บทที่ 241 มารโลหิตก็คือนายแห่งโลหิต!
ก่อนหน้าหน้าที่ซ่งจวินหว่านจะมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนรอนางอยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว เขากำลังครุ่นคิดเรื่องที่ซ่งจวินหว่านบอกว่าหลังออกจากด่านจะมาหาตน พรุ่งนี้ก็คือวันประลองบุตรโลหิตแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่ปรากฏตัวเสียที
ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่าควรจะเป็นฝ่ายไปหาเองดีหรือไม่ก็ได้ยินเสียงซ่งจวินหว่านที่ดังขึ้นด้านนอก ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกายทันใด ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่ได้เปิดถ้ำแล้วเดินออกไปต้อนรับ แต่กะจะใช้โอกาสนี้ให้อีกฝ่ายรออยู่ด้านนอกนานๆ สักหน่อย เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
อันที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ยังตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาดนัก เพราะยังไงซะการประลองบุตรโลหิต หากเขาไม่เข้าร่วมก็ถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งของเขา ขอแค่สามารถแอบเข้าไปในถ้ำของซ่งจวินหว่านโดยที่ไม่มีใครจับได้ ก็จะมีโอกาสเอาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาครอง ไม่มีความจำเป็นต้องไปเข้าร่วมการประลองบุตรโลหิต
เพียงแต่ว่าหากทำเช่นนี้ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับความอันตรายในการประลองบุตรโลหิตแล้ว ยากที่จะเลือกได้
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังครุ่นคิด ประตูใหญ่ของถ้ำเขาพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ซ่งจวินหว่านเดินเข้ามาหนึ่งก้าว
“เจ้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง รีบก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ทั้งตะลึงระคนสงสัย นี่มันถ้ำของเขานะ แถมรอบด้านยังมีค่ายกลกางกั้น แต่ซ่งจวินหว่านผู้นี้กลับเข้ามาได้เอง
“ข้าคือผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง เป็นตัวแทนบุตรโลหิตออกคำสั่งควบคุมเขาจงเฟิง พืชหญ้าทุกต้นที่นี่ ถ้ำสถิตแห่งใดก็ตาม หากข้าอยากจะเข้าไป ใครก็ห้ามไม่ได้” ซ่งจวินหว่านครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง สายตากวาดมองไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน คล้ายมองทะลุปรุโปร่งแผนการในใจของเขาก่อนหน้านี้
“อีกอย่างมีหรือที่ศิษย์น้องเย่จั้งจะปฏิเสธไม่ให้ข้าเข้ามาในถ้ำ ดังนั้นจะรอให้เจ้าเอ่ยปาก ก็สู้ให้ข้าเดินเข้ามาเองเสียดีกว่า” ระหว่างที่พูดซ่งจวินหว่านก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้หินด้านข้าง ยกมือขึ้นเท้าคาง ดวงตาทั้งคู่มีความงามหยาดเยิ้มบางอย่างที่บอกไม่ถูก สายตานี้มีตะขอเกี่ยวซุกซ่อนอยู่ เกี่ยวจนป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน รีบปั้นหน้าเคร่ง เอ่ยปากเสียงหนัก
“บุตรโลหิต สำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเชียวหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังซ่งจวินหว่านด้วยสีหน้าจริงจัง
ซ่งจวินหว่านมองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน เงียบงันไปนานถึงได้พยักหน้า
“หลายปีมานี้เขาจงเฟิงล้วนอยู่ในกำมือของตระกูลซ่ง บุตรโลหิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนตกเป็นของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจตระกูลซ่ง ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างไปจากเดิม”
“บุรพาจารย์ได้แลกเปลี่ยนกับบุรพจารย์อู๋จี๋จื่อ โดยนำสิทธิ์ในการช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตของนางคนชั่วเซวี่ยเหมยมาแลกกับข้อมูลสร้างฐานรากวิถีฟ้า
น่าเสียดายที่ซ่งเชวียไม่เอาถ่าน ไม่สามารถสร้างฐานรากวิถีฟ้าได้ และนางเซวี่ยเหมยชั่วช้านั่นก็ดันเป็นชีพจรดินน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง…เมื่อเป็นเช่นนี้ เชวียเอ๋อร์จึงสู้เซวี่ยเหมยไม่ได้เลยสักนิด บุตรโลหิตจึงมีเพียงข้าเท่านั้นที่ต้องช่วงชิงมาให้ได้!”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นผู้พิทักษ์ให้ข้า ช่วยข้าช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิต!” ซ่งจวินหว่านมองป๋ายเสี่ยวฉุน รอคำตอบจากเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญ หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งจวินหว่าน การตัดสินใจต่อเรื่องนี้ของเขายิ่งเด่นชัด เพียงแต่เขารู้สึกว่าการแข่งขันของบุตรโลหิตนั้นค่อนข้างอันตราย เมื่อเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาจึงเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไร
“ข้าจะไม่ให้เจ้าช่วยเปล่าๆ ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นผู้อาวุโสสีเลือดแล้ว หากข้าทำสำเร็จ…ข้าจะผลักดันอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เจ้าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่คนต่อไป!” ซ่งจวินหว่านพูดเนิบช้า หลังจากพูดจบก็ไม่รู้ว่าทำไมใบหน้าของนางถึงได้แดงก่ำน้อยๆ ความหยาดเยิ้มในดวงตายิ่งเพิ่มมากขึ้น ราวกับได้กลายมาเป็นตะขอจำนวนนับไม่ถ้วน เกี่ยวรั้งจนป๋ายเสี่ยวฉุนร่ำร้องว่านางมารร้ายอยู่ในใจ
เขากระแอมไอหนึ่งครั้ง ไม่มองดวงตาล่อลวงใจคนคู่นั้นของซ่งจวินหว่าน ในใจกำลังชั่งส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เข้าร่วมประลองบุตรโลหิต แอบไปขโมยวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญ ความเสี่ยงมีสูงมาก แต่ไปร่วมประลองบุตรโลหิต ความเสี่ยงก็สูงไม่ต่างกัน
เพียงแต่ว่าข้อหนึ่งไม่สามารถควบคุมได้ อีกข้อหนึ่งพอจะควบคุมได้ ข้อหนึ่งหลังจากเสี่ยงภัยแล้วความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวมีสูงมาก ส่วนอีกข้อหนึ่งหลังจากเสี่ยงภัยแล้วความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จมีไม่น้อย
เมื่อนำทั้งสองข้อมาเปรียบเทียบกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมรู้ว่าควรเลือกข้อใด ยามนี้จึงแอบกัดฟัน มองไปยังซ่งจวินหว่าน
“หากเจ้าต้องการกลายเป็นบุตรโลหิต ข้าย่อมช่วยเจ้าอยู่แล้ว ไหนลองเล่าให้ข้าฟังสิว่าขั้นตอนการประลองบุตรโลหิตมีอะไรบ้าง? แบบไหนถึงจะเรียกว่าได้เลื่อนขั้นเป็นบุตรโลหิต?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามอย่างละเอียด ในใจตัดสินใจได้แล้วว่าต่อให้ไปช่วยก็ต้องรักษาชีวิตตัวเองไว้เป็นหลัก เมื่อเป็นเช่นนี้ คาดว่าระดับความอันตรายก็น่าจะลดน้อยลงมามาก
ซ่งจวินหว่านปลื้มปิติ นัยน์ตาฉายแววแปลกประหลาดมองไปยังป๋ายเสี่ยซฉุน เนิ่นนานถึงได้ยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะ ดวงตาทั้งคู่อ่อนโยน เอ่ยปากเสียงเบา
“การประลองบุตรโลหิต สำหรับหลายคนแล้วมันคือเรื่องที่เป็นความลับอย่างมาก ข้าเองก็ไม่อยากปิดบังเจ้า ทุกครั้งที่มีการประลองจะต้องมีการตายเกิดขึ้น” ซ่งจวินหว่านเพิ่งพูดจบ แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเตรียมใจมาก่อนก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ เขากลัวคำว่าตายมากที่สุดแล้ว จึงรู้สึกกลุ้มใจขึ้นมาทันที
“เนื่องจากสถานที่การประลองไม่ได้อยู่บนโลกภายนอก แต่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรา…” น้ำเสียงของซ่งจวินหว่านแผ่วเบา ทว่าถ้อยคำที่ดังออกมากลับน่าตกใจราวเสียงอสนีบาต
“ใต้ฝ่าเท้า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ก้มหน้าลงมองพื้นดิน ในใจมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้น ดวงตาทั้งคู่หดตัวเข้าหากันน้อยๆ สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพอจะนึกถึงคำตอบได้แล้ว
“ปีนั้นที่เจ้าได้เห็นสำนักธาราโลหิตเป็นครั้งแรก รู้สึกหรือเปล่าว่า…สำนักธาราโลหิตของเรา เหมือนมือขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง?” ซ่งจวินหว่านส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน และก็เดาได้ว่าในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนคงมีข้อสรุปอยู่แล้ว
“สำนักธาราโลหิตก็คือมือใหญ่ข้างหนึ่ง คือมือข้างหนึ่งของยักษ์ที่ยื่นออกมาจากในแม่น้ำทงเทียน และวิชาทั้งหมดของสำนักธาราโลหิตก็ล้วนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่วิจัยศึกษามือยักษ์ข้างนี้
“พวกเราเรียกคนยักษ์นี้ว่า…บรรพบุรุษโลหิต!” นัยน์ตาซ่งจวินหว่านเผยความเร่าร้อนบ้าคลั่ง ความเลื่อมใสบูชานั้นอยู่เหนือล้ำเกินกว่าทุกสิ่งอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่นางที่รู้สึกเช่นนี้ แต่ทุกคนตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตล้วนรู้สึกไม่ต่างกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้พูดอะไร
“แม้ว่าบรรพบุรุษโลหิตจะเป็นยักษ์ แต่ก็เหมือนพวกเราที่มีเลือดเนื้อ มีกระดูก มีอวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหก[1]…”
“คิดจะกลายเป็นบุตรโลหิต จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษโลหิต การยอมรับนี้ก็คือผลึกในอวัยวะตันทั้งห้าของบรรพบุรุษโลหิต เมื่อผ่านทางเข้าของตำหนักบุตรโลหิตเขาจงเฟิงเข้าไปยังส่วนในของเขาจงเฟิง โดยเดินไปตามหลอดเลือดและเส้นชีพจรด้านใน ก็จะเข้าไปในร่างกายของบรรพบุรุษโลหิตได้
และส่วนที่อยู่ในเขาจงเฟิงของเราก็คือหัวใจอันเป็นหนึ่งในอวัยวะตันห้า ที่นั่นมีผลึกเลือดหัวใจดำรงอยู่ ดังนั้นในระหว่างการประลอง ผู้ที่ได้ผลึกเลือดเป็นคนแรก…ก็จะได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษโลหิต ได้รับการยอมรับจากเขาจงเฟิง สามารถเขย่าคลอนปราณเลือดของทั้งยอดเขา ระงับตบะของนักพรตทั้งยอดเขา และยิ่งสามารถทำให้พลังในการสู้รบของนักพรตทั้งยอดเขาไต่สูงขึ้น นี่…ก็คือบุตรโลหิต!” คำพูดของซ่งจวินหว่านทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเข้าใจความเป็นมาของบุตรโลหิต แต่จนกระทั่งบัดนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเหตุใดตำแหน่งของบุตรโลหิตถึงได้สูงส่งนัก
ยอดเขาที่มีบุตรโลหิตกับยอดเขาที่ไม่มีบุตรโลหิต เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย!
“ข้าเคยได้ยินเรื่องเล่าอย่างหนึ่ง” อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถามขึ้นมากะทันหัน
“เจ้าคงพูดถึงเรื่องเล่าของมารโลหิตกระมัง” ซ่งจวินหว่านยิ้ม หลังจากเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า นางจึงพูดต่อ
“เรื่องเล่าลือนี้คือคำสรุปที่พวกบุรพาจารย์ในแต่ละรุ่นมีร่วมกัน พวกเขาคิดว่าในร่างกายของบรรพบุรุษโลหิตยังต้องมีผลึกเลือดสืบทอดที่แท้จริงอีกก้อนหนึ่งอยู่อย่างแน่นอน!
ผู้สืบทอดไม่ใช่บุตรโลหิตของนิ้วทั้งห้า แต่เป็น…มารโลหิต อยู่เหนือบุตรโลหิต หรือถึงขนาดอยู่เหนือบุรพาจารย์…เพราะว่าจากการที่คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าในสำนักทำการอนุมานมาตลอดหลายปี หากมารโลหิตปรากฏตัวขึ้น เนื่องจากหลายปีมานี้สำนักธาราโลหิตใช้เลือดวิเศษในการบำเพ็ญตบะมาโดยตลอด ถ้าเช่นนั้นเพียงแค่คิดมารโลหิตก็จะสามารถระงับตบะห้าส่วนของคนได้ทั้งสำนัก ล่างสุดถึงศิษย์ฝ่ายนอก บนสุดถึงบุรพาจารย์!
และเช่นเดียวกัน เพียงแค่ความคิดเดียวก็สามารถทำให้พลังการสู้รบของทุกคนในสำนักธาราโลหิตเพิ่มพรวดขึ้นถึงสามเท่า! บุคคลเช่นนี้ใช้คำว่ามารโลหิตนั้นยังยากจะพรรณนา ดังนั้นจึงมีชื่อหนึ่งเกิดขึ้นมา…ชื่อที่คนนอกไม่มีใครรู้ มีเพียงญาติของตระกูลข้าเท่านั้นถึงจะรู้ชื่อนี้…”
“นายแห่งโลหิต!” ซ่งจวินหว่านเอ่ยสี่คำนี้ออกมาด้วยเสียงอันเบา
“แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า จนถึงกระทั่งทุกวันนี้ บุรพาจารย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนเคยตามหาในร่างของบรรพบุรุษโลหิตมาก่อน แม้จะมีพื้นที่เกินครึ่งที่ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าไปได้ แต่ในบรรดาพื้นที่อันเป็นที่รู้จัก ก็ไม่เคยพบการดำรงอยู่ของการสืบทอด”
“ข้าเองก็หวังเป็นอย่างมากว่าในช่วงเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่จะได้เห็นสำนักธาราโลหิตมีคนผู้หนึ่งกลายเป็นนายแห่งโลหิต ทว่าพวกบุรพาจารย์เองก็เข้าใจดีว่าหากนายแห่งโลหิตปรากฏกายเมื่อใด ถ้าเช่นนั้นหากคนผู้นี้ไม่นำพาสำนักธาราโลหิตให้เดินไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ย่อมทำให้สำนักธาราโลหิต พินาศย่อยยับ…บุรพาจารย์บางคนคาดหวังให้มีนายแห่งโลหิต แต่บางคนกลับไม่ต้องการ บุรพาจารย์ตระกูลซ่งของข้าคือคนที่คาดหวังให้มีนายแห่งโลหิตปรากฏตัวขึ้น”
“ไม่พูดถึงเรื่องเล่านี้แล้ว ข้าจะเล่าเรื่องการประลองบุตรโลหิตครั้งนี้ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ซ่งจวินหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“การประลองครั้งนี้ เป้าหมายสุดท้ายก็คือช่วยให้ข้าช่วงชิงเอาผลึกเลือดมาครอง และระหว่างขั้นตอนนี้ จุดสำคัญอยู่ที่พลังในการสู้รบและความเร็ว สิ่งที่เจ้าและผู้พิทักษ์คนอื่นของข้าต้องทำก็คือคุ้มครองนำส่งข้าอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ข้าได้เข้าสู่ห้องหัวใจก่อนเซวี่ยเหมย!”
“ขอแค่ข้าได้เข้าสู่ห้องหัวใจเป็นคนแรก ถ้าเช่นนั้นผลึกเลือดก็ต้องตกเป็นของข้า!” ซ่งจวินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเผยความมั่นใจ
“ผู้พิทักษ์มีทั้งหมดกี่คน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถาม
“ข้าและเซวี่ยเหมยต่างก็สามารถพาผู้พิทักษ์เข้าไปในสถานที่ประลองได้ยี่สิบคน” ซ่งจวินหว่านพูดด้วยความนิ่งสงบ
“เยอะขนาดนี้เชียว? หากผู้พิทักษ์เข้าไปในหัวใจได้ก่อนล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนสงสัยเล็กน้อยจึงถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ในทางหลักการ ผู้พิทักษ์คนใดก็ตามที่ข้าและเซวี่ยเหมยพาไปด้วยล้วนสามารถกลายเป็นบุตรโลหิตได้ ขอแค่เข้าไปในห้องหัวใจเป็นคนแรก เอาผลึกเลือดมาหลอมรวมเข้าในร่างกายก็จะได้เป็นบุตรโลหิต”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เขาไม่เชื่อคำพูดของซ่งจวินหว่านหรอก หากเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลองคิดดูแล้วนอกเหนือจากจำกัดวิธีการบางอย่าง การเลือกผู้พิทักษ์ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน
ซ่งจวินหว่านหัวเราะเบาๆ ไม่ได้อธิบายมากนัก ความจริงแล้วก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดการณ์เอาไว้ เซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านคือตัวเลือกของบุตรโลหิตที่บุรพาจารย์กำหนดไว้แล้ว แน่นอนว่าย่อมมีการจำกัดวิธีการ ไม่มีทางปล่อยให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น และวิธีการที่ว่านี้ก็คือป้ายคำสั่งพิเศษที่หลอมรวมอยู่ในร่างของพวกนาง
มีเพียงผู้ที่มีป้ายคำสั่งเท่านั้นถึงจะเข้าไปในห้องหัวใจได้ คนที่ไม่มีก็ไม่มีทางเข้าไปได้เด็ดขาด
ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันกรอด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด เขาไม่เคยคิดจะไปช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตอะไรนั่น เพราะยังไงซะเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แท้จริงของสำนักธาราโลหิตอยู่แล้ว
เป้าหมายของเขาก็คือถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องให้ซ่งจวินหว่านได้กลายเป็นบุตรโลหิต แบบนี้ตนถึงจะไต่ขึ้นไปเป็นผู้อาวุโสใหญ่ได้ แล้วทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ
เพื่อให้ได้ตามที่ปรารถนา ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องมาอยู่ในสำนักธาราโลหิตหลายปี และในที่สุดยามนี้เขาก็เดินมาถึงก้าวนี้ ก้าวที่ทุกอย่าง…วางอยู่ตรงหน้าแล้ว!
“พรุ่งนี้เช้าตรู่ หน้าตำหนักบุตรโลหิต ข้าจะไปที่นั่น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าพูดเสียงหนัก
ซ่งจวินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน ประกายสดใสในดวงตายิ่งมีมาก ปิดปากหัวเราะหนึ่งครั้งแล้วก้าวออกมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน โน้มตัวลงไปช้าๆ กระซิบแผ่วเบาพร้อมปล่อยลมร้อนออกมาจากริมฝีปากอยู่ข้างใบหูของเขา
“หากเจ้าได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ ถ้าเช่นนั้น…เรื่องราวมากมายระหว่างพวกเรา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย…”
พูดจบใบหน้าซ่งจวินหว่านพลันเห่อร้อน นางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงพูดอะไรแบบนี้ พูดจบก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาลึกล้ำอีกหนึ่งครั้งแล้วจึงลอยจากไป
——
[1] อวัยวะตัน 5 ได้แก่ม้าม ปอด ไต ตับ หัวใจ และอวัยวะกลวง 6 ได้แก่กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ซันเจียว กระเพาะปัสสาวะ ถุงน้ำดี