่เขาอู๋หมิงเฟิงเพิ่งจะเข้ามาก็มองเห็นหันชุนตงทันที ทั้งสองคนประสานสายตากัน ต่างก็มองเห็นความชิงดีชิงเด่นในสายตาของอีกฝ่าย
“ศิษย์น้องเย่ ข้าผู้แซ่เกิ่งไม่ขอพูดเรื่องไร้สาระแล้ว ขอแค่เจ้าสามารถหลอมยาวิเศษระดับสี่ที่พิเศษให้กับเขาอู๋หมิงเฟิงของเราได้หนึ่งเตา เขาเส้าเจ๋อเฟิงให้ค่าตอบแทนเจ้าเท่าไหร่ พวกเราจะให้สองเท่า มีข้อเรียกร้องอย่างเดียวคือต้องหลอมยาให้พวกเราก่อน!” แค่ชายแคระเอ่ยปากก็เต็มไปด้วยความเผด็จการ ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพูด หันชุนตงที่อยู่ด้านข้างก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ลุกพรวดขึ้นยืน ปราณดุร้ายในร่างระเบิดตูมตาม สีหน้ามืดทะมึน
“ศิษย์น้องเย่จั้ง ที่อยู่ในถุงเก็บของก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การจ่ายล่วงหน้าส่วนหนึ่งเท่านั้น ขอแค่ศิษย์น้องเย่จั้งหลอมยาให้พวกเราก่อน ถ้าเช่นนั้นวิชาลับหลอมเรือนกายในเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าจะเปิดออกเพื่อศิษย์น้องเย่จั้งอย่างเต็มที่ เจ้าสามารถมาฝึกวิชาลับที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าได้เลย!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงกัดฟันพูด ใครก็ไม่รู้ระยะเวลาการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนว่าจะยาวนานเท่าไหร่ แต่เมื่อตัดสินตามประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา การหลอมยาของอีกฝ่ายใช้เวลานานมาก โดยเฉพาะตอนนี้เป็นช่วงใกล้จะเปิดศึกแล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าก่อนหน้าการทำสงคราม เขาอาจจะหลอมยาให้ได้แค่คนเดียว
ดังนั้นตำแหน่งของผู้ที่จะได้ก่อนนี้ เขาต้องช่วงชิงมาให้บุตรโลหิตของตนเองให้ได้
เมื่อเขาพูดออกไปเช่นนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความประทับใจออกมาทางสีหน้าทันที สำหรับวิชาหลอมเรือนกายของเขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาเองก็อยากจะลองศึกษาดูสักหน่อย ดูว่ามีจุดใดที่ไม่เหมือนกับบทเนื้อคงกระพันของตัวเองบ้าง
ชายแคระที่อยู่ด้านข้างเองก็ตะลึงไปเช่นกัน หลังจากมองเห็นสีหน้าประทับใจของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงกัดฟันกรอด
“ศิษย์น้องเย่จั้ง เขาอู๋หมิงเฟิงของข้าก็เตรียมปีศาจตนหนึ่งไว้ให้ศิษย์น้องเย่จั้งเช่นกัน ศิษย์น้องสามารถฝึกวิชาหลอมปีศาจของเขาอู๋หมิงเฟิงของข้าได้!” ขณะที่คำพูดของเขาดังสะท้อน หันชุนตงก็หันขวับมองมาด้วยความโมโหทันควัน
ขณะที่คนทั้งสองกำลังหยั่งเชิงกันอยู่นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำ วิชาหัวปีศาจของเขาอู๋หมิงเฟิงเป็นวิชาลับเช่นเดียวกัน ไม่ใช่นักพรตของเขาอู๋หมิงเฟิงแล้วคิดจะเรียนรู้ จำเป็นต้องจ่ายคะแนนคุณความดีจำนวนมหาศาล
ความมากของมูลค่านั้นยากที่จะพรรณนาได้
“ศิษย์น้องเย่จั้ง ทำเรื่องใดก็ตามต้องมีลำดับหน้าหลัง ครั้งนี้เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้ามาขอให้ศิษย์น้องเย่จั้งหลอมยาให้ก่อน ขอศิษย์น้องโปรดใคร่ครวญอย่างละเอียด!” หันชุนตงหันไปมองทางป๋ายเสี่ยวฉุน
“ศิษย์น้องเย่จั้ง เขาอู๋หมิงเฟิงของข้าจ่ายให้สองเท่าเชียวนะ!” ชายแคระเองก็มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนขยี้หว่างคิ้ว พอกวาดสายตามองไปบนร่างของคนทั้งสองก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
“ควรจะเรียงลำดับก่อนหลังจริงๆ นั่นแหละ ข้าจะไปที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงก่อน ขอผู้อาวุโสใหญ่และบุตรโลหิตของเขาอู๋หมิงเฟิงโปรดอภัย ส่วนจ่ายสองเท่านั้นคงไม่จำเป็น ทั้งสองท่านต่างก็เป็นตัวแทนของบุตรโลหิต เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าผู้แซ่เย่รับปากพวกท่านอย่างหนึ่ง ไม่ว่าข้าจะหลอมยาให้ใครก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดสงคราม ยาวิเศษของทั้งสองภูเขาต้องหลอมออกมาได้แน่นอน!”
ผู้อาวุโสใหญ่สองคนของเขาเส้าเจ๋อเฟิงและเขาอู๋หมิงเฟิง เมื่อได้ยินประโยคนี้ต่างสีหน้ากระตุกน้อยๆ พวกเขาเองก็ไม่ยินดีจ่ายค่าตอบแทนสูงถึงเพียงนั้น ยามนี้มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนปลิ้นปล้อนเอาตัวรอดไปได้ ดังนั้นจึงมีความรู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้นมาเยอะมาก หลังจากต่างคนต่างพยักหน้าจึงพูดคุยกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกพักหนึ่ง สุดท้ายต่างก็ประสานมือคารวะ แล้วจึงจากไปด้วยความพึงพอใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองส่งคนทั้งสอง หลังจากกลับมาในถ้ำ เขาก็นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น พอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะฮิฮิ
“เขาซือเฟิงมีศพขนเขียวของข้า เขาอู๋หมิงเฟิงมีปีศาจตัวใหญ่ เคยหลอมเรือนกายที่เขาเส้าเจ๋อเฟิง เคยล่อลวงผู้อาวุโสใหญ่ของเขาจงเฟิง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของข้าในสำนักธาราโลหิตก็มากพอที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ ไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสสีเลือด ถึงเวลานั้นพอช่วยให้ซ่งจวินหว่านเป็นบุตรโลหิตได้สำเร็จ ความเป็นไปได้ที่ข้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ก็จะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย!”