บทที่ 298 ผู้อาวุโสจระเข้ทอง ท่านฟังข้าพูดก่อน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำไปหมด บินทะยานเผ่นหนีสุดชีวิต ปีกด้านหลังพัดกระพือรัวเร็ว พลังอันแข็งแกร่งของร่างปีศาจฟ้าบัดนี้ก็ได้ระเบิดออกเช่นกัน
ความเร็วของเขาที่ทะยานออกไปนั้นทำให้แทบจะมองไม่เห็นเป็นรูปร่าง เห็นเป็นเพียงรุ้งยาวเส้นหนึ่ง พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล
“ไม่ใช่ข้าจริงๆ นะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนดังลั่นด้วยความทุกข์ระทม ทว่าจระเข้สีทองที่อยู่ด้านหลังเขากลับเร็วยิ่งกว่า พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ ทำให้รอบด้านของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นสีทองทั้งหมด
“ผู้อาวุโสจระเข้ทอง ท่านฟังข้าอธิบายก่อน…ข้าเองก็เกลียดเจ้าเต่าน้อยนั่นเหมือนกัน พวกเราไม่ใช่ศัตรูกัน พวกเรา…ศัตรูของพวกเราต่างก็คือเจ้าเต่าน้อยสมควรตายนั่นต่างหาก” หนังหัวของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะระเบิดออก ตกใจจนตัวสั่นไปหมด รีบพูดอธิบาย ทว่าจระเข้สีทองตัวนั้นกลับคำรามฮึ่มฮั่มเข้าใส่
เสียงคำรามนี้ดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า เพิ่งจะดังขึ้นก็ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบือนทันที ฟ้าดินสั่นสะเทือน ดังจนป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบหูหนวก กรีดร้องโหยหวนหนึ่งครั้งแล้วระเบิดความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะหนีไปได้ไกลนัก จระเข้สีทองที่คำรามอยู่ด้านหลังเผยความเย็นเยียบออกมาทางดวงตา แล้วอ้าปากออกกว้าง ปากของจระเข้นั้นราวกับเข้ามาแทนที่ฟ้าดินทั้งหมด ทำให้ท้องฟ้าเหนือร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนดำมืดกะทันหัน ส่วนพื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ดำมืดเช่นกัน…
กลิ่นคาวที่มิอาจบรรยายได้ระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วก็ก้มหน้ามองพื้นดิน ตลอดร่างของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านรุนแรง เปล่งเสียงหวนไห้รวดร้าว
ภาพนี้ เมื่อมองไกลๆ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า จระเข้สีทองตัวใหญ่พอหมื่นจั้งตัวนั้น เวลานี้กำลังอ้าปากกว้าง และป๋ายเสี่ยวฉุน…อยู่กลางปากของมัน!
เมื่อเทียบกับจระเข้ตัวมหึมาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับแมลงเล็กๆ ตัวหนึ่ง…
พริบตาเดียว ปากของจระเข้สีทองนั้นก็งับเข้าหากัน หมายจะกลืนป๋ายเสี่ยวฉุนลงไปในคำเดียว ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำ เจอวิกฤตการณ์คับขันอย่างนี้ เขาจึงร่ายชนาเขย่าภูเขาออกมาโดยตรง ขณะที่ปากใหญ่ของจระเข้กำลังจะปิดสนิท เขาจึงอาศัยพลังโจมตีของวิชาลับนี้พุ่งพรวดออกไปแบบจวนเจียนเต็มที
เสียงกร๊อบดังลั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าใจของตัวเองแทบจะกระดอนออกมา เสียงกัมปนาทที่ดังมาจากด้านหลังนั้นดุจดั่งบดขยี้โลกใบนี้ให้แหลกเป็นผุยผง คราวนี้เขาจะร้องไห้จริงๆ แล้ว น้ำตารื้นขึ้นมาคลอหน่วย
สำหรับเจ้าเต่าน้อยที่ไปหาเรื่องจระเข้ตัวนี้แล้วมาใส่ร้ายตนนั้น เขาเกลียดมันเข้ากระดูกดำไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะหาอีกฝ่ายในถุงเก็บของไม่เจอ เขาจะต้องลากตัวเจ้าเต่านั่นออกมาส่งเข้าปากจระเข้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
“พวกเราไม่ใช่ศัตรูกันจริงๆ นะ ข้า ข้า…ใช่แล้ว ข้าก็หลอมรวมน้ำของแม่น้ำทงเทียนเหมือนกัน เจ้าดูสิ บนร่างของข้าก็มีปราณแม่น้ำทงเทียนเหมือนกันนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบระเบิดปราณคาถาลมปราณม่วงทงเทียนออกมาพร้อมร่างที่สั่นงันงก พยายามทำให้จระเข้ยักษ์ตัวนั้นเข้าใจว่าเขาเป็นพวกเดียวกับมัน…
บางทีปราณแม่น้ำทงเทียนบนร่างของเขาอาจจะใช้ได้ผลจริง แทบจะวินาทีเดียวกับที่คาถาลมปราณม่วงทงเทียนนั้นส่งคลื่นออกมา จุดลึกในดวงตาของจระเข้ทองตัวนั้นเผยประกายแปลกประหลาด หยุดชะงักน้อยๆ
ฉวยโอกาสที่มันหยุดชะงักชั่วครู่นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนบินทะยานอย่างไม่คิดชีวิต ในที่สุดก็เว้นระยะห่างได้อีกช่วงหนึ่ง หอบหายใจฮักๆ หน้าตาบูดบึ้ง ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะหายใจหายคอคล่อง ดวงตาของจระเข้สีทองตัวนั้นก็เปล่งแสงวาบขึ้นอีกครั้ง แล้วพุ่งเข้าใส่ อ้าปากออกกว้าง ทว่าคราวนี้คล้ายจะอ้ากว้างยิ่งกว่าเดิม
หลังจากที่ลมคาวโชยขึ้นอีกรอบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทุ่มสุดตัวพร้อมเสียงร้องโหยหวน ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วพลันเปิดออก พลังของเนตรทงเทียนบัดนี้ระเบิดถึงขีดสุดแล้วหันขวับไปมองที่จระเข้สีทอง
การมองครั้งนี้ทำให้เขาอึ้งตะลึง ภายใต้เนตรทงเทียน สิ่งที่เขามองเห็นไม่ใช่จระเข้…แต่เป็นคลื่นระลอกหนึ่งที่เกิดจากการแปลงกายของแม่น้ำทงเทียน หรือถึงขั้นมองเห็นเป็นแม่น้ำทงเทียนด้วยซ้ำ!
ทว่าเมื่อกะพริบตา ภาพที่ปรากฏในดวงตาก็เปลี่ยนไป ที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่แม่น้ำทงเทียนอีกแล้ว แต่กลายมาเป็นจระเข้สีทองอีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลาให้คิดเยอะ พลังควบคุมของเนตรทงเทียนระเบิดออกทุกด้าน ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น เมื่อปากใหญ่โตของจระเข้สีทองตัวนั้นหุบลงเข้าหากันเป็นครั้งที่สอง เขาจึงหนีออกไปได้อย่างหวุดหวิด
แม้ว่าจะพุ่งตัวออกไปได้ ทว่าเมื่อจระเข้สีทองปิดปากลง ลมพายุรุนแรงระลอกหนึ่งพลันระเบิดออก ม้วนตลบให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายโงนเงน สีหน้าของเขาซีดขาว เผ่นหนีต่อด้วยความบ้าคลั่ง
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่รู้ว่าจระเข้สีทองตัวนั้นคิดอะไรอยู่ แม้ว่าจะไล่ตามต่อเนื่อง ทว่ากลับไม่ได้มีเจตนาจะคร่าชีวิตจริงๆ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่มันอ้าปากก็ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนเหงื่อเย็นๆ เปียกโชกไปทั้งศีรษะ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีจิตสังหารรุนแรงเท่าไหร่นัก คล้ายว่า…กำลังหยอกล้อตนเล่นมากว่า…มิฉะนั้น ทุกครั้งที่มันหุบปากคงไม่มีลมพายุพัดร่างของตนให้ห่างออกไปไกล
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีไอสังหารดุเดือด ทว่าหากเขาหลบช้ากว่านี้อีกนิดก็ยังต้องถูกเขมือบกลืนลงท้องอยู่ดี…ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างถึงขีดสุด เขารู้สึกว่าเมื่อตัวเองเปรียบเทียบกับจระเข้ตัวนี้ เห็นชัดๆ ว่าเขายังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง สิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารเช่นนี้มาเล่นกับตน…หากไม่ระวังขึ้นมา ชีวิตน้อยๆ ของตนย่อมหายไปแน่นอน
“หยุดเล่นเถอะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยคอตก ร้องคร่ำครวญขึ้นมา เขากลัวว่าตัวเองจะถูกเล่นจนตายจริงๆ…
ขณะที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด จระเข้สีทองตัวนั้นก็อ้าปากกว้างอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนขวัญหนีดีฝ่อ ใจอยากจะหนีออกไปให้พ้นปากของมัน ทว่าความเร็วยังคงช้าไป ได้แต่มองวิกฤตอันตรายมาเยือน ทว่าทันใดนั้นมังกรน้ำตัวหนึ่งกลับบินออกมาจากในลำคอของจระเข้แล้วพุ่งเข้าชนร่างของเขาให้กระเด็นออกไปอย่างแรง
นี่ไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นน้ำของแม่น้ำทงเทียน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ร่างและจิตวิญญาณย่อมแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีไปในชั่วพริบตา ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนแม้ว่าจะฝึกคาถาลมปราณม่วงทงเทียน ปรับตัวเข้ากับแม่น้ำทงเทียนได้มากกว่าคนอื่นอยู่เยอะมาก ทว่าพริบตานั้นอาภรณ์ตลอดร่างก็ยังละลายไปเกินครึ่ง ยังดีที่เนื่องจากถุงเก็บของทำมาจากวัสดุที่ต่างออกไป ไม่เสียหายรุนแรงมากนัก จึงยังเก็บรักษาเอาไว้ได้
แต่ร่างกายเขาก็ยังปวดแสบปวดร้อน หลังจากถูกผลักออกมาจากในปากของจระเข้ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เขาก็ยืนเปลือยโล่งโจ้ง ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าใจ รีบเปลี่ยนชุดใหม่ทันที ทว่าเพิ่งจะเปลี่ยนเสร็จก็มีมังกรน้ำอีกตัวราดรดลงมา
เสียงร้องของป๋ายเสี่ยวฉุนเศร้ากำสรด ภายใต้แรงกดดันนี้ พลังแฝงมากมายในร่างของเขาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกบีบให้แสดงออกก็ได้ค่อยๆ ปะทุขึ้นมา ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือคาถาลมปราณม่วงทงเทียน ซึ่งโคจรเร็วจี๋อยู่ตลอดเวลา ดูดซับเอาน้ำของแม่น้ำทงเทียนมาอย่างต่อเนื่อง
และภายใต้การกดดันนี้ยังทำให้มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่เจ็ดในร่างของเขาค่อยๆ เริ่มก่อตัวเป็นผลึก
การไล่ล่าครั้งนี้ไม่ได้กินเวลานานนัก ผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้น ภายใต้ความเร็วสูงสุดของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งแนวหน้าที่เขาอยู่ในตอนนี้ก็ห่างจากสมรภูมิรบศึกสุดท้ายของสามสำนักไม่ไกลมากนัก
เมื่อเช้าตรู่ของวันที่สองมาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมองเห็นเทือกเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักธาราทมิฬ รวมไปถึงเมืองคูน้ำที่อยู่ตรงกลางเทือกเขานั่นได้ไกลๆ
และยังมีกองทัพใหญ่ของเทพโลหิตสองสำนักที่เวลานี้กำลังพุ่งเข้าสังหารไปยังเมืองคูน้ำ ท้องฟ้าส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรง คลื่นเวทคาถาห้าแสงสิบสี ระยิบระยับบาดตา ทั้งยังมีพลังโจมตีที่แผ่กระจายออกไปรอบด้าน
จระเข้สีทองไม่ได้ไล่ตามต่อ การปรากฏตัวของมันทำให้บนสนามรบมีเสียงฮือฮาดังลอยมาเป็นทอดๆ โดยเฉพาะบุรพาจารย์สามสำนักที่อยู่กลางอากาศซึ่งกำลังประหัตประหารกัน เวลานี้ก็ยังใจสั่นเยือก ตอนที่มองมายังจระเข้จึงมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย
จระเข้สีทองที่อยู่บนท้องฟ้ามองพื้นดินด้วยสายตาเย็นเยียบหนึ่งครั้ง สีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชา ราวกับว่าไม่สนใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ก้มหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำอีกครั้งถึงได้สะบัดร่างแล้วหายวับไปไม่เหลือเงา
มองเห็นว่าในที่สุดจระเข้ยักษ์สีทองก็จากไปได้เสียที ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจจนน้ำตาไหลพราก หนึ่งวันที่ผ่านมานี้สำหรับเขาแล้วถือเป็นความเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ภายใต้การเล่นด้วยของอีกฝ่าย เขายังถึงขั้นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกแทะโลมด้วยซ้ำ…
เวลานี้สูดลมหายใจเข้าลึก สำหรับความเกลียดชังที่มีต่อเจ้าเต่าน้อยและจระเข้ตัวนี้ ได้แทรกซอนลงลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจไปแล้ว ขณะที่กำลังร้องร่ำรำพันอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันอึ้งงัน
“เอ๊ะ?” เมื่อเขามองร่างของตัวเองอย่างละเอียดก็ต้องตะลึงระคนดีใจขึ้นมาทันควัน เขาพบว่าวิชาอมตะมิวางวายของตัวเองคล้ายจะพัฒนาไปไม่น้อย โดยเฉพาะคาถาลมปราณม่วงทงเทียนที่ราวกับผ่านการชุบหลอมมาหนึ่งรอบ อีกทั้งมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่เจ็ดในร่างกายก็ตกผลึกไปแล้วเกินครึ่ง
ทั้งหมดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพอใจปลอบใจตัวเองได้บ้าง แต่เมื่อนึกถึงค่าตอบแทนที่แลกมาด้วยข้อดีเหล่านี้ เขาก็ไม่คิดอยากมีประสบการณ์อีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้จึงถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมองด่านใหญ่ยักษ์รวมไปถึงสมรภูมิรบที่อยู่ห่างออกไปไกล
บนสนามรบ สำนักธาราทมิฬอาศัยเมืองคูน้ำโจมตีกลับอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังมีหุ่นเชิดขนาดยักษ์ที่สวมชุดเกราะสีเขียวมากมาย ดุจดั่งหุ่นไม้ที่มีกลไก มีนักพรตหลายคนของสำนักธาราทมิฬคอยควบคุม ตรงเข้าพิฆาตสังหารศัตรู
ยักษ์ค่ายกลของสำนักธาราเทพกำลังคำรามเสียงแหบพร่า บุกขึ้นหน้าไปอย่างบ้าระห่ำ ลงมือต่อเนื่อง ยักษ์ขนาดเล็กใหญ่มากมายเหล่านั้น ทุกครั้งที่ลงมือล้วนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
ส่วนสำนักธาราโลหิตกลับใช้กลยุทธ์การรบแบบตั๊กแตน มักจะขว้างลูกกลมยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของคนจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปปะทะบนร่างของหุ่นเชิดเกราะเขียวของสำนักธาราทมิฬ เมื่อปกคลุมไว้ได้ก็กลายร่างมาเป็นภูเขาเลือดขนาดมหึมา กระจายตัวออกจากกันเมื่อใด ปราณเลือดโหมซัดสาด กลิ่นอายความตายตลบอบอวล
เมื่อมองไป ลูกกลมยักษ์มากมายที่บินขึ้นแล้วร่วงลงพื้นมักจะตามมาด้วยยอดเขาโลหิตที่ผุดขึ้นลูกแล้วลูกเล่าอย่างต่อเนื่อง
กลางอากาศ ลำดับผู้สืบทอดของสองฝ่าย ผู้อาวุโสไท่ซ่างเปิดศึกกันไม่หยุดพัก จุดที่อยู่สูงขึ้นไปอีก บุรพาจารย์ของทั้งสามสำนักใหญ่ต่างก็กำลังลงมือต่อกัน นภากาศสั่นไหว โลกทั้งใบส่งเสียงกึกก้อง
และที่ตั้งเมืองคูน้ำของสำนักธาราทมิฬก็มีค่ายกลแข็งแกร่งปกคลุม แถมรอบด้านยังจัดว่างค่ายกลจำนวนเหลือคณานับ ป้องกันหนาแน่น อีกทั้งระหว่างฟ้าดินยังมีกระบี่เล่มใหญ่มากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่
บนกระบี่ใหญ่ทุกเล่มล้วนมีลูกศิษย์อยู่หนึ่งคน กระบี่ใหญ่พวกนี้เต็มพรืดไปทั่วแปดทิศ คล้ายรวมตัวกันขึ้นมาเป็นค่ายกลกระบี่ขนาดมโหฬาร แปลงเป็นตาข่ายกระบี่ และหากกระบี่สองเล่มตัดสลับเข้าด้วยกันเมื่อใด ก็คือมหันตภัยคร่าชีวิตครั้งหนึ่ง!
เมื่อกระบี่ใหญ่สิบเล่มขึ้นไปคำรามออกมา พลังอำนาจพลันลุกโหม และจุดที่เกิดจากการตวัดฟันสลับกันของกระบี่หลายสิบเล่มไปจนถึงร้อยเล่มก็คือท่าไม้ตายที่เกิดจากฝีมือของนักพรตสร้างฐานราก ซึ่งแม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ยังหวั่นเกรง