บทที่ 281 สำนักธาราโลหิต จงกลับไปซะ!
ปฏิริยาตอบสนองของฮั่นเหยียนเจินเหรินถือว่ารวดเร็วอย่างถึงขีดสุด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ประโยคเดียวของเขาที่ดังไปทั่วสมรภูมิรบได้พลิกสถานการณ์ไม่เอื้อผลดีที่เกิดจากการปรากฏตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้ทันที
ทั้งยังเป็นฝ่ายย้อนเล่นงานอีกฝ่าย หาเหตุผลที่บ้าระห่ำยิ่งกว่าเดิมให้กับสำนักธาราโลหิต
บุตรโลหิตทั้งสามคนดวงตาเปล่งประกายวาบ ดวงตาพวกซ่งเชวียก็โชนแสง และยังมีนักพรตมากมายของสำนักธาราโลหิตที่เป็นเช่นเดียวกัน แม้แต่อังคุฐโลหิตสามคน รวมไปถึงผู้อาวุโสไท่ซ่างมากมายต่างก็บินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนโดยไร้ซึ่งความลังเล
“เหลวไหลทั้งเพ!” พอบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังไปแปดทิศไม่ด้อยไปกว่ากัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคือลูกศิษย์ชีพจรฟ้าแห่งสำนักธาราเทพของข้า เพียงแต่เสี่ยวฉุนอายุน้อยด้อยประสบการณ์ถึงได้ถูกวิชามารของพวกเจ้ามอมเมาปลุกปั่น บัดนี้อยู่ต่อหน้าข้าผู้อาวุโส พวกเจ้ากลับยังกล้าคิดมาแย่งไปอย่างหน้าด้านๆ ใครก็ได้ คุ้มกันป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้าไป ข้าจะเป็นคนขับไล่วิชามารของสำนักธาราโลหิตเอง!” เมื่อบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งกล่าวเช่นนี้ จิตใจของคนมากมายในสำนักธาราเทพสะท้านไหวทันที หลี่ชิงโหวยิ่งเร็วกว่าใคร บินดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตาเดียว
ลำดับผู้สืบทอดและผู้อาวุโสไท่ซ่างก็พุ่งทะยานเข้าไปใกล้เช่นเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับทุกคนของสำนักธาราโลหิต ภายใต้ไอสังหารที่เดือดพล่าน ต่างฝ่ายต่างลงมือโจมตีกันโดยไม่มีรั้งรอ ต่างก็คิดจะแย่งเอาตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไป!
ตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายมาเป็นจุดสนใจของสนามรบแห่งนี้อีกครั้ง บางทีจุดสนใจนี้ ในสายตาของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตแล้วอาจจะไม่ได้สำคัญถึงขนาดหาสิ่งใดมาเปรียบไม่ได้ ทว่ายังไงก็ไม่มีทางยอมปล่อยไปอย่างไม่ใยดีอย่างแน่นอน
สำนักธาราโลหิตต้องการแย่งตัวเย่จั้งกลับไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เสียเปรียบ และหากสำนักธาราเทพชิงตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไปได้ ก็ยิ่งเป็นการฉีกกระชากสถานการณ์ที่ไม่ส่งผลดีต่อสำนักธาราโลหิตนี้ให้บานปลายออกไปอีก
พริบตาเดียวเสียงสนั่นหวั่นไหวก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน สงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง
บนท้องฟ้า บุรพาจารย์หลายคนลงมือต่อเนื่อง กลางอากาศ ลำดับผู้สืบทอดและอังคุฐโลหิต ผู้อาวุโสไท่ซ่างของทั้งสองฝ่ายพากันสำแดงฝีมือ แสงจากเวทคาถาและอาวุธวิเศษอาบย้อมไปทั่วนภากาศ
กระดูกไม่สลายของสำนักธาราโลหิตคำรามแหบแห้งพุ่งถลาออกมา และยังมีศพหลอมอีกมากมายที่ห้อตะบึงบนพื้นดินและทั้งโบยบินอยู่บนฟากฟ้า ทุกที่ที่ผ่าน ปราณความตายซัดตลบอบอวล ป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นศพหลอมของตัวเองที่อยู่ในนั้นด้วย แม้ว่ามันจะไม่ได้ลงมือเนื่องด้วยปฏิบัติตามเจตจำนงของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่า…สำหรับศพหลอมที่โบยบินเต็มท้องฟ้านั่นแล้ว ศพหลอมตนเดียวจึงไม่ต่างอะไรไปจากข้าวหนึ่งเมล็ดบนมหาสมุทรกว้างใหญ่
ทั้งยังมีหัวปีศาจที่แทบจะเรียกได้ว่ามากมายล้นหลาม ซึ่งเวลานี้ต่างก็เปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก คำรามอู้เข้ามาใกล้พร้อมพลังอำนาจทั้งหมดในสำนักธาราโลหิต
และยังมีกระบี่โลหิตเล่มแล้วเล่มเล่าที่กำลังก่อตัวขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นบุตรโลหิต สามารถข่มทับเขาจงเฟิง แต่ว่า…บุตรโลหิตรุ่นก่อนๆ ของเขาจงเฟิงก็มีหลายคนที่ได้กลายเป็นอังคุฐโลหิต ต่อให้ในด้านการควบคุมจะสู้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เป็นบุตรโลหิตของรุ่นปัจจุบันไม่ได้ ทว่าเมื่อรวมพลังจากคนหลายคน ทั้งยังมีเจตจำนงของบุรพาจารย์ จึงสามารถกดทับตำแหน่งบุตรโลหิตของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้นักพรตเขาจงเฟิงยังคงลงสนามรบได้
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนฟ้าดิน ตบะในร่างของคนเขาเส้าเจ๋อเฟิงก็ระเบิดออกเช่นกัน พากันบินออกมาพร้อมพลังอำนาจน่าตกใจ
ยักษ์ค่ายกลของสำนักธาราเทพบัดนี้บุกออกไปพร้อมเสียงคำราม ในยักษ์ตนหนึ่งที่ซ่างกวานเทียนโย่วอยู่ ไอสังหารโหมกระหน่ำทะยานสูงเสียดฟ้า กุ่ยหยา กงซุนอวิ๋น เป่ยหันเลี่ย สวีซง และยังมีโจวซินฉี ทุกคนล้วนบุกเข้าใส่สำนักธาราโลหิต
รวมไปถึงสัตว์รบจำนวนนับไม่ถ้วนของชายฝั่งทิศเหนือที่พากันคำรามเดือดดาล เสียงดังก้องไปสี่ทิศ เมื่อพวกมันบินขึ้นจึงกลายมาเป็นกระแสสัตว์ ทำให้คนมองหวาดผวาพรั่นพรึง ขณะเดียวกันมังกรนิลเขาสวรรค์ก็แผดเสียงก้อง พ่นเปลวเพลิงสีดำราวกับน้ำตกออกมาจากปาก แปลงให้ท้องนภาครึ่งหนึ่งกลายมาเป็นทะเลเพลิง
บนพื้นดิน ยักษ์ค่ายกลมากมายของสำนักธาราเทพ แต่ละตนคำรามเสียงแหบปร่าเดินออกมาปะทะเข้ากับกองทัพใหญ่ของสำนักธาราโลหิตโดยตรง อีกทั้งอาวุธวิเศษที่ใช้ในการทำสงครามของทั้งสองฝ่ายที่บัดนี้สั่งสมพลังมาพร้อมแล้วต่างก็ส่งเสียงดังครั่นครืน
บนนภากาศที่อยู่สูงออกไป ดวงอาทิตย์สีขาวของสำนักธาราเทพกับหุ่นไล่กาของสำนักธาราโลหิตต่างก็แผ่คลื่นน่าสยดสยองออกมา
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนขมขื่น เขามองสองฝ่ายที่เปิดศึกกัน มองเห็นว่าขนาดตัวเองยอมเปิดเผยตัวตนของบุตรโลหิตก็แล้ว ทว่ากลับยังคงมิอาจหยุดยั้งสงครามได้ มองเห็นคนที่ตัวเองคุ้นเคยเข่นฆ่าประหัตประหารกันเอง ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้หัวใจของเขาคล้ายถูกฉีกกระชาก
“ทำไมจะต้องรบกันให้ได้ด้วย…ทั้งๆ ที่ไม่ต้องรบก็ได้ เป็นเพราะข้าไม่มีฝีมือมากพออย่างนั้นหรือ…ดังนั้นคำพูดของข้าจึงไม่มีใครเลือกที่จะเชื่อ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำ มองภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเขาก็ประจักษ์แจ้งว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความสามารถไร้เทียมทานอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลสำคัญต่อสำนักทั้งสอง แต่กลับไม่ได้สำคัญถึงขนาดมีอิทธิพลต่อสงครามใหญ่ที่ส่งผลถึงความเป็นความตายครั้งนี้
และเขาก็ต้องมองเห็นกับตาตัวเองว่า ในสองสำนักนี้ จะต้องมีสำนึกหนึ่งถูกอีกฝ่ายดับทำลายจนย่อยยับ แล้วเขาก็ต้องเห็นคนที่ตัวเองคุ้นเคยถูกคนอีกคนที่ตัวเองคุ้นเคยฆ่าตาย
“ข้าบอกแล้วว่าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าสู้กันต่อ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น เวลานี้เขาไม่มีหนทางให้ย้อนกลับอีกแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการหนทางที่ว่านั้นด้วย ภายใต้ตบะทั้งหมดที่ระเบิดออก เขาพลันบินออกมา…ปรากฏอยู่ตรงกลางระหว่างสมรภูมิรบของสองสำนักอีกครั้ง!
เสียงของเขากลายมาเป็นเสียงฟ้าคำรณ ดังเลือนลั่นแผ่ขยายไปสี่ทิศ มีคนส่วนหนึ่งลังเล ทว่าคนส่วนมากกลับไม่แยแส ซ่งเชวียยิ่งหัวเราะเสียงเย็น ในใจเย้ยหยัน
เสินซ่วนจื่อก็ดี เจี่ยเลี่ยก็ช่าง บัดนี้เมื่อสติฟื้นคืนกลับมาจากความสะท้านสะเทือนก่อนหน้านี้ พอมองเห็นอังคุฐโลหิตของสำนักร่วมมือกันลบล้างพลานุภาพสยบบุตรโลหิตของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกาย ความคิดมากมายในใจพลันก่อตัวขึ้น
มีซ่งจวินหว่านคนเดียวเท่านั้นที่เงียบงัน ไม่ได้ลงมือ มีเพียงความเศร้าอาดูรในดวงตาที่พอน้ำตาหยุดไหลก็ยิ่งฉายชัดถึงความกลัดกลุ้มลึกล้ำ
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ข้าบอกว่า…ไม่อนุญาตให้พวกเจ้ารบกันต่อ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดัง สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขัดขวางการเข่นฆ่าของคนสองกลุ่มข้างกาย น้ำเสียงแหลมดังบาดแก้วหู ทั้งยังมากด้วยความคลุ้มคลั่ง
ดวงตาทั้งคู่ของเขากลายมาเป็นสีชาด เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ การกระทำของเขาก็ยังคล้ายโยนหินก้อนเล็กลงไปในบ่อน้ำ แม้จะเกิดระลอกคลื่นส่วนหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถเขย่าคลอนผิวน้ำทั้งหมดได้
“จั้งเอ๋อร์ อย่าทำตัวเหลวไหล ในเมื่อสถานะของเจ้าเปราะบางก็รีบออกไปจากสนามรบซะ ไม่ต้องเข้าร่วมแล้ว สงครามครั้งนี้ เจ้า…ทำอะไรไม่ได้หรอก” บุรพาจารย์ตระกูลซ่งถอนหายใจเสียงเบา ขณะที่เอ่ยปากก็ยิ่งประมือกับเถี่ยมู่เจินเหรินดุเดือด
“เสี่ยวฉุน ในเมื่อสำนักธาราโลหิตดึงดันจะทำสงครามให้ได้ เจ้าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ความตั้งใจของเจ้า ข้าผู้อาวุโสเข้าใจ เจ้ารีบกลับไปที่เทือกเขาลั่วเฉินซะ ไม่ต้องเข้าร่วม”
ส่วนลึกในจิตใจบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพก็ถอนหายใจเช่นกัน ขณะที่เอ่ยปาก ขอบเขตการประมือกับปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตผู้นั้นที่เงียบงันตลอดเวลายิ่งขยายใหญ่ ถึงกระทั่งต่างเริ่มเอาอาวุธวิเศษออกมาใช้กันแล้ว
เสียงกึกก้องดังสะเทือนฟ้าดิน คลื่นเป็นชั้นๆ แผ่ขยายออกไปทั่ว ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม มองการเข่นฆ่ามากมายที่เกิดขึ้นรอบด้าน ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น เขารู้ว่าเรื่องที่ตัวเองจะทำต่อไปนี้จะเป็นการทำร้ายสำนักธาราโลหิตอย่างสาหัส สมองของเขามีภาพเหตุการณ์มากมายตอนที่ตัวเองอยู่ในสำนักธาราโลหิตลอยขึ้นมา ทว่าเขาอับจนหนทางแล้วจริงๆ
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ เผยความเด็ดเดี่ยว แหงนหน้าแผดเสียงคำรามแหบพร่ารวดร้าว
เสียงคำรามนี้แฝงเร้นไว้ด้วยคลื่นตบะทั้งหมดของเขา แฝงเร้นไว้ด้วยความแข็งแกร่งของวิชาอมตะมิวางวาย ทั้งยิ่งแฝงเร้นไว้ด้วยความบ้าคลั่งที่บัดนี้ได้ไต่ไปถึงขีดสุดของป๋ายเสี่ยวฉุน
ปราณเลือดบนร่างของเขาพลันระเบิดทะลักทลายออกมาในนาทีนี้ ท่ามกลางเสียงตูมๆๆ ดังก้อง สำแสงปราณสีเลือดลำหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนที่คล้ายจะครอบคลุมไปด้วยพลานุภาพสูงส่งเกินทัดเทียมพลันดังสะท้อนออกไป
“สำนักธาราโลหิต จงกลับไปซะ!!” วินาทีที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา มือขวาของเขาก็ยกขึ้นแล้วกดลงไปยังสำนักธาราโลหิต
การกดครั้งนี้ ฟ้าดินสั่นไหว ลำแสงสีเลือดบนร่างของเขาอยู่ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปอีกหลายสิบหลายร้อยเท่า เสียงอึกทึกสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งปฐพี ท่ามกลางการขยายขนาดอย่างต่อเนื่องของลำแสง พริบตาเดียวมันก็กลายมาเป็นหนึ่งเดียวบนสนามรบแห่งนี้!!
นภากาศเคลื่อนคลอน ก่อเกิดเป็นน้ำวนสีเลือดขนาดยักษ์หนึ่งลูก น้ำวนนี้หมุนโคจรครั่นครืน แล้วจึงกลายมาเป็นมือสีเลือดขนาดมหึมาเกินจะเปรียบยากที่จะพรรณนาได้ข้างหนึ่ง มือยักษ์นี้เข้ามาแทนที่ท้องฟ้า วินาทีที่ปรากฏขึ้นกลับทำท่าทางเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือกดทับลงไปบนร่างทุกคนของสำนักธาราโลหิตอย่างแรง!
พลานุภาพไร้คำบรรยายระลอกหนึ่งพลันเผยตัวออกมาจากมือสีเลือดมโหฬารข้างนั้น แล้วตรงเข้าบีบบังคับทุกคนทันที
บัดนี้มีหลายคนที่สังเกตเห็นมือใหญ่บนท้องฟ้า บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตพอมองเห็นมือใหญ่นั้น รวมไปถึงปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตผู้นั้นที่เงียบงันมาตลอดเวลา ชั่วขณะที่เห็น สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนแปลงมหาศาล
เมื่อมือใหญ่กดทับลงมา ร่างนักพรตทุกคนของเขาเส้าเจ๋อเฟิงแห่งสำนักธาราโลหิตสั่นสะท้านรุนแรงอย่างกะทันหัน แต่ละคนสีหน้าซีดเผือด เผยความตะลึงพรึงเพริด พวกเขาค้นพบทันทีว่าวิชาที่ตัวเองฝึกฝนกลับเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย คล้ายมีตราผนึกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกำลังกดทับเข้ามาในร่างของพวกเขา!
พริบตาเดียว พลังในการรบของนักพรตตลอดทั้งเขาเส้าเจ๋อเฟิงกลับถูกฝืนข่มทับไปถึงครึ่งหนึ่ง!
ไม่เพียงแต่เขาเส้าเจ๋อเฟิงเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ เขาซือเฟิง เขาจงเฟิง เขาอู๋หมิงเฟิง นักพรตทุกคนที่อยู่ในสำนักธาราโลหิตล้วนร้องอุทานด้วยความแตกตื่น ทุกคนร้องเสียงหลง ทุกคนตะลึงลาน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน…”
“ตบะของข้าไม่มั่นคง!!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร นี่…ตบะถึงกับถูกปิดผนึก!!”
เสียงอุทานตื่นตะลึงดังไปทั่วสนามรบเป็นระลอก ไม่เพียงแต่นักพรตเท่านั้น แม้แต่ศพหลอม หัวปีศาจ กระบี่โลหิต บัดนี้ล้วนถูกยับยั้งทั้งหมด เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังออกมาไม่ขาดสาย แม้แต่เมฆโลหิตบนท้องฟ้าก็ยังมืดสลัวลงไปครึ่งหนึ่ง
มหาสมุทรโลหิตบนพื้นดินโรยราลงไปครึ่งหนึ่งเช่นกัน
ต่อให้เป็นบุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยังจิตใจสะท้านหวั่นไหว พวกเขาค้นพบด้วยความพรั่นพรึงว่า ต่อให้เป็นตบะของพวกเขาเองก็ยังถูกยับยั้งไม่ต่างกัน
ราวกับว่านี่ก็คือการยับยั้งจากต้นกำเนิด นี่คือการข่มทับที่มิอาจต่อต้านได้!
นักพรตทุกคนที่อาศัยเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตบำเพ็ญตบะ ล้วนมิสามารถหลีกเลี่ยง…คาถาสยบนี้ได้!!