บทที่ 238 ยาวิเศษระดับห้า!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาวิเศษล้ำค่าเตานี้ข้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเท่าไหร่ บัดซบเอ๊ย ทำไมเจ้าไม่บอกข้าตั้งแต่แรก ทำไมเจ้าต้องหลอกข้า!!” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนแหบแห้งไปหมด ความกลางการคำรามนี้ นักพรตสำนักธาราโลหิตจำนวนมากที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจึงมองเห็นภาพนี้ทันที แม้แต่จิตสัมผัสจำนวนมากบนเขาจู่เฟิงก็ยังมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ให้พวกเจ้าเข้าใกล้ บอกข้ามาสิ เจ้าได้เข้ามาใกล้หรือเปล่า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดถึงท่อนสุดท้ายก็หัวเราะอย่างสังเวช สีหน้าเผยความผิดหวัง ทั้งยังมากด้วยความขมขื่น
พวกบุตรโลหิตและผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงถูกคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนตอกใส่หน้าจนไม่สามารถโต้กลับไปได้ เพราะบุตรโลหิตบอกกับเย่จั้งอย่างแท้จริงว่าเตาหลอมนี้ไม่มีวันระเบิด และเคยพูดจริงๆ ว่าต่อให้เกิดปัญหาใดขึ้นก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวฉุน โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดก็ยิ่งทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสี
เพราะมันจริงที่ว่า…เนื่องจากพวกเขาเห็นอุณหภูมิรอบเตาที่นับวันก็ยิ่งร้อนสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จนตลอดทั้งเขาเส้าเจ๋อเฟิงแทบจะไหม้เกรียมอยู่แล้ว ด้วยความจนใจจึงกัดฟันเข้าไปดูข้างใน
มาตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายผิด ทว่าความเสียหายของเขาเส้าเจ๋อเฟิงนั้นมีมากเกินไป ความกระดากอายของพวกเขากลายมาเป็นความโกรธ บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงจึงกัดฟันกรอด
“ก่อความวุ่นวายสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าได้รับการไหว้วานจากเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าให้หลอมยา หากยาวิเศษหลอมออกมาได้ เรื่องทั้งหมดนี้ตัวข้าก็ยังพอยอมรับได้ แต่ตอนนี้ยาวิเศษไม่เพียงแต่หลอมออกมาไม่ได้ แถมยังทำลายเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าอีก เย่จั้ง วันนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวข้าก็ต้องได้รับความกระจ่าง!” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงแค่นเสียงเย็น ขณะที่กำลังจะคว้าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้เพื่อใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง แลกมาด้วยผลประโยชน์บางอย่างให้กับเขาเส้าเจ๋อเฟิง ทว่าเวลานี้เอง…
“เดี๋ยวก่อน!!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นโบกไปข้างหน้าหนึ่งครั้ง สีหน้าพลันเคร่งขรึม สูดจมูกฟุดฟิดราวกับกำลังแยกแยะปราณรอบด้าน
“ไม่ถูกสิ กลิ่นนี้…พวกเจ้าได้กลิ่นหอมของยาหรือเปล่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปรอบด้าน เอ่ยปากถาม
บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงขมวดคิ้ว บินออกมาพร้อมฮึดฮัดเสียงเย็น ทว่าวินาทีที่เขาบินออกมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสะบัดร่างมาปรากฏตัวอยู่ข้างซากเตาหลอมชิ้นหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล สีหน้าของเขาเผยความสะท้านสะเทือน ทั้งยังมากด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากเปิดซากชิ้นส่วนออกจึงมองเห็นว่าเบื้องใต้นั้นมียาหนึ่งเม็ดที่…ส่งประกายแสงห้าสี!
ยาเม็ดนี้มีแสงห้าสีโอบล้อม กลิ่นยาไม่เข้มข้น ทว่าเมื่อทุกคนที่อยู่รอบด้านมองเห็นแสงห้าสีนี้ก็พลันเบิกตากว้างทันที ในสมองเกิดเสียงดังอื้ออึง คนไม่น้อยถึงขนาดสำลักลมหายใจ อุทานอย่างแตกตื่น!
“นั่นคือ…ยาวิเศษระดับห้า!?”
“ข้าไม่เคยเห็นยาวิเศษระดับห้ามาก่อนเลย ต่อให้เป็นสำนักธาราโอสถเอง คนที่สามารถหลอมยาวิเศษระดับห้าได้ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ยาวิเศษระดับห้าเม็ดใดก็ตามล้วนเป็นสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้!”
“แสงห้าสี นี่คือลักษณะพิเศษที่เด่นชัดของยาวิเศษระดับห้า!!”
“สวรรค์ นั่นมันยาวิเศษระดับห้า…จริงๆ ด้วย!”
ขณะที่ทุกคนรอบด้านกำลังฮือฮา ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น มองเซ่อไปทันที รีบหยิบยาเม็ดนั้นขึ้นมา ในใจรู้สึกซับซ้อนอย่างไร้ที่สิ้นสุด เขาเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะหลอมยาระดับห้าออกมาได้ ตอนนี้ใจคิดจะฮุบไว้คนเดียว ทว่ามีสายตาคนมากมายจับจ้องมาแบบนี้ เขาจึงทำได้เพียงเค้นสมองครุ่นคิดหาวิธีที่เหมาะสม
ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่มองเซ่อ บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงก็ตะลึงลานไปเช่นกัน ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสีเลือดเขาเส้าเจ๋อเฟิงเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็หายใจถี่กระชั้นกันหมด
มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำยาวิเศษไว้ในมือแน่น บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงจึงหัวเราะร่าเสียงดัง ไอดุร้ายบนร่างพลันหายไป
“เข้าใจผิด เข้าใจผิด ฮ่าๆ…”
“ปรมาจารย์เย่จั้ง เมื่อครู่ตัวข้าล้อเจ้าเล่นเฉยๆ” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงก้าวยาวๆ เข้ามา บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มจริงใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร แต่สมองหมุนเร็วจี๋
“เอาอย่างนี้ ปรมาจารย์เย่จั้ง คำสัญญาก่อนหน้านี้ เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้ายินดีมอบเพิ่มให้เป็นสามเท่า!” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงเขยิบเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสีเลือดเขาเส้าเจ๋อเฟิงรอบด้านเดินออกมาพร้อมกัน โอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ตรงกลาง มองดูคล้ายการล้อมโจมตี
“กล้ารังแกนักพรตเขาจงเฟิงของข้าต่อหน้าข้าเชียวรึ” และเวลานี้เอง ซ่งจวินหว่านที่ยืนมองอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดจึงเอ่ยปากเนิบนาบ เดินออกมาหนึ่งก้าวก็มาปรากฏตัวอยู่กลางกลุ่มคน เมื่อนางยืนอยู่ตรงนั้น ใจของทุกคนร่วงหล่นดังโครมคราม บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงก็ยิ่งมีสีหน้าน่าเกลียด
ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันเงียบๆ และเวลานี้เอง น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งพลันดังลอยมาจากบนเขาจู่เฟิง สะท้อนไปรอบด้านราวเสียงฟ้าผ่า สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของทุกคนให้สั่นคลอน
“เย่จั้งหลอมยาวิเศษระดับห้าออกมาได้ ถือเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโลหิต แต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสสีเลือดเขาจงเฟิง!”
“ส่วนยาเม็ดนี้ตกเป็นของเขาเส้าเจ๋อเฟิง เขาเส้าเจ๋อเฟิงจงเตรียมทรัพยากรเพื่อสร้างชุดรบสีเลือดให้แก่เย่จั้ง!!” ขณะที่คำพูดของเขาดังสะท้อน เงาเลือนรางร่างหนึ่งก็ปรากฏกายอยู่กลางอากาศ นั่นคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีเลือด พลังอำนาจเกรียงไกร พลานุภาพแผ่กระจายไปทั่ว ทำให้นักพรตทุกคนที่อยู่รอบด้านใจสั่นสะท้าน ก้มหน้าคำนับ
ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก ประสานมือคารวะ
สำหรับการจัดการของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง ทุกคนไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงยอมรับ
“วันนี้ตลอดทั้งสำนักล้วนจับตามองมายังที่แห่งนี้ ก็ดี ข้าผู้อาวุโสก็มีสามเรื่องที่จะบอกทุกท่านเช่นกัน!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ เสียงดังก้องไปทั่วทั้งสำนัก
“เรื่องแรก เจ็ดวันให้หลัง นักพรตของทั้งสี่เขาร่วมกันถวายปราณเลือด ปลุกให้กระดูกไม่สลายของสำนักธาราโลหิตฟื้นคืนชีพ!”
“เรื่องที่สอง อีกหนึ่งเดือนให้หลัง การประลองบุตรโลหิตของเขาจงเฟิงจะเริ่มต้นขึ้น!”
“เรื่องสุดท้าย…สงคราม…ใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว!”
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งพูดจบก็กวาดสายตามองไปบนร่างของทุกคนที่อยู่รอบด้าน ลมหายใจหอบหนักจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนดังกังวาน ปราณดุร้ายเส้นแล้วเส้นเล่าก่อตัวกันไม่ขาดสาย ไม่นานปราณของทุกคนที่มารวมกันก็พุ่งทะลุขึ้นไปบนชั้นเมฆ
“รบ!!”
“รบ!!” ทุกคนพร้อมใจกันคำรามกึกก้อง ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ พลังอำนาจตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตระเบิดออก เขย่าคลอนฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนสำลักลมหายใจ แม้จะตะโกนเสียงดังเหมือนคนอื่น ทว่าในใจกลับร้อนรน
“แยกย้ายกันไปเถอะ!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งมองเย่จั้งหนึ่งครั้ง เผยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วจึงหมุนตัวหายวับไป
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างพากันกลับไปยังเขาของใครของมันพร้อมกับความฮึกเหิมก่อนเข้าสู่ศึกสงคราม แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเสียดายมากเท่าไหร่ แต่กลับจำต้องให้เกียรติบุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิง จากนั้นถึงได้กลับเขาจงเฟิงไปพร้อมกับซ่งจวินหว่าน
ตลอดทางซ่งจวินหว่านเงียบงัน นัยน์ตาเปล่งประกายเย็นเยียบ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มร้อนรนจึงไม่คิดเอ่ยปากพูดอะไรเช่นกัน จนกระทั่งกลับมาถึงเขาจงเฟิง ซ่งจวินหว่านพลันผินหน้ากลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
“เย่จั้ง การประลองบุตรโลหิตของยอดเขาจงเฟิง ข้าต้องการให้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ให้ข้า ช่วยข้าช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิต!”
“การประลองบุตรโลหิตมีอันตราย เจ้าไม่จำเป็นต้องให้คำตอบข้าตอนนี้ อีกเดี๋ยวเมื่อข้ากลับไปยังถ้ำสถิตจะปิดด่านทันที รอจนถึงช่วงก่อนเปิดการประลอง ข้าจะออกจากด่านมาพบเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยบอกคำตอบแก่ข้า” ซ่งจวินหว่านมองเย่จั้งด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายเดินไปทางพื้นที่นิ้วส่วนบน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน มองแผ่นหลังของซ่งจวินหว่าน ความซับซ้อนในใจยิ่งมีมาก จนกระทั่งกลับมาถึงถ้ำสถิต เขานั่งขัดสมาธิ รู้สึกกลุ้มใจไม่น้อย
จากคำพูดของบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าหลังจากผ่านการโต้เถียงช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าพวกบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิตได้คำตัดสินแล้ว สงครามของทั้งสองสำนักกระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ บางทีอีกไม่กี่เดือนให้หลังก็คงเริ่มขึ้น
ท่ามกลางความเงียบงัน เจ็ดวันผ่านไป
เมื่อเช้าตรู่วันที่แปดมาถึง เสียงระฆังดังสะท้อนอยู่ในสำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ตอนที่เดินออกมาจากถ้ำก็มองเห็นว่านักพรตแทบทุกคนของทั้งสี่ยอดเขาล้วนพากันบินออกมา ต่างคนต่างมารวมตัวกันอยู่บนเขตพื้นที่นิ้วส่วนบนของยอดเขาตัวเอง
ไม่นานก็มีเงาแปดร่างเดินออกมาจากเขาจู่เฟิง ราวกับยักษ์ทั้งแปดตน ยืนอยู่กลางอากาศท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เงาร่างทั้งแปดนี้มีประกายแสงฉายโชนออกมาทั่วร่าง รอบด้านบิดเบือน มองเห็นเพียงเค้าโครง ไม่เห็นรูปร่างที่แน่ชัด
วินาทีที่คนทั้งแปดปรากฏตัว นักพรตทุกคนล้วนคุกเข่าถวายคำนับ
“คารวะบุรพาจารย์!”
เสียงดังพร้อมเพรียง สะท้อนไปสี่ทิศ จิตใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะเทือน เขารู้ว่าเงาร่างที่สูงเลิศล้ำทั้งหลายนั้นก็คือบุรพาจารย์ทั้งแปดท่านของสำนักธาราโลหิต!
อู๋จี๋จื่อ บุรพาจารย์ตระกูลซ่งก็อยู่ในนั้น และยังมีอีกคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวสีม่วงตลอดร่าง ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจเหนือล้ำเกินกว่าทุกคน เมื่อเขายืนอยู่กลางอากาศ แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังหม่นแสงลง
พลานุภาพระลอกแล้วระลอกเล่าปกคลุมไปสี่ด้าน ดุจดั่งบารมีแห่งสวรรค์
“ทุกคนปล่อยปรานเลือดของพวกเจ้าออกมา เปิดประตูโลหิต!” น้ำเสียงหนึ่งดังลอยมาจากคนทั้งแปด เมื่อมันดังสะท้อน เสียงครั่นครืนแผ่กระจาย มือใหญ่อันเป็นที่ตั้งของตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตพลันสั่นสะเทือน ขณะเดียวกันพื้นดินทุกหนแห่งก็มีลายค่ายกลลอยขึ้นมา
ตามมาติดๆ ด้วยปราณเลือดที่ระเบิดออกดังตูมตาม เริ่มจากเขาเส้าเจ๋อเฟิง ปราณเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่ยอดเขา ก่อเกิดเป็นลำแสงสีเลือดหนึ่งลำพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตามมาด้วยเขาอู๋หมิงเฟิง เขาจงเฟิง เขาซือเฟิง สุดท้ายคือเขาจู่เฟิง!
ตูมๆๆ!
ลำแสงสีเลือดห้าลำล้วนพุ่งทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ ทำให้ท้องนภาเปลี่ยนสีเป็นสีเลือด แปลงมาเป็นน้ำวนขนาดมโหฬาร นักพรตทุกคนในสำนักธาราโลหิตล้วนสัมผัสได้ว่าปราณเลือดบางส่วนในร่างกายเดือดพล่าน ตบะแผ่ซ่าน ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปราณเลือดมากมายหลายเส้นแตกปะทุออกมา ปราณเลือดเหล่านี้ล้วนลอยขึ้นกลางอากาศ
และเวลานี้เอง ในบรรดาบุรพาจารย์ทั้งแปดคนมีคนหนึ่งเดินออกมา คนผู้นี้คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลา บนร่างมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์บางอย่าง สามารถทำให้ใจของคนที่มองเกิดความรู้สึกดีๆ และรู้สึกเชื่อใจ
“ข้าผู้อาวุโสฮั่นเหยียน รับผิดชอบปลุกพลังที่แฝงเร้นของสำนักธาราโลหิต ข้าต้องการลูกศิษย์เก้าคนมาช่วยหลอมปราณให้กลายเป็นเลือด!”
“สวีเสี่ยวซาน ซ่งเชวีย เซวี่ยเหมย หันตง โจวเจิ้งเฟิง…” บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนพูดเนิบนาบ น้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าตัวเขาคือบุรพาจารย์ แม้แต่คำพูดธรรมดาก็ยังมีพลานุภาพสยบ ทุกชื่อที่พูดออกมาทำให้คนที่ถูกเรียกรีบบินไปกลางอากาศ คารวะต่อหน้าบุรพาจารย์ฮั่นเหยียน
จากการที่แต่ละเงาร่างปรากฏออกมา เมื่อครบทั้งแปดคนแล้ว ลูกศิษย์ทุกคนของสำนักธาราโลหิตล้วนสูดลมหายใจเข้าลึก คนทั้งแปดนี้ล้วนเป็นผู้ที่สร้างฐานวิถีดินด้วยน้ำขึ้นน้ำลงหลายครั้ง ต่างก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโลหิตรุ่นปัจจุบัน!
และเวลานี้เอง สายตาของบุรพาจารย์ฮั่นเหยียนมาตกอยู่บนเขาจงเฟิง แล้วจึงพูดชื่อสุดท้ายออกมา
“เย่จั้ง!”