บทที่ 251 แผนการของข้า
การประลองบุตรโลหิตครั้งนี้ เพราะการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน เหตุการณ์จึงอลหม่านอย่างสมบูรณ์แบบ…
ตอนในโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุด มีเพียงเจี่ยเลี่ยคนเดียวที่เผชิญกับสภาวะไร้ความปราณี…แต่ตอนนี้ในทะเลทรายร้างสีเลือด ต่อให้เป็นซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยเองก็ยังพากันผวาพรั่นพรึง
ความบ้าคลั่งของทุกคน ล้วนมาจากป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว…
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ ในใจเขาร้อนรน ทว่าวิชาอมตะมิวางวายกลับโคจรต่อเนื่อง พลังแต่ละเส้นในกล้ามเนื้อกำลังเพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่ง ผีร้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน…เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตน!
พลังของผีร้ายแปดตนทำให้ตลอดร่างของเขาส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ พลังอำนาจแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกซ่งเชวียกัดฟัน เตรียมพร้อมเข้าร่วมกลุ่มกับคนที่ไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุน!
เมื่อเห็นว่าพวกซ่งเชวียก็จะไล่ฆ่าตนกับเขาด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งร้อนใจ สมองหมุนเร็วจี๋หาวิธีแก้ไข จากนั้นเขาก็คำรามเสียงดังกระหึ่ม
“ซ่งเชวีย พวกเจ้ายังไม่รีบไปแย่งกุญแจดอกแรกจากคนที่ได้มันไปครองอีก พวกเจ้าไปแย่งคนผู้นั้น ดอกอื่นๆ ข้าจะกลืนลงไปให้หมดเอง ทำให้ครั้งนี้พวกของเซวี่ยเหมยจะไม่มีใครได้เข้าไปในเส้นทางดึกดำบรรพ์สีเลือดแม้แต่คนเดียว!”
“วิธีนี้ของพวกเราเรียกว่าแบ่งทัพออกเป็นสองทาง พวกเจ้าไปแย่งมาซะ พวกเขากังวลต้องคิดสกัดขวางแน่นอน ส่วนข้าก็จะกลืนกุญแจต่อไป หากพวกเราแย่งมาได้ ข้าก็จะกลืนเข้าไปให้หมด หากแย่งเอามาไม่ได้ สองดอกสุดท้ายที่ข้าเหลือเอาไว้ก็สามารถทำให้พวกเขาพ่ายแพ้และถูกกำจัดไปได้อยู่ดี!”
“นี่ก็คือแผนการของข้า ฮ่าๆ แบบนี้พวกเราก็จะไม่มีทางแพ้เด็ดขาด!” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล
พวกซ่งเชวียตัวสั่นเยือก พวกเขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อครู่ก็แค่จิตใจวุ่นวายเพราะการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้น เวลานี้พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ดวงตาของทุกคนจึงเปล่งแสงวาบ
ทว่าพวกผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยกลับพากันหน้าถอดสี โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่ได้กุญแจดอกแรกไปครองที่ยิ่งหน้าขาวซีดทันทีทันใด
“เย่จั้ง เจ้ารนหาที่ตาย!” บนท้องฟ้า เซวี่ยเหมยที่กำลังประลองเวทคาถากับซ่งจวินหว่านลมหายใจถี่กระชั้น กรีดร้องเสียงแหลม ส่วนซ่งจวินหว่านก็ไม่เงียบงันอีกต่อไป แต่เปล่งเสียงหัวเราะยั่วเย้า
“ทำตามที่เย่จั้งบอก!” รอยยิ้มของซ่งจวินหว่านเบิกบานราวดอกไม้ผลิ ทว่ากลับลงมือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม ทำให้เซวี่ยเหมยถอยหลังกรูดติดต่อกัน มิอาจเข้าไปสกัดกั้นได้ ถึงขนาดที่ว่ายามนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขสถานการณ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก่อขึ้นมาอย่างไร
ขณะที่กำลังร้อนใจ พวกซ่งเชวียพากันกัดฟัน เลิกไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ตรงดิ่งเข้าหาผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยที่ได้กุญแจดอกแรกไปครอง เมื่อเป็นเช่นนี้พวกพิทักษ์ของเซวี่ยเหมยที่ไล่ฆ่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำต้องเข้าไปขัดขวาง เวลาชั่วพริบตาเดียว สถานที่แห่งนี้จึงเกิดการสู้รบอลหม่านขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงโครมครามดังสะท้อน วิชาอภินิหารดารดาษ เวทคาถากลาดเกลื่อนสะเทือนไปทั่วนภา
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายใจลงได้ในที่สุด
“ยังดีที่ข้าหัวไว ไม่อย่างนั้นล่ะก็คราวนี้ล่ะอันตรายจริงๆ แน่…ที่นี่หากไม่ใช่คนที่ตบะสูงกว่าข้า ก็มีของวิเศษล้ำค่า แถมยังมีผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนตัวไม่เปิดเผย พอเฮโลกันเข้ามาแบบนี้ ข้าจะไปสู้ได้ยังไงเล่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอยร่นออกไป ทว่าวินาทีที่เขาถอยหลังนั้นเอง ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหดตัว รอบด้านไม่มีใคร แต่เขากลับร่ายวิชาชนาเขย่าภูเขาออกมาอย่างไม่ลังเล รวบรวมพลังทั้งร่างเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า ระเบิดพลังทุกด้านออกหมด แล้วพุ่งถลาไปข้างหน้าทันที
วินาทีที่อาศัยพลังและความเร็วจากวิชาชนาเขย่าภูเขาพุ่งพรวดออกไป จุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้พลันมีนิ้วมือสีเลือดข้างหนึ่งยื่นออกมา แม้ว่าจะตกลงบนความว่างเปล่า แต่กลับปล่อยปราณกระบี่ยาวหลายสิบจั้ง คำรามผ่านไป
มีเสียงเอ๊ะดังขึ้นเบาๆ ในความว่างเปล่าด้านข้าง ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา
ผู้เฒ่าคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วง บนใบหน้ามีกระอยู่เล็กน้อย พอหมุนตัวได้ก็หันมามองทางป๋ายเสี่ยวฉุน
เหงื่อบนหน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนไหลแหมะ เมื่อครู่นี้ความรู้สึกถึงวิกฤตความเป็นความตายของเขารุนแรงถึงขีดสุด เวลานี้พอมองไปยังจุดที่นิ้วมือของผู้เฒ่ายื่นออกมา หากตนไม่ได้หลบ ก็คงโดนเข้าที่หว่างคิ้วของตนจังๆ
“เซียวชิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาแฝงแววระแวงภัย ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือหนึ่งในสามคนที่ซ่งจวินหว่านพูดถึง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้พิทักษ์ครั้งนี้ซึ่งสามารถฝ่าทะลุจากขั้นสร้างฐานรากได้ตลอดเวลา!
“ข้าผู้อาวุโสปิดด่านหลายปี ช่วงนี้พอออกจากด่านก็ได้ยินข่าวคราวไม่น้อยที่เกี่ยวกับเจ้า” เซียวชิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยปากเนิบช้า แม้ว่าเขาจะเป็นนักพรตสร้างฐานราก ทว่ากลับมีฐานะที่แตกต่างออกไป หากรวมโอสถเมื่อไหร่ก็คือผู้อาวุโสไท่ซ่าง เวลานี้หลังจากกวาดสายตาผ่านร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตื่นตัว เขารู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายราวกับกระบี่แหลมคมเล่มหนึ่ง
“มหาสมุทรวิญญาณในกายของคนผู้นี้น่าจะขาดอีกแค่เส้นเดียวก็สามารถตกผลึกได้อย่างสมบูรณ์แบบ…หากข้าสามารถร่ายวิชาทั้งหมดที่มีได้ บางทีอาจยังพอกล้อมแกล้มรับมือไหว แต่ตอนนี้…ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไร้ซึ่งความลังเลใด ถอยหลังกรูดได้ก็โกยแนบไปไกล
“ศิษย์น้องเย่จั้ง จะรีบร้อนหนีไปไหนเล่า” เซียวชิงยิ้มน้อยๆ เดินออกไปก้าวหนึ่ง ความเร็วนั้นสูสีกับป๋ายเสี่ยวฉุน สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ปราณกระบี่สีเลือดพลังอำนาจสะท้านฟ้าเส้นหนึ่งพลันปรากฏแล้วตวัดฉับลงไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า ข้าไม่หนี แล้วจะรออยู่ที่นี่ให้เจ้ามาฆ่าหรือไร? เจ้านี่คงฝึกบำเพ็ญตบะจนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมัง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความแปลกใจ สะบัดร่างหนึ่งครั้งหลบปราณกระบี่นั่นไปได้ บินทะยานเร็วจี๋
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวชิงแข็งค้าง เขาประชันเวทคาถากับคนมาทั้งชีวิต เวลาที่พูดเช่นนั้นยังไม่เคยมีใครตอบรับแบบนี้มาก่อน ยามนี้สีหน้าจึงมืดคล้ำลง ฮึดฮัดเสียงเย็นหนึ่งที
“ปากคอเราะร้ายนักนะ รอให้ข้าผู้อาวุโสจับตัวเจ้าได้เมื่อไหร่ จะฉีกลิ้นของเจ้า ดูสิว่าเจ้าจะยังปากดีได้อีกไหม!” เซียวชิงหัวเราะเสียงเย็น ขณะที่ก้าวยาวๆ ไล่ตามไป มือขวาก็ทำมุทราแล้วชี้ ปราณเลือดหนึ่งเส้นรวมตัวกันห้อทะยานเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“ตาแก่นี่คงฝึกบำเพ็ญตบะจนสมองเลอะเลือนจริงๆ ไม่มีลิ้น ปากพูดไม่ได้ ก็ยังอ่านทางจิตได้เหอะ” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนรน แอบคำนวณเวลาอยู่กับตัวเอง บินโผผินรวดเร็ว
คนสองคน คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง ไล่กวดกันอย่างต่อเนื่องบนทะเลทรายร้างสีเลือดแห่งนี้ ระหว่างทางเซียวชิงลงมือหลายครั้ง แถมยังมีไม่น้อยที่เวทคาถาของเขาตกกระทบลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าความแข็งแกร่งในการป้องกันของกล้ามเนื้อป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เซียวชิงยิ่งตื่นตะลึง
ด้วยพลังการต่อสู้ของเขาในทุกวันนี้ มากพอที่จะกวาดทำลายนักพรตสร้างฐานรากได้ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนนั่น ไม่เพียงแต่ความเร็วรวดเร็วเป็นพิเศษ แถมหนังยังหนา ยิ่งไล่โจมตี ความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้น ราวกับว่าพลังวิญญาณในร่างทอดยาวออกไปไม่จบไม่สิ้น ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ
“สร้างฐานรากวิถีมนุษย์ช่วงกลาง เหตุใดถึงมีพลังขนาดนี้!” ดวงตาของเซียวชิงเปล่งวาบ บนทะเลทรายร้างสีเลือดครั้งนี้ พลังรบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมาทำให้คนไม่น้อยตะลึงลาน ทว่าที่ยิ่งทำให้ทุกคนแปลกใจก็คือกุญแจโลหิตพวกนั้นที่ราวกับเคลื่อนไหวเพื่อเขา
หากเป็นแค่ความสงสัยเดียว ยังสามารถนำมาคิดปะติดปะต่อกัน หาทิศทางสืบค้นลงลึกต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าจะหาคำตอบได้ แต่หากจุดที่น่าสงสัยมีมาก ถ้าเช่นนั้นเมื่อคิดเชื่อมโยงจากทิศทางที่แตกต่างกัน จึงง่ายที่จะคิดผิดทาง
เซียวชิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุนต่อไป ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ำร้องทุกข์ระทมอยู่กับตัวเอง ในใจโกรธแค้น เซียวชิงที่อยู่ด้านหลังเขาราวกับไขกระดูกที่แทรกซึมอยู่ในร่างอย่างไรอย่างนั้น พัวพันไม่เลิกรา ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะทิ้งระยะห่างแค่ไหน ไม่นานเขาก็ต้องตามมาทัน เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจฮักๆ หากไม่เพราะกำลังของกล้ามเนื้อและสร้างฐานรากวิถีฟ้า เกรงว่าคงค้ำประคองความเร็วเต็มพิกัดแบบนี้ไม่ไหวไปนานแล้ว
“รอให้กล้ามเนื้อข้าฝ่าทะลุขั้นสำเร็จเมื่อไหร่ ข้าจะต้องให้ตาแก่นี่รู้ถึงความร้ายกาจของข้าให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ในใจเขารอคอยให้ชั่วยามที่ห้ามาถึงเสียที ตอนนี้พลังผีร้ายแปดตนในร่างกายของเขากำลังรวมตัวกัน ทว่าเขายังรู้สึกไม่พอ หากได้กลืนกุญแจลงไปอีกดอก ทำให้พลังของผีร้ายแข็งแกร่งอีกหน่อย ถึงจะมั่นคงที่สุด
เวลาผันผ่าน ชั่วยามที่สี่ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า ชั่วยามที่ห้าค่อยๆ มาเยือน วินาทีที่มันมาถึง แสงสีเลือดจุดหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน ห่างจากหว่างคิ้วของเขาไม่ถึงสามชุ่น
แค่เขาพุ่งไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จุดสีแดงนี้ก็สัมผัสเข้ากับหว่างคิ้วของเขาทันใด ชั่วพริบตาเดียวก็หลอมรวมเข้าไปในร่าง หลังจากลำแสงสีเลือดเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นกลางอากาศรอบกายเขาก็ดับแสงลงอย่างรวดเร็ว เวลาเดียวกันนั้น เนื้อคงกระพันบทที่สองในร่างของเขายิ่งโคจรเร็วกว่าเดิม
เสียงตูมๆๆ ระเบิดอยู่ในกายของเขา ผีร้ายตนที่เก้ากำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งคู่ของเซียวชิงที่ไล่กวดมาเบื้องหลังหดเล็กลง เขาสัมผัสได้ถึงพละกำลังบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังไต่ทะยานขึ้นสูง
“ความแปลกประหลาดบนร่างเขามีไม่น้อย ตอนนี้เขาดูดเอากุญแจไปอีกดอกหนึ่งแล้ว น่าจะมีความมั่นใจที่จะสู้กับข้าแล้วกระมัง” เซียวชิงตรงเข้าประชิดโดยไม่รั้งรอ ทว่าชั่วขณะที่เขาเข้ามาใกล้นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหันขวับกลับมามองจ้องเขา สายตานี้เปี่ยมไปด้วยเจตจำนงในการรบ พลังกล้ามเนื้อระเบิดออกมาทุกด้าน
“ตาแก่เซียวชิง เจ้ากล้ามาสู้กับข้าเย่จั้งหรือไม่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อข้างขวาหนึ่งครั้ง ยกนิ้วชี้หน้าเซียวชิงที่ห่างออกไปไกลราวกับส่งสารท้ารบ!
“ในที่สุดเจ้าก็มีความมั่นใจที่จะประมือกับข้าแล้วรึ? ดี ข้าผู้อาวุโสนี้จะมอบโอกาสนี้ให้เจ้า!” เซียวชิงชะงักฝีเท้า ตบะในร่างแผ่กระจายออกมาไม่ต่างกัน
“เซียวชิง ข้ามาแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง ใช้สายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานในการรบเผชิญหน้ากับเซียวชิง ทว่าร่างของเขากลับถอยหลังกรูดว่องไว ยืมใช้พลังกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งขึ้น ระเบิดความเร็วที่มากกว่าก่อนหน้านี้อีกหลายเท่า
เซียวชิงตะลึง มองเห็นคาตาว่าทั้งๆ ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาลพร้อมรบ แต่ร่างกลับยิ่งถอยห่างออกไปไกล หลังจากที่เขาอึ้งอยู่ชั่วครู่ก็เปล่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวออกมา
“ไร้ยางอาย!” ระหว่างที่พูด ไฟโทสะในดวงตาของเขาลุกโหม เผ่นโผนออกไป ทว่าเวลาที่ถูกถ่วงก่อนหน้านั้น ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งระยะห่างออกไปไกลอีกครั้ง เวลานี้เห็นว่าเซียวชิงไล่ตามมา ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถอยร่นอีกต่อไป แต่รีบหมุนตัวกลับ ห้อตะบึงหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าก็อยากจะสู้เหมือนกันนะ แต่สู้ไม่ได้นี่นา รออีกหน่อย รอให้ถึงชั่วยามที่หกเมื่อไหร่ พอผีร้ายตัวที่เก้าของข้าสมบูรณ์แบบ ค่อยจัดการตาแก่นี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกสักนิดว่าการกระทำของตัวเองเมื่อครู่นี้ไร้ยางอาย กลับกันคือรู้สึกว่านี่คือชัยชนะทางกลยุทธ์ในการรบ