Skip to content

A Will Eternal 246

บทที่ 246 ด่านที่สอง

นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยเลี่ยได้เป็นผู้พิทักษ์ในการประลองบุตรโลหิต ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีประสบการณ์พวกนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าในโลกของคนอื่นที่ต่างคนต่างได้รับการยอมรับจะเกิดเหตุการณ์แบบใด

แต่เขามีความรู้สึกว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเห็นและประสบมา ไม่มีทาง…เหมือนกับคนอื่นแน่นอน เขายังถึงขั้นมีลางสังหรณ์รุนแรงด้วยว่าบางที…ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การประลองบุตรโลหิตตลอดทั้งในสำนักธาราโลหิตก็ยังไม่เคยมีใครเป็นเหมือนเย่จั้งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้ของตัวเองถูกต้องหรือไม่ แต่วินาทีนี้ เมื่อเขามองเห็นโลกทั้งใบสั่นสะเทือน สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนคุกเข่าคำนับ เขาก็คุกเข่าลงคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนยอดเขาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่บนยอดเขา เวลานี้เขารู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก ราวกับว่าแค่หนึ่งความคิดของตนก็สามารถดับทำลายโลกใบนี้ได้…

และวิชาอมตะมิวางวายของเขา บัดนี้ก็กำลังโคจรอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความพร่าเลือน เขาคล้ายกับได้ยินเสียงเสียงหนึ่งกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหูของตัวเอง

“มา…มา…มา…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนฟื้นคืนสติในฉับพลัน ดวงตาทั้งคู่ฉายแสงคมกล้า หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก มือขวายกขึ้นมาจากบนป้ายศิลา สรรพสิ่งตลอดทั้งโลกล้วนปล่อยแสงสีเลือดจัดจ้า แสงสีเลือดนี้พุ่งเข้ามารวมกันที่ตัวเขา ทำให้รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นสีแดงฉาน

แสงสีชาดนี้ก่อร่างขึ้นเป็นประตูบานหนึ่งซึ่งค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

มองประตูบานนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไปครู่ใหญ่ เขารู้ว่านี่คือประตูที่นำไปสู่ด่านที่สอง ยามนี้หลังจากก้มหน้าลงมองโลกทั้งใบแล้วเขาก็ยกขาขึ้น เหยียบย่างเข้าไปในประตู ร่างหายวับไปพร้อมกับประตูและแสงสีเลือดรอบด้าน

ไม่รู้ว่าตำแหน่งใดในร่างของบรรพบุรุษโลหิตกันแน่ ที่นี่มีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่แห่งหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองออกไป พื้นที่แห่งนี้เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นปลายทาง เห็นแค่เพียงว่าเบื้องล่างมีเสารูปกรวยตั้งตระหง่านมากมายหลายต้น

เสาเหล่านี้มองดูเหมือนแท่นเวทีมากมายที่ตั้งอยู่เต็มพื้นที่ว่างเปล่ารกร้าง รอบด้านก็ยิ่งเงียบสงัด

ในบรรดาแท่นเวทีนับไม่ถ้วน มีสองแท่นที่พื้นที่กว้างขวางมากที่สุด ขนาดใหญ่หลายหมื่นจั้ง ตั้งห่างกันไม่ไกลนัก เซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านนั่งขัดสมาธิแยกกันคนละแท่น ต่างฝ่ายต่างกำลังคุมเชิงกันจากที่ไกลๆ

พวกนางสองคนมาถึงที่นี่ยังไม่ได้หนึ่งชั่วยาม ซึ่งต่างไปจากผู้พิทักษ์เหล่านั้น พวกนางมีป้ายคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากบรรพบุรุษโลหิตก็สามารถมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้โดยตรง รอให้ผู้พิทักษ์ของพวกนางมาถึง

เวลาในโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุดไม่เหมือนกับที่นี่ เวลาหนึ่งชั่วยามของที่นี่ เท่ากับหนึ่งเดือนของโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุด

ตามการตัดสินของพวกนาง อย่างน้อยยังต้องรอไปอีกหลายชั่วยามถึงจะมีผู้พิทักษ์เดินออกมาจากโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุด ส่วนด่านที่สองของการประลองบุตรโลหิต พวกนางทั้งสองคนจำเป็นต้องเอาป้ายคำสั่งออกมาพร้อมกันถึงจะเริ่มได้ ใครก็ไม่ต้องการเริ่มก่อน ต่างก็ต้องการรอให้ผู้พิทักษ์ของตนมาถึงก่อนค่อยเปิดออก

“ซ่งจวินหว่าน เจ้าอายุมากขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังต้องช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตกับข้า ตระกูลซ่งของเจ้าไม่มีคนอื่นแล้วหรือไร ถึงได้ให้หญิงแก่อายุมากอย่างเจ้าลงมือเอง” เซวี่ยเหมยหัวเราะหยันเสียงเย็น หลังจากที่พวกนางสองคนมาถึงที่นี่ก็คอยเหน็บแนมกันอยู่ตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างขัดตากันและกัน เวลานี้เซวี่ยเหมยเป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน

ซ่งจวินหว่านคิ้วกระตุก กำลังจะตอกกลับ พลันหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้าขึ้นมองด้านบน เซวี่ยเหมยที่อยู่ไม่ไกลเวลานี้ก็ดวงตาหดตัว รีบเงยหน้าขึ้นมอง

เห็นเพียงแต่ว่าความว่างเปล่าเบื้องบนคนทั้งสองมีเสียงดังครั่นครืนลอยมา และประตูใหญ่บานหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

“มีคนคว้าปณิธานของโลกมาได้เร็วขนาดนี้เชียวรึ? นี่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดีเลย สำหรับโลกโลหิตไร้ที่สุดสิ้นแล้วแปลว่ายังไม่ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ!” ดวงตาทั้งคู่ของเซวี่ยเหมยหดตัว ร้องอุทานอยู่ในใจ นางเข้าใจการประลองบุตรโลหิตเป็นอย่างดี ว่ากันว่าปีนั้นผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่เร็วที่สุดก็ยังใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง ซึ่งก็คือหนึ่งเดือนครึ่งถึงจะเดินออกจากด่านที่หนึ่งมาได้

“คนผู้นี้คือใคร…นั่นมันโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุดเชียวนะ ไม่เพียงแต่ต้องต่อกรกับผู้พิทักษ์ ทั้งยังมีสัตว์โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน คิดจะได้รับการยอมรับจากปณิธานของโลก จำเป็นต้องผ่านการต่อสู้อย่างยากลำบาก ทว่าคนผู้นี้กลับเร็วได้ถึงเพียงนี้!” ซ่งจวินหว่านเองก็สะท้านสะเทือนอยู่ในใจ ตกตะลึงอย่างมาก บุคคลเช่นนี้หากเป็นคนทางฝั่งนางยังถือว่าดีไป แต่หากเป็นผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมย นั่นถือเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับการช่วงชิงตำแหน่งบุตรโลหิตของนาง

ทว่าพอซ่งจวินหว่านย้อนนึกถึงผู้พิทักษ์ของตัวเอง ใบหน้าของคนเหล่านั้นลอยขึ้นมาในสมองของนางทีละคน นางรู้สึกว่าไม่ว่าคนใดก็ไม่มีทางทำได้ถึงจุดนี้ ใบหน้าจึงมืดคล้ำลงทันที

ผู้ที่มีสีหน้ามืดมนยังมีเซวี่ยเหมยอีกคน หลังจากที่นางนึกถึงผู้พิทักษ์ของตนก็เกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาเช่นกัน บัดนี้สายตาเย็นเยียบจ้องเขม็งไปยังประตูใหญ่มายาที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันพร้อมกับซ่งจวินหว่าน

ไม่นานในประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เผยร่างพร่ามัวร่างหนึ่ง ร่างนี้เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจก็เผยตัวตนอย่างชัดเจนต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยอุทานเสียงหลงพร้อมเพรียงกัน

“เย่จั้ง!!”

จิตสังหารในดวงตาของเซวี่ยเหมยโชนแสง ในใจตื่นตะลึง ลมหายใจถี่กระชั้นน้อยๆ นางจินตนาการไม่ออกเลยว่าเย่จั้งทำได้อย่างไรกันแน่ถึงได้รับปณิธานจากโลกในเวลารวดเร็วถึงเพียงนี้

หลังจากร้องอุทานด้วยความตกใจ ซ่งจวินหว่านก็ปิติยินดีขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาคู่งามเปล่งประกายระยิบระยับ มองนิ่งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน

ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างเข้าไปในประตูใหญ่ เบื้องหน้าของเขาพร่ามัว ยามนี้เมื่อทุกอย่างชัดเจนขึ้นจึงมองเห็นแท่นเวทีจำนวนนับไม่ถ้วนของพื้นที่แห่งนี้ทันที และก็มองเห็นเซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านด้วย

“ศิษย์น้องเย่จั้งมาหาข้า” ซ่งจวินหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ในใจทั้งตะลึงและดีใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด

เซวี่ยเหมยแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง กำหมัดแน่น

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ก้าวเดินไปทางซ่งจวินหว่าน ไม่นานก็มาอยู่บนแท่นเวทีเดียวกับนาง เดินไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลังซ่งจวินหว่าน

“เอ่อ…ข้าเป็นคนแรกหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนถามขึ้นมาด้วยความใคร่รู้

“ต้องเป็นคนแรกอยู่แล้ว เจ้าทำได้อย่างไร? คู่ต่อสู้ของเจ้าคือใคร?” ซ่งจวินหว่านยิ้มหวาดหยดย้อย รอยยิ้มนี้เมื่อปรากฏขึ้นในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจของเขาก็ร่ำร้องติดๆ กันว่านางมารร้าย ทว่าสีหน้ากลับไม่เผยความรู้สึกใดๆ เชิดคางขึ้น เอามือทั้งคู่ไพล่หลัง ใบหน้าเย็นชา ปราณดุร้ายแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา

“ง่ายมาก แค่เดินผ่านมาเฉยๆ เท่านั้น ส่วนคู่ต่อสู้ ข้าไม่ได้ถามนามของเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากราบเรียบด้วยท่าทางล้ำลึก สิ่งที่เผยออกมาทางถ้อยคำของเขาคือความโดดเดี่ยวอย่างหาที่สุดมิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวนี้สามารถทำให้ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยคิดไปไกลสุดกู่ พวกนางคล้ายจะจินตนาการออกมาว่าเมื่อเย่จั้งเข้าไปในโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุดแล้วก็ก่อกระบี่โลหิตขึ้นมา เข่นฆ่าสังหารไปตลอดทาง…

สังหารสัตว์โลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน มองเมินทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือบมองใต้หล้าด้วยความหยิ่งทะนง ประหัตประหารจนกระทั่งปณิธานแห่งโลกยอมรับ

ดวงตาทั้งคู่ของซ่งจวินหว่านยิ่งเปล่งประกายสดใส แม้แต่เซวี่ยเหมยเองก็ยังมองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายที เพียงแต่ว่าไม่นานหญิงสาวทั้งสองก็พบว่าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ สีหน้าจึงกระตุกน้อยๆ อย่างอดไม่อยู่ ในใจยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล

ซ่งจวินหว่านกำลังจะเอ่ยปากถาม ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง เอ่ยปากเนิบนาบ

“ข้าเหนื่อยแล้ว หากเริ่มด่านที่สองเมื่อไหร่ก็บอกข้า” ระหว่างที่พูดเขาก็เดินไปหยุดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ถือตัวโดดเดี่ยวราวต้นสนสูงตระหง่าน นั่งลงทำสมาธิ ปิดตาลง ใบหน้าเด็ดเดี่ยวที่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา บวกกับปราณดุดันบนร่างเขาทำให้คำพูดของซ่งจวินหว่านถูกกลืนกลับลงไปในคอ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังนั่งสมาธิ เวลานี้ในใจยิ้มร่าราวดอกไม้ผลิบานอยู่นานแล้ว ลำพองใจอย่างถึงที่สุด เขากำลังคิดว่าตอนนี้ตนต้องดูโดดเด่นเป็นพิเศษอย่างแน่นอน

“ไม่ได้ ข้าต้องเพิ่มท่าทางให้มากอีกหน่อยถึงจะยิ่งดูสมจริง” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าที่เย็นชาก็เชิดขึ้นน้อยๆ ราวกับกำลังทอดสายตามองออกไปไกล และนัยน์ตาก็ค่อยๆ มีความโศกอาดูรเพิ่มขึ้นมา

พอเป็นอย่างนี้ ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยต่างก็ใจสั่น ยิ่งมองเขาไม่ออก

เวลาผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ความว่างเปล่าด้านบนมีประตูบานใหญ่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ที่แฝงไว้ด้วยปราณดุร้ายรุนแรงเดินหอบฮักๆ ออกมา หลังจากที่เซวี่ยเหมยมองเห็นคนผู้นี้ดวงตาก็เผยความปลื้มปิติทันที ชายฉกรรจ์ผู้นี้คารวะเซวี่ยเหมย เดินมายังแท่นเวทีที่นางอยู่ ตอนที่นั่งลงทำสมาธิ สายตากวาดไปเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบร้องตกตะลึงอยู่ในใจ

เดิมเขานึกว่าตัวเองเป็นคนแรกที่เดินออกมา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเย่จั้งผู้นี้จะเร็วยิ่งกว่าตนเสียอีก

จากการที่เวลาในแต่ละชั่วยามผ่านพ้นไป ผู้พิทักษ์ทยอยเดินกันออกมา ซ่งเชวียก็เป็นหนึ่งในนั้น สีหน้าของเขาเหนื่อยล้า มีอาการบาดเจ็บอยู่ภายใน เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลากว่าที่เขาจะได้รับการยอมรับจากโลกนั้นยากลำบากอย่างถึงที่สุด

จนกระทั่งผ่านไปห้าชั่วยาม หลังจากที่ผู้พิทักษ์คนสุดท้ายปรากฏตัวขึ้น ด่านแรกนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง

ผู้พิทักษ์ที่ซ่งหว่านและเซวี่ยเหมยพามาต่างก็ผ่านการเฟ้นหาอย่างพิถีพิถัน ทุกคนล้วนมีลักษณะพิเศษที่ไม่ธรรมดา ครั้งนี้กำลังสูสีกัน ต่างฝ่ายต่างก็มีคนทำสำเร็จสิบคน

คนทั้งสองมองสบตากัน สาดแววเย็นเยียบใส่กันไปมา เนิ่นนานถึงได้ต่างคนต่างแค่นเสียงเย็น หันกลับไปอธิบายจุดสำคัญในด่านที่สองให้กับผู้พิทักษ์ข้างกายตนเอง

“ด่านแรกของการประลองบุตรโลหิต ผู้ที่ได้รับการยอมรับถึงจะผ่านด่านมาได้ นี่คือการช่วงชิงกันระหว่างผู้พิทักษ์อย่างพวกเจ้า ข้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ ด่านที่สองที่กำลังจะเริ่มนี้ยิ่งโหดร้ายมากกว่าเดิม ข้าเองก็จะเข้าร่วมด้วย!”

“ด่านที่สองมีชื่อว่าทะเลทรายร้างสีเลือด เส้นทางสายนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด ทุกๆ เจ็ดชั่วยามจะปรากฏพายุที่ดับทำลายทุกสิ่งหนึ่งครั้ง เมื่อใดที่ปรากฏขึ้น ทุกชีวิตที่อยู่บนทะเลทรายสีเลือดจะดับสูญ กลายเป็นซากกระดูก”

“และที่นี่ก็คือเส้นทางเดียวที่ทอดยาวไปสู่ห้องหัวใจ ดังนั้นพวกเราจึงมีเวลาแค่เจ็ดชั่วยามเท่านั้น และวิธีการเดียวที่จะผ่านทะเลทรายร้างสีเลือดไปได้ก็คือกุญแจ!” นัยน์ตาซ่งจวินหว่านฉายแสงคมกล้า มองไปยังทุกคน เอ่ยปากเนิบช้า เซวี่ยเหมยที่อยู่ไม่ห่างออกไปก็กำลังพูดกับผู้พิทักษ์เหล่านั้นด้วยคำพูดทำนองเดียวกัน

“ทุกชั่วยาม ไม่ว่าจะทิศทางใดก็ตามในทะเลทรายแห่งนี้จะมีกุญแจหนึ่งดอกปรากฏขึ้น ผู้ที่ได้กุญแจไปครอง หากสามารถรักษาไว้ได้จนถึงท้ายที่สุด เมื่อเวลาเจ็ดชั่วยามสิ้นสุดลง ก็จะถูกส่งให้เข้าไปยังเส้นทางดึกดำบรรพ์สีเลือด และเส้นทางดึกดำบรรพ์แห่งนี้จะพุ่งตรงไปสู่ห้องหัวใจ…ข้าและเซวี่ยเหมยไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ สามารถผ่านไปได้โดยตรง”

“กุญแจมีทั้งหมดเจ็ดดอก หมายความว่าสุดท้ายผู้พิทักษ์ที่จะได้เข้าไปยังเส้นทางดึกดำบรรพ์พร้อมข้าและเซวี่ยเหมยจะมีมากสุดเพียงแค่เจ็ดคนเท่านั้น!” ซ่งจวินหว่านพูดเนิบช้า จากการแนะนำของนาง ความโหดร้ายทารุณในทะเลทรายร้างสีเลือดก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ นอกจากซ่งเชวียแล้ว ทุกคนที่เหลือต่างก็หน้าถอดสี นักพรตวัยกลางคนหนึ่งในนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามเสียงเบา

“แล้วคนที่ไม่ได้ครอบครองกุญแจล่ะ?”

ซ่งจวินหว่านมองนักพรตวัยกลางคนผู้นั้นหนึ่งครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“เพราะนี่คือการต่อสู้แบบหมู่คณะ และฝ่ายที่ได้รับกุญแจมากที่สุด ลูกศิษย์เหล่านั้นที่ไม่ได้ครอบครองกุญแจ ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกส่งเข้าไปยังเส้นทางดึกดำบรรพ์สีเลือด แต่ก็จะไม่มีทางถูกกำจัด เพียงแค่ถูกคัดออกเท่านั้น

แต่…ฝ่ายที่ได้กุญแจน้อย คนที่ล้มเหลว จะถูกกำจัดหลังผ่านเจ็ดชั่วยาม! นี่คือกฎ บุรพาจารย์ก็ช่วยไม่ได้!”

“ดังนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่พวกเจ้าจะเข่นฆ่ากันเอง นอกเสียจากว่ากุญแจอยู่ในมือผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมย พวกเจ้าสามารถแย่งชิงมาได้ตามใจชอบ แต่หากคนกันเองได้ครอบครอง ห้ามเข่นฆ่ากันเด็ดขาด!

เพราะหากฆ่าแกงกันเอง สุดท้ายไม่เพียงข้าเท่านั้นที่ล้มเหลว พวกเจ้าเองก็ต้องตายอยู่ที่นี่…”

“ทุกท่าน พวกเจ้าถ้าไม่ใช่คนตระกูลซ่งของข้า ก็เป็นคนที่ข้าให้คำมั่นสัญญา หากข้าได้กลายเป็นบุตรโลหิต อนาคตของทุกท่านจะไร้ขีดจำกัด เรื่องที่รับปากพวกเจ้าไว้ ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน หากข้าล้มเหลว เซวี่ยเหมยทำสำเร็จ ทุกท่านก็จะต้องร่วงลงเหวไปพร้อมกับข้า!” ซ่งจวินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ลุกขึ้นยืนประสานมือก้มตัวต่ำไปทางพวกป๋ายเสี่ยวฉุน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version