Skip to content

A Will Eternal 264

บทที่ 264 อุบัติเหตุที่ล่าช้า…

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่หนึ่ง เดินขึ้นหน้าไปหยิบใบไม้สีทองขึ้นมา หลังจากดูอย่างละเอียด ใบไม้นี้นอกจากสีของมันแล้ว ลักษณะอย่างอื่นก็ล้วนปกติอย่างมาก มองไม่ออกถึงเส้นสนกลในใด

ส่วนกระดองเต่าก็ยิ่งนิ่งสนิท แม้จะเต็มไปด้วยความรู้สึกถึงกาลเวลาอันยาวนาน แต่กลับไม่มีจุดใดที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกถึงความเป็นวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญอย่างที่คาดคิดเอาไว้แม้แต่นิด

“วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มคลุ้มคลั่ง เขาหาไปรอบด้านอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าหาอยู่พักใหญ่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม นอกจากกระดองเต่าและใบไม้สีทองแล้วก็ไม่มีวัตถุอื่นๆ อีก

เขายังถึงขนาดลองกัดใบไม้สีทองนั่นดูด้วย แต่กัดจนฟันแทบจะแตกแล้วก็ยังกัดใบไม้นั่นไม่ขาด เห็นได้ชัดว่าวัตถุชิ้นนี้ไม่ได้มีไว้กิน ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคลั่งเข้าไปใหญ่ ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน เขารู้สึกว่าตัวเองถูกปั่นหัว จึงลากเอาตัววิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมออกมาโดยตรง

“บัดซบ ไหนล่ะวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญน่ะห๊ะ!!”

“ที่นี่นอกจากใบไม้หนึ่งใบและกระดองเต่าหนึ่งชิ้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวอย่างเดือดดาล

วิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมก็อึ้งงันไม่ต่างกัน มองเปะปะไปทั่วรอบด้าน แล้วก็ต้องยืนเซ่อทันที

“เป็นไปไม่ได้นี่นา สำนักลึกลับนั่นบอกกับข้าว่ามันอยู่ที่นี่จริงๆ นะ…”

บัดนี้ความรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเด่นชัดเป็นพิเศษ พอนึกว่าตนเองต้องลำบากลำบน ยอมเสี่ยงชีวิตจนได้มาถึงที่นี่ แต่กลับไม่ได้ผลพวงอะไรกลับมาสักอย่าง ความระทมขมขื่นของเขาก็แผ่ขยายกว้างราวมหาสมุทร

ตัดสินใจหาไปรอบด้านอีกครั้งอยู่นานมาก สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องสิ้นหวัง เขายืนเหม่อมองกระดองเต่าชิ้นนั้น แม้ว่าเขาจะชอบเต่ามาก ทว่ากระดองเต่านี่เล็กเกินไป เล็กกว่าหม้อกระดองเต่าของเขามากมายนัก

“หรือว่าวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญก็คือกระดองเต่าชิ้นนี้? แต่ข้าจะเอากระดองเต่าไปทำอะไรได้ล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้รอมร่อ ถอนหายใจเฮือกๆ หยิบเอากระดองเต่าและใบไม้สีทองนั่นขึ้นมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เดินออกไปจากประตูแสง มองเห็นถ้ำที่ตัวเองขุดเป็นหลุมเบ้อเริ่ม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าม่อยคอตก เริ่มกลบทับไปทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งพื้นของถ้ำกลับคืนสู่สภาพปกติ เขาถึงได้จากไปพร้อมความหมดอาลัยตายอยาก

หลังจากเดินออกมาจากถ้ำ เขาถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้ง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า รู้สึกว่าตลอดทั้งโลกกำลังล้อตนเล่น

“ข้าลำบากลำบนตั้งมากนะ…”

“ข้าเสี่ยงภัยจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเชียวนะ…”

“ข้า…ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค้นเคือง พอกลับมาถึงตำหนักบุตรโลหิตจึงหยิบเอากระดองเต่าและใบไม้สีทองขึ้นมาศึกษาโดยละเอียดอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ คราวนี้ได้รับผลพวงเล็กน้อย เขาพบว่าใบไม้สีทองนั่น ไม่ว่าจะฉีกอย่างไรก็ฉีกไม่ขาด มีความทนทานผิดปกติ

แต่นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่ต่างไปจากใบไม้อื่นๆ เขายังถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าบางทีใบไม้ใบนี้อาจซุกซ่อนวิชาบางอย่าง แต่ต่อให้เขาจะใช้เนตรทงเทียนก็ยังมองไม่ออกว่ามันซ่อนอะไรเอาไว้

ส่วนกระดองเต่านั่นก็ยิ่งเป็นเหมือนซากสิ่งที่ตายแล้วซึ่งถูกลมพัดจนแห้งเหี่ยวอย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าด้านในจะอัดแน่น แต่มาคิดๆ ดู เต่าที่เคยมีชีวิตอยู่ด้านในก็คงกลายมาเป็นซากแห้งนานแล้ว

คืนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พักผ่อนดีๆ เลยทั้งคืน เช้าตรู่วันที่สอง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ในที่สุดก็ล้มเลิกการศึกษา ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย

วิญญาณของเย่จั้งตัวปลอมเองก็หวาดผวาจนไม่กล้าทำเสียงดัง เขากลัวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังเดือดดาลจะกำจัดตัวเองทิ้ง แต่เขาก็กล้ำกลืนเหมือนกัน เขาไม่ได้พูดโกหกจริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่สิ้นหวัง ตอนนี้ไม่คิดอยากจะอยู่ที่สำนักธาราโลหิตอีกต่อไป เขาถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลให้ออกไปจากสำนักธาราโลหิตเพื่อกลับไปยังสำนักธาราเทพ อยู่ๆ อีกสามเขาที่เหลือซึ่งห่างออกไปไกล แต่ละเขาก็มีรุ้งยาวหนึ่งเส้นคำรามเข้ามาหา

ในรุ้งยาวสามเส้นนี้คือบุตรโลหิตของทั้งสามเขา คนทั้งสามมีสีหน้าผ่อนคลาย พอเข้ามาใกล้ก็ทักทายปราศรัยกันครู่หนึ่ง ในใจลึกๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนี้มาด้วยจุดประสงค์อันใด ดังนั้นจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มอยู่สองสามประโยค

บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงที่อยู่ด้านข้างเริ่มอดรนทนไม่ไหว เมื่อหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเอ่ยปากขึ้นฉับพลัน

“เย่จั้ง พวกเราสามคนได้รับรายงานลับมาว่าหลายปีมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแห่งสำนักธาราเทพไม่ได้ปิดด่านอยู่ในสำนักธาราเทพ แต่ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งสงสัยว่าได้เข้ามาอยู่ในขอบเขตของสำนักธาราโลหิตเรา ข่าวนี้เป็นจริงหรือเท็จ ยากจะแยกแยะ ทว่าขอแค่มีความหวังแม้เพียงเส้นเดียว มันก็คือโอกาสอันดีที่พวกเราจะได้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินประโยคนี้ใจก็ร่วงหล่นดังโครม ทว่าสีหน้ากลับเป็นปกติไม่เปลี่ยนแปลง

“ในฐานะที่ข้าเป็นบุตรโลหิต ปีนั้นเคยรับป้ายคำสั่งยืนยันภารกิจต่อหน้าบุรพาจารย์ สาบานว่าต้องสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้ กำจัดหน่ออ่อนสร้างฐานรากวิถีฟ้าผู้นั้นของสำนักธาราเทพ!”

“ภารกิจของการบำเพ็ญตบะก็คือสังหารศิษย์แห่งความภาคภูมิใจเช่นนี้ ดับชีวิต ช่วงชิงเอาชะตาชีวิตของคนผู้นั้นมาสร้างหนทางที่ยิ่งใหญ่ของตนให้สำเร็จ!”

“นี่คือข้อตกลงของบุตรโลหิต ตอนนี้ตัวเจ้าก็ได้เป็นบุตรโลหิตแล้ว พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน บนป้ายคำสั่งยืนยันมีชื่อของพวกข้าสามคนอยู่ และแน่นอนว่าต้องมีชื่อของเจ้าด้วย!” บุตรโลหิตเขาเส้าเจ๋อเฟิงมองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยปากด้วยท่าทางเคร่งขรึม

บุตรโลหิตเขาซือเฟิงและเขาอู๋หมิงเฟิงที่อยู่ข้างกันก็พยักหน้ารับด้วยท่าทีจริงจัง ต่างพากันหันมามองป่ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางที่ว่าหากเจ้าไม่ยอมรับ พวกเราก็จะไม่ยอมกลับไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินก็เริ่มหวาดผวา ในที่สุดเขาก็มองออกแล้ว ปีนั้นคนพวกนี้รับป้ายคำสั่งยืนยันว่าจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ แต่กลับทำไม่ได้ ตอนนี้จึงต้องการดึงตนไปลงนรกด้วย…

ใจเขาอยากจะปฏิเสธ แต่ท่าทางของคนทั้งสามก็แสดงออกชัดเจนว่าหากไม่ได้ตามจุดประสงค์จะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังลังเล บุตรโลหิตเขาซือเฟิงที่อยู่ข้างกันก็หยิบเอาแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาจากในถุงเก็บของโดยตรง

“นี่ก็คือป้ายคำสั่งยืนยันภารกิจที่พวกเราตกลงกับบุรพาจารย์ ข้าตั้งใจขอเชิญมาจากบุรพาจารย์เป็นพิเศษ เจ้าแค่ลงตราประทับเอาไว้ก็ได้แล้ว” ระหว่างที่พูดเขาก็ส่งแผ่นหยกมาให้ป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง พอเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาพร้อมถึงขนาดนี้ ในใจเขาก็ด่ากราด รู้สึกว่าคนพวกนี้ทำเกินไป นี่มันเป็นการบีบให้ตนรับป้ายคำสั่งยืนยันภารกิจเพื่อมากำจัดตัวเองชัดๆ…

พอคิดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะพอกวาดตามองแผ่นหยกแล้วพบว่าในนั้นนอกจากของรางวัลจำนวนมากที่จะได้รับหลังสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ยังมีการลงโทษหากทำไม่สำเร็จด้วย การลงโทษนั้นคือจะต้องถูกกักตัวอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างรอยแยกบนพื้นดินของสำนักธาราโลหิตหนึ่งปีเต็ม

พื้นที่ต้องห้ามรอยร้าวนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเคยได้ยินมาก่อน ด้านในมีเพลิงวายุรุนแรง หากบำเพ็ญตบะอยู่ในนั้นก็เหมือนกับโดนมีดนับหมื่นนับพันกรีดร่าง ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทนรับได้

เห็นมาถึงตรงนี้ ในใจเขาก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าตัวตนป๋ายเสี่ยวฉุนของตัวเองไม่เคยล่วงเกินบุตรโลหิตสามคนนี้นี่นา เหตุใดสามคนนี้ถึงต้องคิดจะเล่นงานตนถึงขนาดนี้ด้วย ถึงกระทั่งที่ว่าต่อให้ต้องถูกลงโทษหนักเช่นนี้ก็คิดจะสังหารตนให้ได้

มองเห็นว่าสายตาของคนทั้งสามเริ่มดุดัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันรับเอาแผ่นหยกมาประทับตราลงไป ในใจหัวเราะเสียงเย็น คิดว่าพวกเจ้าทั้งสามคน ชีวิตนี้อย่าได้หวังเลยว่าจะทำสำเร็จ ในเมื่อคิดลากข้าไปลงนรกด้วย พวกเจ้าก็คอยดูต่อไปเถอะ!

ทั้งสามคนเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยอมรับคำสั่งยืนยันภารกิจเช่นกันจึงยิ้มได้ทันที ในใจคลายลง อันที่จริงแล้วพวกเขาสามคนก็ปวดหัวมาก ปีนั้นในฐานะที่เป็นพลรบอันดับหนึ่ง ด้วยความวู่วามจึงรับคำสั่งยืนยันภารกิจนี้มา แต่กลับทำภารกิจไม่สำเร็จเสียที ตอนนี้เห็นว่าเขาจงเฟิงมีบุตรโลหิตเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาสามคนจึงวางแผนร่วมกัน คิดว่าไม่ว่าอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ต้องให้บุตรโลหิตทั้งสี่คนแบกรับไปด้วยกัน ลากคนอีกคนหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมด้วยได้ ยังไงก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

“แม้ว่าข้าเย่จั้งจะเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นบุตรโลหิตได้ไม่นาน ทว่าเรื่องนี้จะมัวชักช้าไม่ได้ ในเมื่อได้รับเบาะแส ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นอาจปรากฏตัวอยู่ในขอบเขตของสำนักธาราโลหิตเรา เอาแบบนี้…ข้าจะออกไปตามหาด้านนอกทันที หากได้รับความคืบหน้าอะไรจะส่งข่าวมาบอกทุกท่าน พวกเราพร้อมใจกัน สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม ทว่าในใจกลับคิดว่าต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

คนทั้งสามพอได้ยินก็ยิ่งตะลึงระคนยินดี หลังจากมองหน้ากันไปมา ต่างก็แสดงเจตจำนงว่าต้องการออกไปนอกสำนักเช่นกัน เพื่อตามหาป๋ายเสี่ยวฉุนในขอบเขตของสำนักธาราโลหิต นัดหมายกันว่าหากได้รับเบาะแสจะส่งข่าวให้กันและกัน จากนั้นทุกคนถึงได้จากไปด้วยความพึงพอใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าคนทั้งสามจากไปแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาทันที หมุนตัวรีบกลับไปเก็บสัมภาระเพื่อไปจากสำนักธาราโลหิต

ก่อนจะจากไป เขาที่อยู่นอกประตูสำนักหันกลับมามองสำนักธาราโลหิตอีกครั้ง สีหน้าเผยความปลงตกและซับซ้อน

สำหรับสำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบใดกันแน่

“หากไม่ต้องเปิดศึกกันคงจะดียิ่งนัก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญ สุดท้ายหันไปมองยังเขาจู่เฟิง คล้ายจะมองเห็นถ้ำของเซวี่ยเหมยบนเขาจู่เฟิงได้ไกลๆ

“ทางเลือก อยู่ในมือของเจ้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ หมุนกายสะบัดร่างหนึ่งครั้งกลายเป็นรุ้งยาวจากไป

บินออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกอาลัยอาวรณ์สำนักธาราโลหิตเล็กน้อย ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในสำนักธาราโลหิตลอยขึ้นมากลางใจ เขาจึงหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ คิดจะมองสำนักธาราโลหิตอีกสักครั้ง

“บางทีชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ลอยอยู่กลางอากาศหันหน้ากลับมา ทอดสายตามองไกลมายังสำนักธาราโลหิต ทันใดนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง เผยความตื่นตกใจ

เขามองเห็นว่าบนเขาอู๋หมิงเฟิง เวลานี้มีเสาควันสีดำเสาหนึ่งพวยพุ่งทะลุสู่ท้องฟ้า เสาควันสีดำนั่นเกิดจากการรวมตัวกันของหัวปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วน บัดนี้หัวปีศาจเหล่านี้ระเบิดพลังออก ทั้งยังมีเสียงคำรามแหบแห้งสะเทือนเลือนลั่นดังลอยมาจากปากของหัวปีศาจเหล่านี้

“โค่นล้มสำนักธาราโลหิต พวกเราจะเปลี่ยนมาเป็นนาย!”

“นักพรตเขาอู๋หมิงเฟิง พวกเจ้ารังแกปีศาจอย่างพวกข้ามากเกินไป พวกเราไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด วันนี้จะยังไงก็ต้องก่อกบฏออกไปจากสำนักธาราโลหิตของพวกเจ้าให้ได้!”

หัวปีศาจเหล่านั้นพากันกรีดร้องเสียงแหลม ระเบิดพลังกันทั้งหมด ก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วสำนักธาราโลหิต โดยเฉพาะนักพรตเขาอู๋หมิงเฟิงที่ยิ่งตะลึงพรึงเพริดกว่าใคร พบว่าหัวปีศาจที่เดิมทีเป็นของตนเองกลับไม่ฟังคำสั่งเสียแล้ว

อีกทั้งในบรรดาหัวปีศาจเหล่านั้นยังมีบางส่วนที่เป็นพวกผู้อาวุโส สาดส่องเปลวเพลิงโหมไหม้ดุเดือด และยังมีหัวปีศาจตนหนึ่งที่ดูเหมือนตำแหน่งจะสูงส่งเกินใครทัดเทียม ทั้งยังเป็นจุดศูนย์กลางของหัวปีศาจเหล่านี้

หัวปีศาจตนนี้กำลังโอ้อวดบารมี แผดเสียงแหลมดังบาดหู

“สหายปีศาจทุกท่าน ทุกคนบุกออกไป พวกเจ้าวางใจเถอะ เจ้านายของข้าบัดนี้ได้กลายเป็นบุตรโลหิตแล้ว อำนาจและบารมีสั่นสะเทือนไปทั่วสี่สมุทร ทุกคนไม่ต้องกลัว วันนี้เป็นวันถือกำเนิดเผ่าปีศาจของพวกเรา พวกเราต้องหลุดพ้นจากการกดขี่ของเขาอู๋หมิงเฟิง นี่คือสงครามเพื่อเสรีภาพของพวกเรา!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ มองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าหัวปีศาจที่กรีดเสียงแหลมตนนั้นคือปีศาจที่ตนเพาะเลี้ยงมาโดยการให้กลืนกินกากยามากมายตอนอยู่เขาอู๋หมิงเฟิง บัดนี้ปีศาจที่ว่านอนสอนง่ายในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกแทนที่ด้วยความจองหองและโอหัง คำพูดที่เปล่งออกมาทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฟังอยู่สั่นเยือกไปทั้งร่าง

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม รีบหมุนตัวกลับ ไม่เหลือซึ่งความอาลัยอาวรณ์ใดๆ อีก เผ่นหนีไปไกลทันที กลัวว่าหลังจากที่หัวปีศาจพวกนั้นถูกกำราบแล้วตัวเองจะโดนสำนักธาราโลหิตคิดบัญชีย้อนหลัง

“บัดซบเอ๊ย ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังแปลกใจว่าทำไมตอนหลอมยาที่เขาอู๋หมิงเฟิงถึงไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น…ที่แท้อุบัติเหตุที่ว่านี้ก็ล่าช้าได้ด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องแต่ร้องไม่ออก ขณะที่ด้านหลังมีเสียงฮึดฮัดเย็นเยียบจากบุรพาจารย์และเสียงคำรามแค้นเคืองฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอยมา เขาก็ห้อตะบึงอย่างไม่คิดชีวิตทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version