Skip to content

A Will Eternal 274

บทที่ 274 เคยบ้าคลั่งอย่างเด็กแรกรุ่นมาก่อน!

จนกระทั่งออกมาจากชายฝั่งแม่น้ำทงเทียนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักกระปรี้ประเปร่า ในใจเบิกบาน จดจำประโยคนั้นไว้อย่างแม่นยำ เขารู้สึกว่าประโยคนี้เอามาใช้จริงได้ดีมาก

“หึหึ ต่อไปเห็นใครขัดหูขัดตาข้าก็จะพูดประโยคนี้ขู่เสียเลย อีกฝ่ายต้องตะลึงงันอย่างแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้ามาในหอร้อยสัตว์ ครุ่นคิดถึงตำรับยาทวนธารา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันแล้วเริ่มหลอม

เพียงแต่ว่าการหลอมยาทวนธาราจำเป็นต้องใช้ร่างของตัวเองเป็นเตาหลอม วันที่สองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มหลอมก็ต้องกรีดร้องโหยหวน เสียงปู๊ดๆๆ ดังต่อเนื่องไม่ขาดสายจนเขาต้องรีบบินออกมาจากในห้องทันที

ตอนที่วิ่งออกมา ด้านหลังของเขายังมีเสียงปู๊ดๆๆ ดังไม่เลิก

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงปราณที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบซึ่งมีอยู่เต็มท้อง สัมผัสได้ว่าปราณเหล่านี้ระเบิดออกมาจากด้านหลัง ทำเอาเถี่ยตั้นตกใจจนรีบวิ่งออกไป ไม่นานตลอดทั้งหอร้อยสัตว์ก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น

ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องแต่ร้องไม่ออก อาการนี้ดำเนินไปหนึ่งวันเต็มถึงได้ค่อยๆ จางหายไป ทำเอาเขาหวาดผวาจนไม่กล้าทดลองหลอมอีก

“ยาบ้านี่ไม่ได้มีไว้ให้คนหลอมสักหน่อย น่ากลัวเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าหลอมยา เตาหลอมระเบิด ทว่ายาทวนธารานี่ใช้ร่างกายข้าเป็นเตาหลอม หากว่ามันระเบิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งกลัวมากกว่าเดิม กังวลมากว่าหากตัวเองทำเช่นนี้ต่อไป ชีวิตน้อยๆ จะหายไปจริงๆ ดังนั้นจึงรีบล้มเลิกความคิดทันที

“ข้าไม่มีวันหลอมอีกแน่ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงความอนาถตลอดทั้งวันที่ผ่านมาจึงยังพรั่นพรึงไม่คลาย ขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกของคนอื่นเวลาที่ตัวเองหลอมยาด้วย

ขณะที่กำลังทอดถอนใจอยู่นั้น นอกหอร้อยสัตว์ชายฝั่งทิศเหนือมีรุ้งยาวมากมายหลายเส้นคำรามเข้ามาใกล้ พวกจางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง สวีเป่าไฉปรากฏตัวพร้อมกัน เพิ่งจะย่างเท้าเข้ามาในหอเรือนของหอร้อยสัตว์ก็ได้กลิ่นเหม็นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ทันที

“กลิ่นอะไรน่ะ?” จางต้าพั่งอึ้งงัน

“นี่…นี่คือ…” สวีเป่าไฉก็ตะลึงไปเช่นกัน แอบเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง รู้สึกเหลือเชื่อ เฮยซานพั่งที่อยู่ข้างกันตอนนี้มีรูปร่างสะโอดสะอง แม้ว่าผิวจะดำ แต่บุคลิกลักษณะก็สง่างามน่ามอง เวลานี้ขมวดคิ้วมุ่นเช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าแดงน้อยๆ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง

“คือว่า…หลายวันมานี้เถี่ยตั้นกินอาหารผิดเลยท้องเสียน่ะ”

เถี่ยตั้นที่อยู่ห่างออกไปไกล พอได้ยินประโยคนี้ก็คิดคำราม ทว่ากลับถูกป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตาใส่ จึงนอนหมอบอยู่ตรงนั้นด้วยความกล้ำกลืน มองทุกคนตาปริบๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าพวกจางต้าพั่งเกิดความกังขาจีงรีบเปลี่ยนหัวข้อไปพูดเรื่องอื่น

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้ามาได้ยังไง”

“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อบอกลาเจ้า พรุ่งนี้ก็คือวันที่การนำส่งกลุ่มที่สามจะเริ่มขึ้น พวกเราสามคนอยู่ในกลุ่มนี้” จางต้าพั่งไม่ได้ซักไซ้ถามที่มาของกลิ่นเหม็น เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน กล่าวเสียงทุ้มหนัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ก็ใจหายวาบ ช่วงเวลานี้ที่เขาไปอยู่สำนักธาราโลหิต ตบะของพวกจางต้าพั่งสามคนเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว ต่างก็กลายมาเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในกันหมดแล้ว

ตอนนี้แม้ว่ายังไม่ได้สร้างฐานราก แต่ก็อยู่หลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์มากนักในสนามรบ แต่หากรวมพลังเข้าด้วยกัน บางทีเมื่อใช้ค่ายกลกระตุ้นก็อาจแสดงพละกำลังน่าตะลึงออกมาได้ไม่ต่างกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไปครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร รอบด้านจึงเกิดความกดดันเล็กน้อย

“สงครามครั้งนี้ใช่ว่าพวกเราจะต้องแพ้แน่นอน อีกอย่างในเมื่อยังไงก็ต้องเปิดศึก ถ้าเช่นนั้นเมื่ออยู่ในสนามรบ ทุกคนก็มาสังหารศัตรูไปพร้อมกัน!” เฮยซานพั่งกล่าวเนิบนาบ ประโยคนี้ทำให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉต่างก็ฮึกเหิมกันขึ้นมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองพวกจางต้าพั่งสามคน เบื้องหน้าของเขามีภาพของสหายร่วมสำนักที่ตายไปในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตลอยขึ้นมา เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หากพวกจางต้าพั่งสิ้นใจตายในสนามรบ ตัวเองจะเป็นแบบใด…เขาไม่ต้องการให้ใครตาย ไม่ต้องการให้มีสงคราม เขาอยากให้ทุกคนได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข

“เสี่ยวฉุน อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ใช่ว่าพวกเราจะต้องตายแน่นอนซะเมื่อไหร่ มาๆๆ พวกเราไม่ได้ร่ำสุราด้วยกันมานานมากแล้ว คราวนี้พวกเรามาดื่มกันให้เมาไปเลย!” จางต้าพั่งหัวเราะฮ่าๆ หยิบเอาเหยือกเหล้าออกมาจากในถุงเก็บของหลายเหยือก หลังจากแบ่งให้ทุกคนแล้ว คนทั้งสี่ก็นั่งลงแล้วดื่มกันอึกใหญ่

ไม่นาน จากความกดดันเงียบขรึมเมื่อแรกเริ่มก็กลายมาเป็นเสียงพูดคุยที่มากขึ้น จางต้าพั่งพูดเรื่องราวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากมายตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาอยู่ในสำนัก ทั้งยังพูดถึงเรื่องไก่หางวิเศษด้วย

“แต่จะว่าไปแล้วรสชาติของไก่หางวิเศษ อืม…คิดถึงจริงๆ”

“ต้องโทษพวกเจ้านั่นแหละ!” เฮยซานพั่งหน้าแดงน้อยๆ ปีนั้นเรื่องปีศาจคลั่งขโมยไก่นางเองก็มีส่วนร่วมด้วย หลังจากก่อเรื่องเสร็จกลับถูกอาจารย์ตำหนิซะจนไม่เหลือชิ้นดี

สวีเป่าไฉทุบอก พูดถึงเรื่องสารท้ารบที่เขียนด้วยเลือดซึ่งมอบให้ป๋ายเสี่ยวฉุนในปีนั้น ทั้งสี่คนดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าใครเสนอเรื่องขโมยไก่ขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาทั้งสี่คนจึงพากันเฮโลไปที่ชายฝั่งทิศใต้ หิ้วไก่วิเศษมาหลายตัว ย่างกินกันอย่างสนุกสนาน

จนกระทั่งถึงช่วงพลบค่ำ ภายใต้คำแนะนำของจางต้าพั่ง คนทั้งสี่จึงไปที่ฝ่ายครัวไฟอีกครั้ง การกลับมาครั้งนี้ทำเอาทุกคนของฝ่ายครัวไฟตื่นเต้นกันยกใหญ่ โดยเฉพาะเจ้าอ้วนทั้งหลายของปีนั้นที่ยิ่งฮึกเหิม รีบจัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่มาร่วมดื่มไปด้วยกันทันที

เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังสะท้อน แม้แต่โหวเสี่ยวเม่ยก็มาร่วมด้วย ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนดึงให้นั่งข้างกาย ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำ พอดื่มเหล้าเข้าไปก็ยิ่งงามเพริศพริ้ง

ไม่นานเฉินเฟยก็มาเองโดยที่ไม่ได้รับเชิญ ร่วมพูดคุยเฮฮากับทุกคน คืนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนดื่มจนเมาปลิ้น

“เจ๊สาม เจ้านี่นะ ปีนั้นไอ้ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นผู้ชาย ที่ไหนได้เจ้ากลับเป็นผู้หญิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตาปรือ ชี้นิ้วตะโกนใส่เฮยซานพั่ง

เฮยซานพั่งถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง แค่นเสียงอีกหนึ่งทีแล้วจึงดื่มเหล้าต่อ

“ต้าพั่ง ปีนั้นศิษย์พี่หญิงที่ใบหน้ามีแต่กระคนนั้น คนที่พาข้ามาส่งที่นี่น่ะ ที่เจ้าบอกว่านกกางเขนกำลังร้อง คนที่เจ้าชื่นชอบมากๆ คนนั้นน่ะ ยังจำได้ไหม เป็นยังไงบ้าง ไปบอกรักสักหน่อยสิ”

“สวีเป่าไฉ สารท้ารบฉบับนั้นของเจ้า ปีนั้นทำเอาอาจารย์อาป๋ายของเจ้าตกใจจริงๆ!”

“เฉินเฟย หลานอย่างเจ้าบังอาจมาลอบโจมตีข้าได้ หึหึ!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกครั้งที่พวกเราแบ่งผลประโยชน์กัน เจ้าฮุบเยอะที่สุดเลย!”

“นั่นสิ เรื่องที่ก้นถ้วยหนาเพิ่มขึ้นทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นประเพณีสืบทอดของฝ่ายครัวไฟไปแล้ว!”

“ฮ่าๆ ข้ายังจำเรื่องที่พวกเราไปขวางประตูได้…”

“อาจารย์อาป๋าย…ข้าผิดไปแล้ว…”

จางต้าพั่งฮึกเหิม จึงหยิบเอาหม้อใบใหญ่ของตัวเองออกมาวางด้านข้างแล้วตะโกนพูดเสียงดัง

“ยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ…”

“ไม่ไปแก่งแย่งนอกฝ่ายงาน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งพูดเสียงดัง เฮยซานพั่งก็คึกคักขึ้นมา ศิษย์พี่อ้วนหลายคนที่อยู่รอบด้านต่างก็เงยหน้าคำรามดังลั่น

แม้ว่าสวีเป่าไฉจะไม่ใช่คนของฝ่ายครัวไฟ ทว่าเวลานี้ก็แผดเสียงขึ้นมาเช่นกัน เฉินเฟยปลงตก ปล่อยวางทุกอย่าง ตะโกนพูดจนน้ำเสียงแหบแห้ง เสียงของทุกคนรวมกัน ดังสนั่นไปแปดทิศ

“ไม้วิเศษกินริมขอบ ลำต้นห้ามแตะ หั่นเนื้อลงมีดแรง เลาะกระดูกเหลือสามส่วน โจ๊กวิเศษผสมน้ำให้มาก น้ำแกงหยกครึ่งถ้วยเล็ก” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเหล้าขึ้นมาหนึ่งเหยือก ดื่มลงไปอึกใหญ่แล้วตะโกนต่อ

“ไม่ถูกๆ ตอนนี้ไม่ใช่ความจริงหกประการแล้ว ต้องเพิ่มไปอีกสองประโยค ก้นถ้วยสูงหนึ่งส่วน ไก่หางวิเศษมอบให้เสี่ยวฉุน!” จางต้าพั่งหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนตัวเองกลับเดินโซซัดโซเซ เมาจนล้มลงนอนกองอยู่ด้านข้าง

การปล่อยตัวอย่างเต็มที่แบบนี้ ปกติทุกคนจะไม่มีทางทำเด็ดขาด ทว่าตอนนี้สงครามใกล้ปะทุขึ้นทุกขณะ ไม่มีใครพูดได้ว่าตัวเองต้องไม่ตายอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ทุกคนจึงถือโอกาสปล่อยใจให้ผ่อนคลาย ดื่มเหล้าอย่างต่อเนื่อง ตะโกนเสียงดังไม่หยุดยั้ง

อีกทั้งยังมีคนมากกว่าเดิมที่พอได้ข่าวก็รีบตามมาที่ฝ่ายครัวไฟ เข้าร่วมการดื่มเหล้าเมามายพูดจาเอะอะเสียงดังไปพร้อมๆ กัน

โหวเสี่ยวเม่ยคอยอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนตลอดเวลา แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่ก็มิอาจทนรับกับความแรงของเหล้าวิเศษที่แม้แต่พวกนักพรตก็ยังขยาด ไม่นานนางจึงค่อยๆ ล้มฟุบลงไป

จนกระทั่งยามสาม ฝ่ายครัวไฟเงียบสงัด ป๋ายเสี่ยวฉุนฝืนลืมตาขึ้น มองทุกอย่างที่อยู่รอบด้าน สัมผัสได้ถึงความเงียบเหงา ดวงตาทั้งคู่ของเขาค่อยๆ สะท้อนให้เห็นประกายแสงจันทร์

เขาหยิบเอาเหยือกเหล้าที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาแล้วดื่มอึกๆ ลงไปอีกคำใหญ่ ค่อยๆ กวาดตามองทุกคนที่นอนกองระเกะระกะ คล้ายต้องการจดจำใบหน้าเหล่านั้นเอาไว้ มือที่กำเหยือกเหล้ากลับยิ่งแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ดุจดั่งต้องการประทับช่วงเวลานี้ให้ตราตรึงลงไปในหัวใจ หรือไม่ก็หล่อหลอมความเชื่อมั่นอันเด็ดเดี่ยวที่ต้องการเปลี่ยนฟ้าดิน หรือไม่ก็อย่างอื่น…

จากนั้นเท้าของเขาก็อ่อนเปลี้ย นอนฟุบหลับสนิทอยู่ด้านข้าง ทว่ามือที่จับเหยือกเหล้ากลับมีเส้นเอ็นปูดโปนเนื่องจากบีบแน่นเกินไป

เช้าตรู่วันที่สอง แสงสว่างของเขายวนเหว่ย เขาจื่อติ่งพุ่งทะลุขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง เสียงกัมปนาทดังสะเทือน เงาร่างมากมายบินตรงไปยังยอดเขาทั้งสองแห่งนั้น

จางต้าพั่ง เฮยซานพั่ง สวีเป่าไฉ เฉินเฟยล้วนอยู่ในนั้น ทั้งยังมีการปรากฏตัวของลำดับผู้สืบทอดและบุรพาจารย์ นำส่งคนกลุ่มที่สามซึ่งมีมากเกือบสามหมื่นคนออกไป

ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนอยู่บนพื้นของฝ่ายครัวไฟ ลืมตาขึ้นมองร่างของพวกจางต้าพั่งที่หายวับไป ในดวงตาของเขาแฝงเร้นไว้ด้วยความลึกล้ำ ทั้งยังมากด้วยความตั้งมั่น

“พี่เสี่ยวฉุน…ข้าอยู่กลุ่มที่สี่” โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ข้างกันพูดเสียงแผ่วเบา

ป๋ายเสี่ยวฉุนจับมือของโหวเสี่ยวเม่ย น้ำเสียงทุ้มหนักแต่กลับเด็ดเดี่ยว

“ทุกอย่างมีข้า!”

หลังจากลูกศิษย์กลุ่มที่สามจากไป ตลอดทั้งสำนักธาราเทพโล่งไปครึ่งหนึ่ง และเมื่อแต่ละยอดเขาระเบิดลำแสง ค่ายกลของสำนักจึงเปิดขึ้นอย่างเต็มกำลัง

จนกระทั่งหลายวันต่อมา ในสำนักธาราเทพ สามยอดเขาสุดท้ายอย่างเขารั่วรื่อ เขาฉงติ่ง เขาเซียงอวิ๋นพลันระเบิดลำแสง

สะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน พุ่งทะยานสู่นภากาศ

หลังการระเบิด ค่ายกลของสำนักธาราเทพเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบ กลายมาเป็นการปิดผนึก

ร่างของบุรพาจารย์เถี่ยมู่ปรากฏขึ้น ลำดับผู้สืบทอดอีกหลายคนที่เหลืออยู่ ผู้อาวุโสไท่ซ่าง หรือแม้แต่เจิ้งหย่วนตงเองก็ล้วนเผยกาย พวกหลี่ชิงโหว สวีเหม่ยเซียงต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น

ผู้อาวุโสแทบจะทุกคน ลูกศิษย์ฝ่ายใน ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เหลืออยู่ในเวลานี้ล้วนปรากฏตัวกันหมด คนส่วนใหญ่ในบรรดาคนเหล่านั้นต่างก็อยู่ในรายชื่อของผู้ถูกนำส่งกลุ่มที่สี่

ส่วนกลุ่มที่ห้าซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย นั่นคือการนำส่งของพลังแฝง ทว่าครั้งที่สี่นี้คือครั้งที่มีจำนวนลูกศิษย์มากที่สุด มีมากเกือบห้าหมื่นคน…

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลำแสง สูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ เดินออกมาจากหอร้อยสัตว์ ด้านหลังของเขามีเถี่ยตั้นติดตามมาด้วย สีหน้าของมันไม่ได้ร่าเริงอย่างในเวลาปกติ คล้ายรู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสงคราม กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวพร้อมป๋ายเสี่ยวฉุน เข้าไปใกล้ลำแสง

ที่นี่มีคนมากมายแน่นขนัด คนไม่น้อยพอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็เขยิบเข้ามาใกล้โดยไม่รู้ตัว ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเกเร แต่เหตุการณ์ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า…ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่อันตราย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเชื่อใจได้มากเท่านั้น!

สงครามครั้งนี้ สำนักธาราเทพเลือกเทือกเขาลั่วเฉิน อาศัยค่ายกลของมันเป็นจุดสู้รบกันในขั้นสุดท้าย อีกทั้งระหว่างเทือกเขาลั่วเฉินและเทือกเขาของสำนักธาราเทพยังจัดวางแนวเส้นป้องกันอีกเจ็ดแปดเส้น เผื่อว่าหากพลาดท่าเสียทีที่เทือกเขาลั่วเฉิน ก็ยังถอยมาประมือกันที่แนวเส้นป้องกันเส้นหลังได้อีก

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องวางแผนชั่วร้ายอะไร สิ่งที่จำเป็นก็คือจิตใจอันห้าวหาญในการสู้รบ ยอมต่อสู้จนตัวตาย เพื่อให้สำนักธาราโลหิตถอยร่นหนีไป เพื่อให้สำนักธาราโลหิตรู้ว่าคิดจะเล่นงานสำนักธาราเทพ ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น!

ไม่นาน หลังจากการมาถึงของทุกคน การนำส่งจึง…เริ่มขึ้น!

แสงสว่างพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าดุจดั่งมือขนาดยักษ์มือหนึ่งที่นำพาทุกชีวิตของทั้งสามยอดเขาส่งออกไป…ยังจุดตัดเส้นพรมแดนกับสำนักธาราโลหิต และที่นั่นก็คือ…

เทือกเขา ลั่วเฉิน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version