Skip to content

A Will Eternal 240


บทที่ 240 ข้าช่างซื่อตรงเกินไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย เหล่ตามองศิษย์แห่งความภาคภูมิใจหลายคนบนแท่นเลือดเหล่านั้น นอกจากเซวี่ยเหมยที่ทำสำเร็จแล้ว อีกเจ็ดคนที่เหลือล้วนกำลังรวบรวมปราณเลือดอย่างต่อเนื่อง

ทว่ามองไปมองมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็โมโหปรี๊ดขึ้นมาทันที เขารู้สึกว่าคนพวกนี้ทำเกินไปแล้ว เจ้าซ่งเชวียนั่น ด้วยรากฐานของชีพจรดินน้ำขึ้นน้ำลงแปดครั้ง ใช้แท่นบูชาสีเลือดหลอมปราณให้กลายเป็นเลือด ต่อให้ช้ากว่าเซวี่ยเหมยก็ไม่มีทางช้ามากมายขนาดนั้น ทว่าตอนนี้เขาหลอมออกมาได้แค่ประมาณเจ็ดส่วนเท่านั้น

ส่วนคนอื่นๆ ก็พอๆ กัน ที่ช้าที่สุดคือได้ประมาณสามส่วน

“มีแต่ข้านี่แหละที่ซื่อตรงเกินไป ถึงได้ยังเกิดความลังเล เจ้าพวกนั้นล้วนกักปราณเลือดเอาไว้ เอามาใช้บำเพ็ญตบะให้ตัวเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็รู้ถึงความไม่ชอบมาพากล ในใจยิ่งเดือดดาล กวาดตามองเซวี่ยเหมยก็รู้สึกว่าเซวี่ยเหมยผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก ระดับความซื่อตรงน้อยกว่าตนนิดเดียวเท่านั้น

“ช่างเถอะๆ ไหนๆ ก็พูดกันว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ในฐานะที่ข้าเป็นสายลับก็ห้ามทำตัวแตกแยกเด็ดขาด ข้าต้องทำเหมือนทุกคน…ข้าก็ไม่ได้อยากทำนะเนี่ย เฮ้อ” ขณะที่ปลงอนิจจังอยู่ในใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันสูดลมเฮือกใหญ่อย่างแรง กักปราณเลือดที่ดูดซับมาก่อนหน้านั้นไว้ถึงเก้าส่วนเต็ม…

เพราะสูดมาแรงเกินไป ทำให้ก้อนเลือดบนศีรษะที่เดิมทีทำสำเร็จไปแล้วเกินครึ่งโรยราไปครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ภาพนี้ทุกคนที่นั่งสมาธิอยู่เบื้องล่างไม่สังเกตเห็น ทว่าพวกซ่งเชวียกลับมองเห็นกันหมด แต่ละคนมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างโกรธเคือง ในใจก่นด่าว่าอีกฝ่ายไร้ยางอาย

แม้แต่บุรพาจารย์ฮั่นเหยียนก็ยังลังเลไปเล็กน้อย มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง ส่วนบุรพาจารย์คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าเหยเก ครั้งนี้ที่ให้คนทั้งเก้าช่วยเหลือ นอกจากเพื่อให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจรุ่นนี้สามารถทำความเข้าใจกับพลังแฝงได้อย่างชัดเจนแล้ว ก็ยังคิดจะอาศัยโอกาสนี้เพิ่มตบะของคนทั้งเก้าให้สูงขึ้นไปอีกขั้น

ส่วนจะเพิ่มขึ้นได้มากเท่าไหร่ ควรจะกะหนักกะเบาอย่างไร ก็ล้วนอยู่ที่ตัวคนทั้งเก้าเองแล้ว

เซวี่ยเหมยมีตำแหน่งบุตรโลหิตค้ำคอ ไม่แยแสเรื่องนี้ก็ยังพอว่า ในสายตาของบุรพาจารย์เหล่านี้ เย่จั้งผู้นั้น…กลับถึงขนาดดึงเอาก้อนเลือดที่สำเร็จไปแล้วเกินครึ่งกลับไปอย่างหน้าด้านๆ

หากเพียงแค่เย่จั้งคนเดียวก็ยังไม่เท่าไหร่ ทว่าไม่นาน ซ่งเชวีย สวีเสี่ยวซาน และคนที่เหลือเหล่านั้นต่างก็เลียนแบบทำเหมือนกัน จนพวกบุรพาจารย์ทนมองไม่ไหวอีกต่อไป

เพราะยังไงซะ…ในดวงตากลวงโบ๋ของกระดูกไม่สลายที่อยู่ในดวงตาสีเลือดนั่นก็เหมือนจะปรากฏแสงไฟรุบรู่ขึ้นมาแล้วหนึ่งเส้น…

“เวลาหนึ่งก้านธูป ผู้ใดที่รวบรวมก้อนเลือดไม่สำเร็จ ทำให้การปลุกกระดูกไม่สลายล่าช้า ข้าผู้อาวุโสจะลงมือด้วยตัวเอง หลอมเจ้าให้กลายเป็นกระดูกไม่สลายแทน!” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง เอ่ยปากเนิบนาบ เสียงดังอยู่แค่ข้างหูของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ การรวมตัวของปราณเลือดเมื่อครู่นี้ทำให้เขาได้รับการบำรุงอย่างมาก ปราณเลือดไร้ที่สิ้นสุดในร่างกายผลักดันบทที่สองของเนื้อคงกระพัน พลังผีร้ายของเขาไต่สูงขึ้นไปอีกครั้ง ตอนนี้ไปถึงพลังของผีร้ายห้าตนแล้ว

“ขี้งกเกินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ แต่กลับไม่กล้าต่อต้าน จำต้องทำตัวสำรวม คนอื่นๆ เองก็ก้มหน้า เป็นเช่นเดียวกัน ไม่นานเวลาหนึ่งก้านธูปก็ใกล้จะหมดลง

ก้อนเลือดบนศีรษะของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนแปดคนต่างก็ทำสำเร็จไปแล้วเก้าส่วน ส่วนสุดท้าย…เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็ตัดสินใจกันแล้วว่าหากไม่ถึงช่วงสุดท้ายจริงๆ จะไม่ยอมทำสำเร็จเด็ดขาด ถ่วงเวลาออกไปได้มากเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเท่านั้น เพราะยังไงซะโอกาสอย่างตอนนี้เทียบเคียงได้กับโชควาสนาอย่างหนึ่ง นี่คือการได้รับความช่วยเหลือในการฝึกบำเพ็ญตบะจากนักพรตทั่วทั้งสำนักธาราโลหิต

เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป บทเนื้อคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทะยานพรวดพราดอีกครั้ง พลังกล้ามเนื้อไต่ไปถึงระดับพลังของผีร้ายหกตน คันยิบเสียวปลาบไปทั้งร่าง ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เขาปรารถนาจะเงยหน้าคำรามยาว

“ไม่ได้แล้ว เวลาใกล้จะหมดแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอาลัยอาวรณ์ แต่กลับทำอะไรไม่ได้มาก ถอนหายใจอยู่ในใจ และขณะที่กำลังรวบรวมปราณเลือดอย่างสุดพลังในช่วงเวลาไม่กี่สิบลมหายใจสุดท้ายนี้ ใจของเขาก็พลันกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง…

“ไม่รู้ว่า หากข้าหลอมรวมเลือดคงกระพันแท้จริงที่แฝงเร้นปณิธานของข้าไว้ด้านใน จะเป็นไปได้ไหมที่ข้าจะ…ควบคุมกระดูกไม่สลายร่างนั่นได้?”

พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน เขารู้สึกว่าหากตัวเองทำสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับสร้างคุณความดีครั้งยิ่งใหญ่ แต่พอนึกได้ว่าสำนักธาราโลหิตดีกับตัวเองไม่น้อย…เขาจึงเริ่มเกิดความสับสน

“ซ่งจวินหว่าน บุรพาจารย์ตระกูลซ่ง แล้วก็ผู้อาวุโสใหญ่ของแต่ละยอดเขานั่นถือว่าดีกับข้าไม่น้อย แม้บางครั้งจะดุร้ายไปบ้าง แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังถือว่าใช้ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ แล้วก็คิดขึ้นมาอีกว่าด้วยตบะของตน หากคิดจะไปควบคุมกระดูกไม่สลาย ความเป็นไปได้ช่างน้อยนิดยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่ลังเลอีก

“เอาเป็นว่าข้าทดลองดูหน่อยก็แล้วกัน สำเร็จหรือไม่คงต้องอยู่ที่บัญชาสวรรค์แล้วล่ะ” ในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายแสงวับวาวน้อยๆ เขาก้มหน้าลง ขณะที่คนอื่นกำลังหลอมปราณให้เป็นเลือด แม้เขาจะทำเช่นเดียวกัน แต่ในร่างกายกลับกระตุ้นเอาปราณเลือดคงกระพันของตัวเองออกมาหลอมรวมเข้ากับปราณเลือดมากมายที่ดูดซับมาอย่างช้าๆ

หลังจากผ่านไปหลายสิบลมหายใจ ขณะที่ดวงตาของบุรพาจารย์ฮั่นเหยียนฉายแสงคมกล้า กำลังจะประกาศว่าถึงเวลายุติ ก้อนเลือดบนศีรษะของซ่งเชวียก็บินออกมาทันที สวีเสี่ยวซานก็เช่นกัน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยลอยออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรีบลืมตาขึ้น ก้อนเลือดบนศีรษะพลันบินพรวดออกไป

ในใจเขาตื่นเต้น ก้อนเลือดนี้ของตนมองดูไม่ต่างไปจากของคนอื่น แต่ในความเป็นจริงแล้วด้านในนั้นมีเลือดคงกระพันแท้จริงของตนอยู่เส้นหนึ่งซึ่งมีปณิธานของตนแฝงเร้นอยู่

“คงไม่ถูกจับได้กระมัง เพราะยังไงซะเลือดคงกระพันของข้าต่างหากถึงจะเป็นของแท้ดังเดิม คนอื่นๆ เป็นเพียงของเลียนแบบ ต่อให้มองออกถึงความแตกต่าง ก็มีแต่จะคิดว่าข้าทุ่มเทมากกว่าคนอื่น เพราะยังไงข้าก็คือเลือดที่หวนคืนสู่บรรพบุรุษ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังกระวนกระวายใจ ก้อนเลือดแปดก้อนก็ลอยมาหาฮั่นเหยียนเจินเหริน หลังจากฮั่นเหยียนเจินเหรินกวาดตามองผ่านทีละก้อนแล้วก็ไม่ได้หยุดชะงัก แต่ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ก้อนเลือดทั้งแปดนี้จึงบินดิ่งเข้าไปหากระดูกไม่สลายในดวงตาสีเลือดที่อยู่กลางนภาโดยตรง

ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่อนลมหายใจ มองกระดูกไม่สลายที่อยู่ในดวงตาสีเลือดตาไม่กะพริบ เห็นเพียงว่าหลังจากที่ก้อนเลือดทั้งแปดเข้าไปใกล้ก็หลอมละลายเข้าไปในร่างกายของกระดูกไม่สลาย พอหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ตลอดทั้งร่างของกระดูกไม่สลายพลันระเบิดความมีชีวิตชีวา ไฟรุบรู่ในดวงตากลวงโบ๋ลุกไหม้ขึ้นมาในบัดดล ยิ่งนานยิ่งสว่างไสว

พอถึงท้ายที่สุด กระดูกไม่สลายนี้ก็ลุกขึ้นยืน แหงนหน้าขึ้นฟ้าคำรามหนึ่งครั้ง ภายใต้เสียงคำรามนี้ ฟ้าดินเปลี่ยนสี โลกดังครั่นครืน พลังอำนาจสะท้านฟ้าสะเทือนดินระลอกหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากร่างของมันอย่างไม่ขาดสาย

ยังมีลมพายุบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า กวาดทำลายไปแปดทิศ ทำให้ตลอดทั้งฟ้าดินสลัวมืดครึ้ม

และเวลานี้เอง หลังจากที่กระดูกไม่สลายถูกปลุกให้คืนชีพ หัวปีศาจพันหน้าข้างกายของมัน และยังมีหนังที่แห้งเหี่ยวชิ้นนั้น รวมไปถึงกระบี่เลือด ต่างก็สั่นสะเทือนอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับถูกกระตุ้นให้ทยอยกันฟื้นตื่นขึ้นมา…

เสียงเปรี๊ยะๆ แผ่กระจายไปรอบด้าน บนลูกตาดำของดวงตาสีเลือดพลันปรากฏรอยแยกขึ้นมาหนึ่งรอย ดั่งรอยผนึกที่ปริร้าวออก!

ยังไม่ทันให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสว่าตนทำสำเร็จหรือไม่ ฮั่นเหยียนเจินเหรินก็สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ตรงดิ่งเข้าไปในลูกตาสีเลือด บุรพาจารย์ที่เหลือ ยามนี้ต่างก็ดวงตาเปล่งประกายแวววาว บินไปยังดวงตาสีเลือดอย่างพร้อมเพรียงกัน บุรพาจารย์ตระกูลซ่งเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าไปในดวงตาสีเลือด เขาหันกลับมามองบนพื้นดินหนึ่งครั้ง

“หนึ่งเดือนให้หลัง ประลองบุตรโลหิตเขาจงเฟิง!” ขณะที่เสียงดังกังวานราวเสียงฟ้าร้องของเขาดังสะท้อน เขาก็เหยียบย่างเข้าไปในดวงตาโลหิต วินาทีที่เขาเหยียบเข้าไปนั้น หัวปีศาจพันหน้าตื่นขึ้น ผิวหนังแห้งเหี่ยวชิ้นนั้นเกิดพลังชีวิต คนจิ๋วบนกระบี่โลหิตลืมตาโพลง

รอยแยกบนดวงตาดำนั่นเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างรวดเร็วแล้วพังทลายลง เกิดเป็นรูโหว่ขึ้นมาหนึ่งรู บุรพาจารย์ทั้งแปดท่านของสำนักธาราโลหิตพร้อมใจกันเดินเข้าไปด้านใน

ตูม!

หลังจากที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไป ตลอดทั้งท้องฟ้าพร่ามัว พริบตาเดียวดวงตาโลหิตก็หายวับไป ส่วนนักพรตสำนักธาราโลหิตที่อยู่ด้านล่างต่างก็หยุดการทำสมาธิ เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ภายใต้การจัดการของเจ้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่ของแต่ละยอดเขา ทุกคนถึงได้แยกย้ายกันไป ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัยมากมายนับไม่ถ้วน

พลังแฝงเร้น พวกเขาได้เห็นแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสุดท้ายทำไมบุรพาจารย์เหล่านั้นถึงได้เข้าไปในดวงตาโลหิต แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คงอยู่ไม่ไกลจากสงครามแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น สุดท้ายเขาก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าตัวเองทำสำเร็จหรือไม่ ขณะที่คิดไปคิดมาก็กลับเข้ามาอยู่ในถ้ำเรียบร้อย หลังจากควบคุมพลังกล้ามเนื้อซึ่งเพิ่มขึ้นพรวดพราดให้มั่นคงได้แล้ว เวลาก็ผ่านไปแล้วเกินครึ่งเดือน ห่างจากการประลองบุตรโลหิตเขาจงเฟิงตามที่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งบอกไว้อีกสามวัน

เวลาเดียวกันนั้น ตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องประลองบุตรโลหิต คนทุกรุ่นของสำนักธาราโลหิตจะมีบุตรโลหิตเพียงแค่สี่คน บุตรโลหิตคนใดก็ตามที่อยู่ในขั้นรวมโอสถจะอยู่เหนือผู้อาวุโสไท่ซ่าง กลายเป็นอังคุฐโลหิต

แต่ทว่าบุตรโลหิตของเขาจงเฟิงรุ่นนี้ยังไม่ปรากฏตัวเสียที ตอนนี้ก่อนที่จะเกิดสงคราม ในที่สุดก็มีการจัดประลองบุตรโลหิตขึ้นเพื่อเลือกคนผู้หนึ่งให้กลายมาเป็นบุตรโลหิต หากได้ตัวบุตรโลหิตแล้ว พลังในการสู้รบของเขาจงเฟิงเมื่ออยู่ภายใต้การปลุกเสกปราณเลือดของตัวบุตรโลหิตเองก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกไม่น้อย

เรื่องนี้สำหรับสำนักธาราโลหิตถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับนักพรตเขาจงเฟิงแล้ว นี่ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตัวตนของบุตรโลหิต หากว่ากันในทางทฤษฎีแล้ว นักพรตสร้างฐานรากของเขาจงเฟิงทุกคนล้วนมีสิทธ์ได้เป็นทุกคน

เพียงแต่ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าบุตรโลหิตเขาจงเฟิงรุ่นนี้จะเกิดขึ้นกับคนสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือเซวี่ยเหมย อีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่าน!

“ต้องเป็นนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยแน่นอน นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยจุดสูงสุดของชีพจรดินเก้าครั้ง นางไม่ได้เป็นบุตรโลหิต ถือเป็นความเสียหายของเขาจงเฟิงเรา!”

“ข้าคิดว่าความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสใหญ่จะทำสำเร็จมีสูงมาก ยังไงซะนางก็มีตบะสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเซวี่ยเหมยจะเป็นจุดสูงสุดของชีพจรดิน แต่ก็อยู่แค่สร้างฐานรากขั้นกลางเท่านั้น สู้ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้!”

“การประลองบุตรโลหิต นอกจากแข่งกันในเรื่องตบะและพลังในการรบแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ต่างฝ่ายต่างจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์นำส่ง…ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของผู้พิทักษ์ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเช่นกัน”

ยิ่งการประลองบุตรโลหิตใกล้จะมาถึง คำวิพากษ์วิจารณ์มากมายในสำนักก็ยิ่งมีมาก กลางดึกก่อนวันประลองบุตรโลหิตหนึ่งวัน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิ นอกถ้ำของเขา เงาร่างของผู้อาวุโสใหญ่ซ่งจวินหว่านย่างกรายเข้ามาทีละก้าวท่ามกลางแสงจันทร์ ใบหน้าของนางงามล้ำ เมื่อถูกแสงจันทร์ขับให้เด่นก็ยิ่งงามล่มเมือง

“ศิษย์น้องเย่จั้ง พักผ่อนหรือยัง?” นอกถ้ำ ซ่งจวินหว่านเอ่ยปากด้วยเสียงอันเบา

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version