Skip to content

A Will Eternal 268

บทที่ 268 พวกเราเชื่อ

สองชายฝั่งของสำนักธาราเทพ สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องอยู่กลางท้องฟ้า มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถูกคนนับร้อยห้อมล้อม กำลังบินไปทางเขาจ้งเต้าด้วยความสง่าน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด

เสียงหัวเราะของเขาที่แฝงไว้ด้วยการคุยโวดังออกมาเป็นระยะ ฟังออกถึงความลำพองใจ

“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ หลายปีมานี้ที่ข้าออกไปหาประสบการณ์น่ะสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วพื้นปฐพีมากเลยล่ะ ข้าแย่งเอาโอสถสร้างฐานรากมาจากมือของคนมากมาย แถมยังทำภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งพังด้วย กระบี่เดียวของข้าบินออกไปก็สังหารนักพรตสร้างฐานรากได้ตั้งสิบกว่าคน สะท้านสะเทือนฟ้าดิน หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า อิทธิฤทธิ์ไร้ที่สิ้นสุดเชียวนะ!”

“ผู้แข็งแกร่งหลายคนเวลาอยู่ต่อหน้าข้าล้วนก้มหน้าตัวสั่น ลูกศิษย์รวมลมปราณมากมายพอข้าถลึงตาใส่ก็หน้าเปลี่ยนสีวอนขอชีวิตทันที…” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉูนดังมาก แฝงไว้ด้วยการโอ้อวด ดังไปสี่ทิศ

ทุกคนของสำนักธาราเทพที่อยู่ข้างกายเขาล้วนหัวเราะเอาใจ สำหรับคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่เชื่อ แต่ตอนที่หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน บนใบหน้าของพวกเขาล้วนมีรอยยิ้มจริงใจ ในสีหน้ามีความคิดถึง มีความปลดปลง มีความคาดหวัง

สำหรับพวกเขาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุน…คือสหายร่วมสำนักของพวกเขา ทั้งยังเป็นเพื่อนที่สามารถทุ่มเทชีวิตให้ได้!

แม้ว่าเขาจะเกเร แต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญ ก็มักจะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แม้ว่าเขาจะก่อกวน แต่ระหว่างความเป็นความตายกลับทำให้คนอื่นวางใจได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

ในฐานะที่เป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้า ทั้งยังเป็นลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอน บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขามองไม่เห็นความหยิ่งยโสแม้แต่นิดเดียว กลับกันคือเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ทุกคนร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกนั้น ทำให้ในหัวใจของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนที่สูงส่งจนทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ แต่เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจ เป็นกัลยาณมิตรที่ซื่อสัตย์

โดยเฉพาะโหวอวิ๋นเฟยที่ความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งรุนแรง เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน มองโหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ทั้งยังมากด้วยการอวยพร

บนใบหน้างดงามของโหวเสี่ยวเม่ยแดงปลั่ง เวลานี้หัวใจนางยังคงเต้นกระหน่ำรัวเร็ว ในสมองเต็มไปด้วยภาพที่เมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนโอบกอดตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เนืองๆ เผยประกายมีชีวิตชีวาสดใส

ความมีชีวิตชีวานี้ คล้ายคลึงกับสายตาของซ่งจวินหว่านมาก…

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นฮึกเหิม มองทุกคนที่อยู่รอบด้าน ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยเหล่านั้นทำให้ในสมองของเขามีภาพความทรงจำมากมายในสำนักธาราเทพลอยขึ้นมา

ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ ส่วนเรื่องที่เมื่อครู่ตนคำรามเสียงดังแล้วตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของคนจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น เขาลืมมันไปนานแล้ว

“พวกเจ้าไม่เชื่อรึ? ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนร้ายกาจนักล่ะ…เคยมีตาเฒ่าขั้นก่อกำเนิดคนหนึ่งชื่นชมข้าไม่ขาดปาก แล้วก็มีตาเฒ่าขั้นก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งที่พอเห็นข้าก็อยากจะรับข้าเป็นลูกบุญธรรมให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบอก กล่าวอย่างโอหัง

“พวกเราเชื่อ…” โหวอวิ๋นเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม พวกจางต้าพั่งก็มีสีหน้าปั้นยาก แต่พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหันมามองตัวเองจึงรีบพูดติดๆ กันว่าเชื่อ

ทุกคนที่อยู่รอบด้านพากันเอ่ยด้วยรอยยิ้มในแบบเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นแบบนี้ก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เขาอยากจะบอกกับทุกคนมากว่าตนเคยหลอมยาที่สำนักธาราโลหิต เคยช่วงชิงยอดเขาหนึ่งในร่างบรรพบุรุษโลหิต ทั้งยังเป็นบุตรโลหิตแห่งเขาจงเฟิงผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ

แต่เขากลับพูดไม่ได้ ความรู้สึกที่มิอาจโอ้อวดตนแบบนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิดไม่น้อย

“ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงนะ ตอนที่ข้าหาประสบการณ์อยู่ข้างนอก ลำดับศักดิ์ของข้าใหญ่นักล่ะ แล้วยังมีนางมารงามล้ำอีกคนหนึ่งที่อยากแต่จะแต่งงานกับข้าให้ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดมาถึงตรงนี้ โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ด้านข้างหรี่ตาลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พูดด้วยรอยยิ้มตาหยีอยู่ด้านข้าง

“นางมารงามล้ำคนไหนหรือ? พี่เสี่ยวฉุน ไหนเจ้าลองเล่าอย่างละเอียดหน่อยสิ”

“เอ่อ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวงขึ้นมาทันที สัมผัสได้ว่าบนร่างของโหวเสี่ยวเม่ยคล้ายจะมีไอสังหารแผ่ออกมา เขารู้สึกว่าหลังจากที่ตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักธาราโลหิต การรับรู้ถึงไอสังหารของเขาเฉียบคมมากขึ้นเป็นพิเศษ

เวลานี้กำลังคิดจะหาวิธีเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น ทันใดนั้นลำแสงขนาดยักษ์ลำหนึ่งพลันระเบิดตูมออกมาจากเบื้องบนของเขาจ้งเต้า ลำแสงนี้หนาใหญ่ มีขอบเขตหลายสิบจั้ง พุ่งดิ่งขึ้นกลางอากาศ ทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ

และพริบตานี้เอง พื้นเขย่าภูเขาสะเทือน นภากาศเกิดเสียงดังครั่นครืน ราวกับว่าตลอดทั้งโลกล้วนสั่นไหว ชั้นเมฆมากมายเหลือคณานับปรากฏขึ้นกลางอากาศ หลังจากตรงเข้ามารวมตัวกันแล้วก็ก่อร่างขึ้นเป็นน้ำวนขนาดมโหฬารลูกหนึ่ง น้ำวนนี้หมุนวนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เผยให้เห็นดวงอาทิตย์สีขาวหนึ่งดวง!

ดวงอาทิตย์นี้ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำวน เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าในดวงอาทิตย์นั้นยังมีอีกาสีดำอยู่อีกหนึ่งตัว!

อีกาตัวนี้หลับตาอยู่ตลอดเวลา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ วินาทีที่มันปรากฏกายขึ้น พลังอำนาจสะเทือนฟ้าสะเทือนดินระลอกหนึ่งพลันแผ่กระจายโครมครามออกไปยังรอบด้าน ท่ามกลางการแผ่กระจายนี้ก่อให้เกิดพลานุภาพสยบปกคลุมฟ้าดิน ทำให้ทุกคนใจเต้นระส่ำ ลมหายใจถี่ระรัว

สองชายฝั่งเหนือใต้ของสำนักธาราเทพเงียบสนิทในบัดดล

แม้แต่พวกคนที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังหน้าเปลี่ยนสี คล้ายเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง มองไปยังลำแสงนั่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายใจคว่ำ มองน้ำวนกลางท้องฟ้า รวมไปถึงดวงอาทิตย์สีขาวและอีกาที่หลับตาอยู่ในนั้น เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“นี่…แม้ว่าตำแหน่งของข้าจะสูงส่ง ทว่าตอนที่ข้ากลับมาก็ไม่จำเป็นต้องต้อนรับอลังการขนาดนี้กระมัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเบาๆ ด้วยความสงสัย

สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกายเขากลืนน้ำลายเอื้อก สีหน้าตึงเครียด แต่พอได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นบน เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าช่วงเวลาที่กลุ่มแรกจะจากไปคือไม่กี่วันนี้ ตอนนี้ดูท่าแล้วก็คงจะเป็นเวลานี้แล้วล่ะ”

“มีเรื่องอะไรกัน กลุ่มแรกอะไรจากไป ไปไหน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เข้าใจสถานการณ์ คว้าตัวสวีเป่าไฉแล้วเอ่ยถาม

“ไปเทือกเขาลั่วเฉิน!” สวีเป่าไฉสีหน้าเคร่งขรึม พูดเสียงเบา

“เสี่ยวฉุนเจ้าไม่ได้กลับมานาน แต่ก็น่าจะได้ยินเรื่องสงครามระหว่างสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพที่ใกล้จะปะทุอยู่บ้าง ศึกครั้งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในขอบเขตของสำนักธาราเทพเรา ดังนั้นสำนักจึงตัดสินใจมานานแล้วว่าจะใช้เทือกเขาลั่วเฉิน อาศัยค่ายกลใหญ่ของเทือกเขาลั่วเฉินเปิดศึกกับสำนักธาราโลหิต!” นัยน์ตาโหวอวิ๋นเฟยคมกล้า หลังจากที่เขาสร้างฐานรากวิถีดิน ตำแหน่งในสำนักก็แตกต่างไปจากที่เคยเป็นอย่างมาก ทั้งยังไหว้ผู้อาวุโสไท่ซ่างคนหนึ่งเป็นอาจารย์ จึงทำให้เขารู้ข่าวได้มากที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ สงคราม ในความรู้สึกของเขา ได้เข้ามาใกล้ตน…มากทุกทีแล้ว

“ตอนนี้หลังจากที่การเตรียมพร้อมของสำนักสิ้นสุดลง คลื่นนำส่งกลุ่มที่หนึ่งระเบิดออก ซึ่งมันจะนำตัวนักพรตกลุ่มแรกที่ได้รับเลือกไปยังเทือกเขาลั่วเฉิน!” ขณะที่โหวอวิ๋นเฟยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เสียงที่เต็มไปด้วยบารมีและแก่ชราเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากเขาจ้งเต้า สะท้อนไปทั่วสำนักธาราเทพ

“ลูกศิษย์กลุ่มแรกที่ถูกนำส่ง จงมาที่นี่ทันที!”

เสียงนี้ดังราวฟ้าผ่า เมื่อกึกก้องไปสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เห็นทันทีว่าจากสามเขาของชายฝั่งทิศใต้และสี่เขาของชายฝั่งทิศเหนือ มีรุ้งยาวมากมายหลายเส้นคำรามดิ่งเข้าหาเขาจ้งเต้า

ในรุ้งยาวเหล่านี้มีทั้งนักพรตสร้างฐานราก ทั้งรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ และยังมีลูกศิษย์มากมายที่ไม่สามารถบินได้ซึ่งเวลานี้กำลังห้อตะบึงลงจากภูเขา ตรงดิ่งไปยังเขาจ้งเต้า

ถึงกระทั่งที่ว่าในรุ้งยาวหลายเส้นกลางอากาศนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็นกุ่ยหยา เป่ยหันเลี่ย สองคนนี้คือนักพรตที่มีพลังอำนาจไม่ธรรมดา เยื้องกรายลงบนเขาจ้งเต้ารวดเร็วดุจดั่งดาวตก

หากมองผ่านๆ คนกลุ่มแรกนี้มีมากถึงสองพันกว่าคน ทั้งยังมีปราณของผู้อาวุโสไท่ซ่างบางส่วนที่ระเบิดออกในเวลานี้ด้วย

จนถึงท้ายที่สุด…เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นกลางน้ำวน กลายร่างเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ชายผู้นี้เพิ่งจะปรากฏตัว คลื่นตบะเหนือล้ำเกินกว่าผู้อาวุโสไท่ซ่างที่แผ่จากตัวเขาทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

ชั่วขณะที่มองเห็นชายวัยกลางคนผู้นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็คือผู้ที่ช่วยเหลือเถี่ยตั้นในปีนั้น และยังเป็นผู้ที่พูดคุยกับบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง หนึ่งในบุรพาจารย์ทั้งห้าของสำนักธาราเทพซึ่งมีนามว่าหลี่จื่อโม่!

“บุรพาจารย์รุ่นที่สาม!!” ในบรรดาคนที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน มีคนร้องอุทานด้วยความแตกตื่นขึ้นมาทันที

ไม่นาน หลังจากที่นักพรตกลุ่มที่หนึ่งมารวมตัวกันบนยอดเขาจ้งเต้าแล้ว มือขวาของหลี่จื่อโม่ก็ยกขึ้นโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง ลำแสงที่อยู่บนเขาจ้งเต้าพลันระเบิดออก พริบตาเดียวก็ปล่อยแสงจ้าบาดตา แสงสว่างนั้นแผ่ออกไปปกคลุมทุกคน กะพริบหนึ่งครั้งเงาร่างของนักพรตสองพันกว่าคนก็หายวับไปทันใด

เมื่อร่างพวกเขาหายไป ทุกอย่างจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ มีเพียงลำแสงบนเขาจ้งเต้าเท่านั้นที่ยังคงเชื่อมต่อกับนภากาศ ส่งเสียงดังครั่นครืนต่อเนื่อง และยอดเขาอื่นๆ ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ลำแสงที่ก่อตัวอยู่บนยอดเขากลับสว่างจ้ากว่าก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็น ราวกับว่าอีกไม่นานก็จะปะทุพวยพุ่งขึ้นเป็นลำแสงสู่ฟากฟ้า

ขณะที่จิตใจของคนมากมายในสำนักธาราเทพสะท้านไหวอยู่นั้น เสียงของโหวอวิ๋นเฟยก็ดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุน

“พวกเขาคือคนกลุ่มแรก อีกไม่กี่วันกลุ่มที่สองก็ต้องถูกนำส่ง จำนวนคนจะมากกว่าเดิม และข้า…ก็อยู่ในรายชื่อของคนกลุ่มสองนี้”

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นรัว ตอนที่มองมายังโหวอวิ๋นเฟย บนใบหน้าของโหวอวิ๋นเฟยเผยรอยยิ้มอบอุ่น เพื่อนของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่รายล้อมก็มีคนไม่น้อยเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม บอกกลุ่มที่ตัวเองอยู่ให้เขาฟัง

ฟังคำพูดของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นนักพรตรวมลมปราณ หรือแม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยเองก็ยังถูกจัดอยู่ในรายชื่อคนที่เข้าร่วมสงครามด้วย

สงครามที่ใกล้จะเปิดฉากขึ้นนี้ สามารถดูออกได้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้เฮือกสุดท้าย…ของสำนักธาราเทพ!!

“ข้าได้ยินท่านอาจารย์บอกว่าเทือกเขาลั่วเฉินคือค่ายกลใหญ่ที่สำนักธาราเทพของเราวางไว้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อระมัดระวังไม่ให้สำนักธาราโลหิตรุกรานเข้ามา เป็นที่พึ่งของสำนักธาราเทพเรา พลังของค่ายกลได้ผ่านการเสริมให้แข็งแรงจากคนมากมายหลายรุ่น ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง แม้ว่าสำนักธาราโลหิตจะแข็งแกร่ง แต่ผลของสงครามครั้งนี้ ยังไม่มีใครรู้!” จางต้าพั่งมองเห็นว่าคนรอบด้านเกิดความกดดันกันเล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมา

“ถูกต้อง สำนักธาราโลหิตรังแกกันมากเกินไป เงื่อนไขพวกนั้นที่พวกเขามอบให้ หากสำนักธาราเทพของเราตกลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันย่อมเป็นการยินยอมอย่างฝืนใจ…จะให้มีชีวิตที่ต้องคอยก้มหัวให้คนอื่นแบบนี้ ก็สู้ลุกขึ้นยืนเข่นฆ่าดีกว่า!”

“นับตั้งแต่วินาทีที่ได้เป็นศิษย์ของสำนักธาราเทพ ที่นี่ก็คือบ้านของข้า มีชีวิตอยู่เป็นคนของสำนักธาราเทพ ตายไปก็ต้องเป็นวิญญาณของสำนักธาราเทพ!”

“สงครามครั้งนี้มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!” ทุกคนที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนพากันเอ่ยปาก นัยน์ตาเผยไอสังหาร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version