Skip to content

A Will Eternal 3

บทที่ 3 ความจริงหกประการ

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยื่นหน้าออกไป ชายหนุ่มหน้าเหลืองผอมแห้งก็มองเห็นได้ในทันที สายตามาตกอยู่บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ท่าทางโกรธขึ้งดุดัน

“เจ้าเองเรอะที่มาแทนที่ชื่อข้า!”

“ไม่ใช่ข้านะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหดหัวกลับเข้าไปก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงรีบแสร้งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้

“เหลวไหล เจ้าผอมขนาดนี้ เห็นชัดๆ ว่าเพิ่งมาใหม่!” สวีเป่าไฉกำหมัดแน่น มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความโกรธแค้น

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอีกฝ่ายเดือดดาลจนคล้ายจะระเบิดออกมา ก็รู้สึกลำบากใจ พูดเสียงเบา

“ข้าไม่สน สามวันให้หลัง ที่เนินเขาทิศใต้ของสำนัก เจ้ากับข้ามาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกัน หากเจ้าชนะ ความแค้นครั้งนี้ข้าจะทนกล้ำกลืนลงไป หากเจ้าแพ้ ตำแหน่งนี้ต้องตกเป็นของข้า” สวีเป่าไฉเอ่ยเสียงดัง ควักจดหมายเลือดแผ่นหนึ่งออกมาจากหน้าอก โยนตรงลงมาบนหน้าต่างด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ด้านบนนั้นเขียนอักษรอาฆาตสีเลือดนับไม่ถ้วนแน่นขนัด

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองจดหมายเลือดแผ่นนั้น เห็นอักษรอาฆาตที่เขียนด้วยเลือดมากมายซึ่งอยู่ด้านบน รู้สึกได้เพียงแค่ไอสังหารที่กระโจนเข้ามาตรงหน้า ในใจหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าต้องการต่อสู้ตัดสินเป็นตายก็ยิ่งหวาดผวากว่าเดิม

“ศิษย์พี่ นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ถึงกับต้องใช้เลือดของตัวเองเขียนอักษรมากมายขนาดนี้…เจ็บมากเลยนะนั่น”

“เรื่องใหญ่แค่ไหน? หา หลายปีมานี้ข้ากินอยู่จำกัดจำเขี่ย เก็บออมหินวิเศษมาเจ็ดปี เจ็ดปีเชียวนะ เจ็ดปีเต็ม!! ต้องนำไปมอบให้กับผู้ควบคุม ถึงแลกเอาคุณสมบัติในการเข้าครัวไฟมาได้ แต่กลับมาถูกเจ้าเข้าแทรก เจ้าและข้ามิอาจอยู่ร่วมโลกกัน สามวันให้หลัง ไม่เจ้าก็ข้าที่ต้องตายกันไปข้าง!” สวีเป่าไฉโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กัดฟันพูด

“ข้าไม่ไปหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบใช้ปลายนิ้วคีบจดหมายเลือดขึ้นมา โยนออกไปนอกขอบหน้าต่าง

“เจ้า!” สวีเป่าไฉกำลังจะสาดอารมณ์ ก็รู้สึกได้ถึงแรงสะเทือนของพื้นดิน ข้างกายมีภูเขาเนื้อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก ไม่รู้ว่าจางต้าพั่งมายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังใช้สายตาเย็นชามองประเมินสวีเป่าไฉ

“จิ่วพั่ง ไปล้างถ้วยกับศิษย์พี่สองของเจ้า ส่วนเจ้า อย่ามาเอะอะโวยวายที่นี่อีก ไปเล่นที่อื่นไป๊” เพียงจางต้าพั่งสะบัดมือ เสียงลมก็พัดวืดขึ้นมา

สวีเป่าไฉหน้าเปลี่ยนสี ถอยหลังหลายก้าวติดๆ กัน คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นจางต้าพั่งจึงข่มกลั้นเอาไว้ สุดท้ายเลยมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอาฆาตแค้นหนึ่งที ถึงได้ยอมจากไปด้วยความคับแค้นใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมาคิดๆ ดู รู้สึกว่าสายตาตอนที่อีกฝ่ายจากไปอำมหิตมาก เมื่อครุ่นคิดดีแล้ว จึงตัดสินใจว่าตนเองไม่ควรออกไปนอกครัวไฟตามใจชอบจะดีกว่า อยู่ในนี้อีกฝ่ายไม่น่าจะกล้าเข้ามา

แผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปหลายวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับงานของฝ่ายครัวไฟได้ ตอนกลางคืนก็ฝึกฝนวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง น่าเสียดายที่พัฒนาการเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงลมหายใจที่สี่ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก

คืนนี้ขณะที่เขากำลังฝึกฝน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจจากศิษย์พี่ตัวอ้วนทั้งหลายในฝ่ายครัวไฟลอยมาจากด้านนอก

“ปิดประตู ปิดประตู หวงเอ้อพั่ง รีบไปปิดประตูเร็วเข้า!”

“เฮยซานพั่ง รีบไปตรวจดูรอบๆ สิว่ามีใครแอบดูอยู่หรือเปล่า!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไป คราวนี้เขาฉลาดขึ้นมาแล้ว ไม่มองทางหน้าต่าง แต่แอบมองลอดช่องว่างตรงประตู เห็นแค่เพียงว่าเจ้าอ้วนหลายคนที่อยู่ด้านนอกเคลื่อนไหวปราดเปรียวเกินจะเปรียบ ก้าวเท้าประหนึ่งจะบินอยู่ในลานกว้าง ท่าทางมีลับลมคมใน วุ่นวายกันไปหมด

ไม่นาน ประตูใหญ่ของครัวไฟก็ถูกปิดแน่นสนิท รอบทิศก็ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใครที่ใช้วิทยายุทธ์ทำให้เกิดหมอกควันบางๆ ขึ้นมาหนึ่งชั้น พาให้บนร่างกายของเหล่าคนอ้วนยิ่งดูลึกลับเข้าไปอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอยู่นาน จนกระทั่งมองเห็นว่าคนอ้วนเหล่านั้นไม่เดินสวนกันไปมาอีก แต่มายืนล้อมกันอยู่หน้ากระท่อมหลังหนึ่งด้วยท่าทางลึกลับซับซ้อน ต่อให้มีหมอกกั้นขวางเอาไว้ เขาก็ยังคงมองเห็นร่างกายอันมโหฬารของจางต้าพั่งได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนเขากำลังพูดอะไรเสียงเบาอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกว่าเรื่องที่เป็นความลับ ตัวเองรู้ให้น้อยไว้จะดีกว่า ดังนั้นจึงก้าวถอยออกมา พยายามทำทีว่าตัวเองไม่เห็นอะไร

แต่เสียงจางต้าพั่งกลับดังลอยมาในเวลานี้

“จิ่วพั่ง เจ้าเห็นหมดแล้ว ยังไม่รีบมานี่อีก” เสียงไม่ถือว่าดังนัก เหมือนจงใจกดให้เบาลง

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา ใบหน้าเผยความไร้เดียงสาอย่างคนไร้พิษสงแล้วเดินออกมาข้างนอก

เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ จางต้าพั่งก็เอื้อมมือออกมาคว้าเอาป๋ายเสี่ยวฉุนไปยืนอยู่ข้างกาย ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนล้อมเป็นวงอยู่กับเจ้าอ้วนหลายคนข้างกาย ได้กลิ่นที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาในทันที เมื่อสูดดมเข้าไปในโพรงจมูก ก็กลายเป็นกระแสอากาศอบอุ่นจำนวนนับไม่ถ้วน หลอมละลายไปทั่วร่างกาย

พอมองไปที่คนอื่นๆ ต่างล้วนเผยสีหน้าสดชื่นเบิกบานออกมา ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุก เห็นในมือของจางต้าพั่งถือเห็ดหลินจือขนาดใหญ่เท่าหัวเด็กทารกไว้หนึ่งชิ้น เห็ดหลินจือชิ้นนี้โปร่งใสแวววาว แค่มองก็รู้ได้ว่าไม่ใช่เห็ดหลิน จือธรรมดาทั่วไป

“ศิษย์น้องเก้า มา กัดคำหนึ่งสิ” จางต้าพั่งมองหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ยื่นเห็ดหลินจือที่อยู่ในมือส่งไปให้ พูดด้วยเสียงหนาหยาบ

“อ๋า?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็ดหลินจือ แล้วก็มองศิษย์พี่อ้วนหลายคนที่อยู่ข้างกาย เห็นท่าทางลังเลของป๋ายเสี่ยวฉุน จางต้าพั่งก็โกรธขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทำท่าทางว่าหากเจ้าไม่กิน พวกเรามีเรื่องกันแน่

ไม่เพียงแต่เขาที่ทำท่าแบบนั้น หวงต้าพั่ง เฮยซานพั่งที่อยู่รอบกายก็มีท่าทางเดียวกัน จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย การที่เอาเห็ดหลินจือล้ำค่ามอบให้เขาง่ายๆ เหมือนเป็นแค่ขาไก่ ทั้งยังบีบบังคับให้เขาต้องกินให้ได้ หากไม่กินจะถึงขั้นมีเรื่องกันอย่างนี้ เขาเคยเจอมาก่อนแล้วในความฝัน แถมในชีวิตจริงยังจะหนีไม่พ้นอีก

หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นโครมๆ กัดฟันรับเอาเห็ดหลินจือมากัดลงไปแรงๆ หนึ่งคำใหญ่ เนื้อเห็ดหลินจือนั้นพอเข้าปากก็นิ่มละมุน หลังจากละลายไปทั่วร่างแล้ว ความรู้สึกสดชื่นเย็นสบายสุดคณานับก็เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้าอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงเห่อขึ้นมา

“ดี กินหลินจือร้อยปีที่ท่านผู้เฒ่าซุนเลือกมาว่าต้องใส่เข้าไปในน้ำแกงอันนี้แล้ว พวกเราก็กลายเป็นคนกันเองจริงๆ แล้ว” จางต้าพั่งเผยสีหน้าพึงพอใจ กัดกร้วมหนึ่งคำเล็ก แล้วจึงโยนให้กับเจ้าอ้วนคนต่อไป ทุกคนกัดกันกร้วมๆ ไม่นานคนทั้งวงก็กินเห็ดหลินจือชิ้นนั้นจนหมด พอมองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ก็เห็นว่าเผยรอยยิ้มของพวกเดียวกันออกมาเหมือนกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหัวเราะคิกคัก เข้าใจในทันทีว่านี่คือการคลุกคลีตีโมงทำชั่ว อีกอย่างศิษย์พี่เหล่านี้กินกันจนอ้วนก็ยังไม่เป็นอะไร คิดดูแล้ววิธีการกินแบบนี้คงปลอดภัย มิน่าล่ะสวีไฉเป่าคนนั้นถึงได้ส่งสาสน์ท้ารบ เขียนอักษรอาฆาตแค้นเขามากมายขนาดนั้น…

“ศิษย์พี่ หลินจืออันนี้อร่อยจริงๆ กินเข้าไปแล้วข้าร้อนไปทั้งตัวเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก มองไปทางจางต้าพั่งด้วยสายตาปรารถนา

จางต้าพั่งได้ยินประโยคนี้ตาก็เป็นประกาย หัวเราะเสียงดังฮ่าๆ ควักเอาอึ่งเจ็ง[1]หนึ่งชิ้นออกมาจากหน้าอกส่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างคนกล้าได้กล้าเสีย

“ศิษย์น้อง ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิว่าที่นี่น่ะดีแค่ไหน ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ไม่ได้หลอกเจ้าเห็นไหม กิน รับรองว่าต่อไปพออิ่มแน่!”

นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย รับมากัดคำใหญ่ เพิ่งจะกินเสร็จ จางต้าพั่งก็หยิบธัญพืชวิเศษออกมาอีกหนึ่งชิ้น ธัญพืชวิเศษชิ้นนี้มีสีทอง กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว

คราวนี้ไม่ต้องให้จางต้าพั่งบอก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบกัดกลืนลงไป รสเปรี้ยวหวานคละคลุ้งเต็มปาก ขณะที่ความสดชื่นกระจายไปทั่วตัว จางต้าพั่งก็หยิบผลไม้วิเศษสีแดงออกมาอีกหนึ่งชิ้น ผลไม้วิเศษชิ้นนี้รสหวานเลี่ยน ข้างในยังมีปราณสายบางหมุนเวียนอยู่

ดังนั้นในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นหลินจือเอย สมุนไพร ผลไม้วิเศษ ธัญพืชวิเศษเอย ป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนกินหมดทุกอย่าง เจ้าอ้วนคนอื่นอีกหลายคนก็ล้วนทำเช่นเดียวกัน กินไปกินมาจนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนเวียนศีรษะ ไม่ต่างจากคนเมา ร้อนรุ่มไปทั้งตัว ถึงขนาดที่ว่าบนศีรษะมีควันสีขาวลอยออกมา เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองอ้วนขึ้นมาอีกเท่าตัว

เนื่องด้วยการกินที่ไม่หยุดหย่อนของเขา สายตาของพวกจางต้าพั่งที่มองมาก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น จนสุดท้าย ต่างก็พากันตบท้องและหัวเราะขึ้นมา ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ได้คลุกคลีตีโมงทำเรื่องชั่วร่วมกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนมึนเมา กางแขนขาอ้าซ่า มือข้างหนึ่งตบลงไปบนท้องของจางต้าพั่ง เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่ด้านข้าง หัวเราะเสียงดังเหมือนคนอื่นๆ

“ฝ่ายอื่นของส่วนงานนักการเนี่ย เพื่อได้ตำแหน่งเป็นศิษย์นอกฝ่ายคนหนึ่ง ต้องตีกันหัวร้างข้างแตก ส่วนพวกเรา เพื่อทิ้งตำแหน่งศิษย์นอกฝ่ายคนหนึ่ง ก็ต้องตีกันหัวร้างข้างแตกเหมือนกัน ใครก็ไม่ยอมไป ใครจะอยากไปเป็นศิษย์นอกฝ่ายกันล่ะ อยู่ที่นี่ดีจะตายไป” จางต้าพั่งยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกถูกใจ พูดด้วยความภาคภูมิใจ แล้วก็หยิบโสมคนออกมาอีกหนึ่งชิ้น ส่วนหัวของโสมคนชิ้นนี้มีข้อต่อจำนวนนับไม่ถ้วน หนวดมากมายเบียดกันแน่น แค่มองก็รู้ได้ว่ามีอายุหลายปี

“ศิษย์น้องเก้า พวกเราทุกคนบำเพ็ญตบะจนสามารถเป็นศิษย์นอกฝ่ายได้ตั้งนานแล้ว แต่พวกเราต้องซ่อนตัวเอาไว้ ดูนี่สิ นี่คือโสมคนอายุร้อยปี ศิษย์นอกฝ่ายต้องตีกันหัวร้างข้างแตกถึงจะได้กินมันสักคำหนึ่ง แล้วเจ้าดูพวกเราสิ” จางต้าพั่งหักหนวดเส้นหนึ่งออกมา โยนเข้าไปในปาก หลังจากกลืนลงคอดังอึกๆ ไปแล้วก็ส่งโสมคนชิ้นนั้นให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

“ศิษย์พี่ ข้าอิ่มแล้ว…คราวนี้กินไม่ลงแล้วจริงๆ …” ดวงตาทั้งสองข้างของป๋ายเสี่ยวฉุนปรือปรอย เขายัดจนพุงกางแล้วจริงๆ ขณะที่กำลังเปิดปาก จางต้าพั่งก็ดึงหนวดอีกเส้นยัดเข้าไปในปากของเขาโดยตรง

“ศิษย์น้องเก้าเจ้าผอมเกินไปแล้ว ออกไปแบบนี้ ผู้หญิงในสำนักคนไหนจะชอบ คนในสำนักของเราชื่นชอบแต่คนที่ร่างกายสมบูรณ์น่าเกรงขามอย่างพวกศิษย์พี่ทั้งนั้น มา กินเข้า…ฝ่ายครัวไฟของเรามีกลอนคู่อยู่ท่อนหนึ่งบอกไว้ว่า ยอมหิวตายอยู่ในครัวไฟ ไม่ไปแก่งแย่งนอกฝ่ายงาน” จางต้าพั่งเรอออกมาหนึ่งที หยิบถ้วยเปล่าหนึ่งตั้งออกมาพลางชี้ไปที่กระท่อมด้านข้าง ที่นั่นแขวนกลอนคู่คู่หนึ่งเอาไว้

“ใช่ ใช่ พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่หิวกันจะตายอยู่แล้ว…อืม หิวกันจะตาย” มองที่กลอนคู่คู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนตบพุง และก็เรอออกมาเหมือนกัน

พวกจางต้าพั่งได้ยินแล้วก็พากันหัวเราะครื้นเครง รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ยิ่งน่ารักขึ้นเรื่อยๆ

“วันนี้มีความสุข ศิษย์น้องเก้าข้าจะบอกความรู้อย่างหนึ่งให้เจ้า ของที่ฝ่ายครัวไฟของเรากินเข้าไปล้วนพิถีพิถัน มีสูตรอยู่ประโยคหนึ่ง ศิษย์น้องเก้าเจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ไม้วิเศษกินริมขอบ ลำต้นห้ามแตะ หั่นเนื้อลงมีดแรง เลาะกระดูกเหลือสามส่วน โจ๊กวิเศษผสมน้ำให้มาก น้ำแกงหยกครึ่งถ้วยเล็ก”

“ความจริงหกประการนี้คือข้อสรุปหลายปีของผู้อาวุโส ขอแค่เจ้ากินตามหลักพวกนี้ รับรองว่าไม่เกิดเรื่องแน่นอน เอาล่ะ แยกย้ายกันเถอะ อาหารมื้อค่ำวันนี้จบแล้ว ลูกศิษย์นอกฝ่ายพวกนั้นยังรอดื่มน้ำแกงอยู่นะ” จางต้าพั่งพูดไปพลางเทน้ำข้าวใส่แต่ละถ้วยไปพลาง

ป๋ายเสี่ยวฉุนสติเลอะๆ เลือนๆ ในสมองเต็มไปด้วยความจริงหกประโยคนั้น มองพวกจางต้าพั่งที่กำลังเทน้ำข้าวหนึ่งที แล้วก็มองไปที่ถ้วยแต่ละใบ หลังจากเรอออกมาหนึ่งครั้ง ก็นั่งยองๆ ลงไปหยิบถ้วยเปล่าใบหนึ่งขึ้นมา พอดูอย่างละเอียดแล้ว จึงแสยะปากยิ้ม

“ศิษย์พี่ ถ้วยใบนี้ไม่ค่อยดีนะ”

หลังจากที่พวกจางต้าพั่งได้ยิน ก็มองไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน เผยสีหน้าประหลาดใจ

“พวกท่านดูถ้วยนี่สิ ถ้วยใบนี้มองดูแล้วไม่ใหญ่ แต่ในความจริงบรรจุได้เยอะมาก ทำไมพวกเราไม่ทำให้มันมองดูเหมือนว่าใหญ่มาก แต่ความเป็นจริงบรรจุได้น้อยมากล่ะ? ยกตัวอย่างเช่นทำให้ก้นถ้วยนี่…หนาขึ้นมาหน่อย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนท่าทางไร้เดียงสา พูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

จางต้าพั่งอึ้งไป มีความรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาแรงๆ ไขมันบนร่างกายค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นมา สายตาทั้งคู่เป็นประกาย เจ้าอ้วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็มีลมหายใจถี่กระชั้น เนื้อบนร่างของแต่ละคนล้วนสั่นไหว

จางต้าพั่งตบต้นขาแรงๆ ดังป้าบหนึ่งที เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง

“ดี ดี ดี ทีนี้ล่ะชื่อเสียงของเราจะได้ขจรขจายไปไกล เป็นความคิดดีที่จะนำพาความผาสุกมาให้กับคนรุ่นหลังฝ่ายครัวไฟของเรานับไม่ถ้วน นึกไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องเก้าที่ดูเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาท ในสมองจะมีความคิดร้ายกาจแบบนี้ได้ ฮ่าๆ เจ้าเกิดมาเพื่อทำงานในฝ่ายครัวไฟโดยแท้!

———-

[1]อึ่งเจ็ง (黄精)ยาจีนชนิดหนึ่ง สรรพคุณบำรุงลมปราณ ไต ม้าม ทำให้ปอดชุ่มชื้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version