Skip to content

A Will Eternal 305

บทที่ 305 สังหารหลินมู่

หลินมู่เห็นว่าวิกฤตความเป็นความตายมาเยือน ขนตลอดร่างลุกชัน มือขวาโบกหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือมีป้ายคำสั่งหนึ่งป้ายปรากฏขึ้น เขาพ่นเลือดสดลงไปบนป้ายคำสั่งนั้นโดยไม่สนว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร

ป้ายคำสั่งนี้พลันเปล่งกระกายระยิบระยับ แผ่ลำแสงเจ็ดสีพุ่งทะยานขึ้นสู่นภากาศ

“ค่ายกระบี่คุ้มกันข้า!!” หลินมู่เอ่ยปากรวดเร็ว วินาทีที่เสียงดังออกไปนั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มาปรากฏอยู่ด้านหน้าหลินมู่แล้ว ชั่วขณะที่เขายกมือขวาขึ้นเอื้อมคว้าหลินมู่ ทันใดนั้นหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนสี เห็นเพียงว่าค่ายกลกระบี่ที่มีกระบี่ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนท้องฟ้า เวลานี้ถูกรวมโอสถของเทพโลหิตสองสำนักยับยั้งเอาไว้ แต่กลับยังคงมีกระบี่ยักษ์สิบกว่าเล่มบินออกมา รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ครั่นครืนเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

เวลาเดียวกันนั้น หลินมู่ผ่อนลมหายใจ ร่างถอยกรูดรวดเร็ว ทั้งยังหยิบเอาอาวุธที่เป็นโล่ออกมาเจ็ดแปดชิ้น รวมถึงหยิบแผ่นหยกหนึ่งแผ่นขึ้นมาแล้วบีบลงไปอย่างแรง ร่างกายพร่าเลือน พลังนำส่งพลันกระจายออก

“แผ่นหยกนำส่งอีกแล้ว แม้ว่าสำนักธาราทมิฬจะถนัดในการหลอมอาวุธ ทว่าแผ่นหยกนำส่งนี้ออกจะมีมากเกินไปหน่อยไหม!”

“แต่ว่า กะอีแค่ค่ายกลกระบี่สิบกว่าเล่ม ยังไม่สามารถสกัดขวางข้าได้!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแสงคมกล้า สะบัดร่างครั้งเดียว ไม่ได้หลบเลี่ยงค่ายกลกระบี่ใหญ่ แต่แผดเสียงคำรามโผนไปด้านหน้า

เสียงตูมตามดังสะท้อน มีแสงสี่สีเปล่งระยับ ทั้งยังมีโคมไฟดวงหนึ่งกระจายแสงอ่อนโยน สกัดกั้นกระบี่ยักษ์สิบกว่าเล่มนั้น ขณะเดียวกันร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระโจนออกไปไล่กวดหลินมู่ ยิ่งเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

หลินมู่หน้าเผือดสี ทว่าไม่ทันที่เขาจะตั้งสติได้ ชนาเขย่าภูเขาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดตูมออกมา ด้านหลังก็ยิ่งมีปีกกระพือวาบ ทำให้ความเร็วเพิ่มพรวดทับทวี แผล็บเดียวก็ร่นระยะเข้าไปใกล้ กระแทกชนลงบนโล่เหล่านั้นที่อยู่ด้านหน้าหลินมู่อย่างจัง

เสียงกัมปนาทเขย่าคลอนท้องฟ้า ท่ามกลางเสียงเปรี๊ยะๆ ดังสนั่น โล่คุ้มกันกายเหล่านั้นพังทลายลงไปเกินครึ่ง แม้ว่าแรงพุ่งชนของป๋ายเสี่ยวฉุนจะผ่อนลงไปเล็กน้อย ทว่าจิตสังหารในดวงตาของเขากลับเปล่งวาบ มือขวายกขึ้น นิ้วชี้และนิ้วโป้งเวลานี้มีแสงสีทองส่องประกาย และนั่นก็คือ…

ตรวนสลายลำคอ!

ทั้งยังมีแรงดึงดูด ทำให้ร่างของหลินมู่ที่กำลังถอยร่นพลันหยุดชะงัก วินาทีที่เขาสะดุดกึกนั้น มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทงทะลุโล่ที่เหลือมาปรากฏพรวดอยู่เบื้องหน้าหลินมู่

“ตาย!!”

เวลานี้ร่างของหลินมู่พร่าเลือนไปแล้วเกินครึ่ง พลังนำส่งร่ายออก เขาคำรามเสียงพร่าแหลม สีหน้าแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ มือขวาของเขาพลันปล่อยแสงสีดำที่แฝงเร้นไว้ด้วยคลื่นระเบิดตัวเอง

การระเบิดตัวเองนี้ ไม่ใช่ร่างของเขา แต่เป็นแขนขวา!

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้ มือขวาของหลินมู่ก็เปล่งแสงสีดำ เสียงตูมดังหนึ่งครั้งแล้วระเบิดออกทันที เสียงกัมปนาทดังไปสี่ทิศ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงัก ตรวนสลายลำคอคว้าจับได้เพียงความว่างเปล่า ส่วนร่างของหลินมู่ถอยกรูดออกไปเพราะแรงโจมตีนี้ ทว่าแขนขวาของเขากลับแหลกละเอียด!

การแหลกละเอียดนี้ ไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสา แต่ยังรวมไปถึงจิตวิญญาณของเขาด้วย!

สีหน้าของเขาวิปลาส กระอักเลือดสด ร่างพร่าเลือนไปแล้วเก้าส่วน อีกทั้งระหว่างพลังนำส่งที่โอบล้อมอยู่รอบกายเขากับพลังนำส่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยได้เห็นจากร่างของจิ๋วต่าวรวมไปถึงนักพรตสร้างฐานรากคนสุดท้ายในบรรดาสี่คนนั้น…กลับไม่เหมือนกัน!

ราวกับว่า การนำส่งบนร่างของหลินมู่นั้น ระยะห่างไกลโขยิ่งกว่า!

“หนีกลับเข้าเมืองคูน้ำ ศึกครั้งนี้ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากด้วยเสียงหัวเราะเย็นเยียบ

เขามองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น

“เจ้านึกว่าข้าจะหนีกลับสำนักธาราทมิฬอย่างนั้นรึ? ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอย่าคิดถ่วงข้าด้วยคำพูดอยู่เลย ศึกครั้งนี้ สุดท้ายแล้ว…เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้!!”

“ศึกครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว ค่าตอบแทนคือต้องเสียแขนหนึ่งข้างไปตลอดชีวิต ทว่าคราวหน้า ข้ารู้วิธีการของเจ้าหมดแล้ว ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทบต้นทบดอก!!”

มองเห็นร่างของหลินมู่พร่าเลือน การนำส่งร่ายออกดังสนั่นหวั่นไหว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศมองไกลๆ ไปยังหลินมู่ แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

“เจ้านึกจริงๆ หรือว่าจะมีครั้งหน้า?” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเนิบช้า นัยน์ตาพลันโชนแสงแปลกประหลาด

หลินมู่ที่มองเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน ใจก็พลันร่วงหล่นลงดังโครม

“เจ้าสามารถควบคุมค่ายกลกระบี่ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีวิธีการของตัวเองเช่นกัน กระดูกไม่สลาย จงสังหารมันให้ข้า!!” วิชาอมตะมิวางวายในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเคลื่อนโคจร ทั้งยังกระตุ้นพลังสูงสุดจากเลือดคงกระพันหยดหนึ่งของเขาที่ก่อตัวขึ้นมาตอนอยู่สำนักธาราโลหิตให้เชื่อมโยงเข้ากับการดำรงอยู่ของที่สุดแห่งความเหนือล้ำอย่างเลือดคงกระพัน มือขวายกขึ้นชี้พรวดไปที่หลินมู่!

วินาทีที่ชี้ไป บนท้องฟ้า กระดูกไม่สลายแห่งสำนักธาราโลหิตที่เดิมทีกำลังประมืออยู่กับบุรพาจารย์คนหนึ่งร่างพลันสั่นเยือก แขนขวาของมันที่กำลังลงมือเข่นฆ่านั้นหายวับไปกะทันหัน แล้วมาปรากฏตัวอีกครั้งที่…ด้านหลังหลินมู่!

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนอย่างเหลือเชื่อของหลินมู่ แขนข้างนี้พลันทะลวงเข้าไปในแสงนำส่ง ลอดทะลุร่างที่พร่าเลือนของหลินมู่ตรงไปคว้าจับหัวใจของเขาเอาไว้ แล้วบีบอย่างแรง!

ตูม!

พลังนำส่งระเบิดออก ร่างของหลินมู่หายวับไป มองไม่เห็นร่องรอยการดำรงอยู่ใดๆ อีก กลางอากาศมีเพียงแขนข้างนั้นของกระดูกไม่สลาย…ที่กลางฝ่ามือกำ…หัวใจแหลกละเอียดดวงหนึ่ง!!

หัวใจนี้เดิมทียังเป็นสีแดงสด ทว่าบัดนี้กลับกลายมาเป็นสีเทา ทั้งยังมีปราณที่เก่าแก่โชกโชนแผ่กระจายไปสี่ทิศ แล้วกลายมาเป็นเถ้าธุลี ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นภาพนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็หดตัวลงน้อยๆ

ทว่าสงครามที่ปะทุขึ้นในตอนนี้ทำให้เขาไม่มีเวลามาคิดมากนัก ขณะที่กำลังจะพาทุกคนบุกเข้าไปฆ่ายังเมืองคูน้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไชโยกู่ร้องดังมาจากที่ไกลๆ ผินหน้าไปมองจึงเห็นทันทีว่าในพื้นที่ที่ห่างออกไปไกล เวลานี้มีนักพรตหลายร้อยคนกำลังกรูเกรียวกันเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ทุกคนขว้างลูกแสงไม่หยุด ควันพิษแผ่กระจาย คนหลายร้อยนี้เฮโลกันบุกฝ่าออกมา แต่ละคนโหดเหี้ยมถึงขีดสุด!

โดยเฉพาะสวีเสี่ยวซานที่อยู่ด้านในนั้นที่ยิ่งปล่อยเสียงคำรามไม่หยุดปาก และยังมีเป่ยหันเลี่ย เจี่ยเลี่ย เสินซ่วนจื่อสี่คนที่เป็นดั่งแกนนำ พาคนหลายร้อยคนพุ่งเข้าเข่นฆ่ามาใกล้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะมองเห็นพวกเขา ทว่าพวกเขาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว วันนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกจระเข้ไล่ฆ่า กลุ่มของพวกเขาที่แตกกระเจิงก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ท่ามกลางความจนใจ จึงทำได้เพียงมาที่สนามรบ ภายหลังก็ต้องแยกกระจายกันไปอีกครั้ง เมื่อครู่นี้หลังจากมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน คนพวกนี้จึงเกิดความฮึกเหิมทันใด เข้ามารวมตัวกันเอง พอรวมกันเป็นกลุ่มเล็กอย่างเก่าแล้ว ในที่สุดก็พุ่งเข้ามารวมกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง

แม้ว่าปากเป่ยหันเลี่ยจะไม่ยอมรับ ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ในใจเขาก็คอยนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับป๋ายเสี่ยวฉุนในช่วงหลายเดือนมานี้อยู่ตลอดเวลา เวลานี้เมื่อสบตากับป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงแม้จะยังแค่นเสียงเย็น ทว่ายิ่งบุกพุ่งออกมาเร็วมากกว่าเดิม

ส่วนสวีเสี่ยวซานก็ตะโกนใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียงดัง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเรามาแล้ว!”

“บุตรโลหิตจงเฟิง อานุภาพไร้เทียมทาน ชีพจรฟ้าธาราเทพ บารมีเขย่าคลอนแปดทิศ!” หลังจากเสียงของสวีเสี่ยวซาน คนหลายร้อยคนนั้นก็ตะเบ็งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน ดังไปสี่ทิศ นักพรตเทพโลหิตสองสำนักรวมไปถึงนักพรตสำนักธาราทมิฬที่ได้ยินต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด

ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที มีความรู้สึกเหมือนน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลออยู่ในกรอบดวงตา สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง ตะโกนก้องดังกังวาน

“พี่น้องทั้งหลาย ข้าจะพาพวกเจ้าไปพิชิตเมืองคูน้ำแห่งนี้ด้วยกัน!”

เวลาเดียวกันนั้น บนท้องฟ้า หลังจากที่บุรพาจารย์เทพโลหิตสองสำนักเอ่ยให้โจมตีเต็มกำลัง หลังจากที่แนวรบกระชับเข้ามา ปณิธานในการสู้รบของสำนักธาราทมิฬจึงพังทลายลงอย่างสมบูรณ์แบบ ท่ามกลางการถอยร่นอย่างต่อเนื่อง บุรพาจารย์สำนักธาราทมิฬที่อยู่กลางอากาศตะโกนด้วยความเศร้าสลดหนึ่งประโยค

“กลับเมือง รักษาฐานที่มั่นจนตัวตาย!!” วินาทีที่คำพูดของเขาดังสะท้อน นักพรตทุกคนของสำนักธาราทมิฬที่อยู่ด้านนอกล้วนใช้ความเร็วทั้งหมดที่มีตรงดิ่งเข้าหาเมืองคูน้ำ ไม่ว่ายาอายุวัฒนะ สร้างฐานราก หรือจะเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในฝ่ายนอกก็ล้วนทำแบบเดียวกัน เมื่อพวกเขาถอยร่น นักพรตเทพโลหิตสองสำนักจึงไล่กวดเข้าเข่นฆ่าทันที

จนกระทั่งบุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราทมิฬต่างก็ยอมให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสเพื่อแลกมาด้วยการหนีกลับเข้าไปในเมืองคูน้ำ สำนักธาราทมิฬ…จึงล้มเลิกการต่อต้านอย่างสิ้นเชิง แต่ใช้พลังทั้งหมดที่มีมารักษาค่ายกลใหญ่เอาไว้!

ความกดดันระลอกแล้วระลอกเหล่าตลบอบอวลอยู่ในเมืองคูน้ำของสำนักธาราทมิฬ ทว่าปณิธานในการสู้รบที่ดุเดือดกลับเปี่ยมล้นอยู่ในใจของนักพรตสองสำนักโลหิตเทพที่อยู่ด้านนอกทุกคน การโจมตีสุดท้าย…แสดงออกอย่างเต็มกำลัง!

แสงสีบนนภากาศเปลี่ยนแปลงไปมากมาย สายฟ้ากลิ้งซัดสาดไหล่หลัง

ทั้งยังมีค่ายกลกระบี่บินคำรามฉวัดเฉวียน บางครั้งยังมีรถศึกของสำนักธาราเทพเคลื่อนทัพพร้อมเพรียงกัน ดุจดั่งมังกรดินร้องคำราม ลูกธนูขนาดใหญ่ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษบินพุ่งออกจากแล่ง ตกกระทบลงบนค่ายกลนอกเมืองคูน้ำโดยตรง ทำให้ค่ายกลคุ้มกันนี้บิดเบือนต่อเนื่อง แต่กลับยังแข็งแรงทนทาน ไม่ได้แตกสลายออก

บนพื้นดิน กองทัพใหญ่ของสองสำนักเทพโลหิตประหนึ่งม้านับหมื่นที่ห้อตะบึงไปเบื้องหน้า พุ่งเข้าโจมตีโอบล้อม อีกทั้งด้านหลังเมืองคูน้ำบนเทือกเขาแห่งนี้ก็มีสงครามเปิดฉากขึ้นเช่นกัน

ขนาดของสงครามตรงจุดนี้เห็นได้ชัดว่าเทียบกับด้านหน้าไม่ได้ แต่ก็เหี้ยมโหดทารุณไม่ต่างกัน นั่นคือพละกำลังส่วนหนึ่งที่ยังไม่ถูกดับทำลายของสำนักธาราโอสถ ซึ่งกำลังร่วมมือกับเทพโลหิต เปิดศึกกับสำนักธาราทมิฬ

แม้ว่าคนจะไม่มาก แค่ไม่กี่หมื่นคน ทว่าความบ้าคลั่งและความอาฆาตแค้นที่พวกเขามีต่อสำนักธาราทมิฬกลับเหนือล้ำเกินกว่าคนของสำนักเทพโลหิตมากมายนัก อีกทั้งศัตรูของคนเหล่านี้นอกจากนักพรตสำนักธาราทมิฬแล้ว ยังมีผู้ที่เคยเป็นสหายร่วมสำนักของพวกเขา!

เวลานี้การเข่นฆ่าเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า คาวเลือดฟุ้งตลบ บีบคั้นให้สำนักธาราทมิฬถอยร่นจากด้านหลังเข้าไปใกล้เมืองคูน้ำมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกองทัพใหญ่ของสำนักธาราโอสถนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีขาว เรือนร่างมีส่วนโค้งส่วนเว้าเด่นชัด ตลอดทั้งร่างแผ่ความมีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด ขณะเดียวกันก็พอมองเห็นได้รำไรว่าใบหน้าที่อยู่หลังผ้าคลุมนั้นคือดวงหน้า…ที่งามพิลาสล้ำ!

สตรีผู้นี้ก็คือคนของสำนักธาราโอสถที่โดดเด่นขึ้นมาในสนามรบครั้ง…เฉินม่านเหยา!

นอกจากนางจะมีวิชาพิษร้ายแล้ว ที่ทำใช้ชื่อเสียงของนางโด่งดังไปทั่วสนามรบมากที่สุดก็คือความงามและวิชาจัดวางกองทัพและค่ายกลของนาง ว่ากันว่าความงามของนางสามารถถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งของตลอดทั้งโลกการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนล่าง!

ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่หลินมู่ จิ๋วต่าว หรือแม้แต่นักพรตเพศชายคนอื่นๆ ก็ยังหลงใหลในความงามของสตรีผู้นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ของสำนักธาราทมิฬเองก็ยังหวั่นไหวไปกับนางไม่น้อย อยากจะรับนางเข้าเป็นอนุภรรยาคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย

เพียงแต่ว่าหญิงสาวผู้นี้หัวแข็ง ต่อให้ตายก็ไม่มีทางยินยอม!

เวลานี้นัยน์ตาของนางเผยประกายแสงลึกล้ำ ยืนอยู่ข้างกายบุรพาจารย์สำนักธาราโอสถที่บัดนี้เหลืออยู่เพียงสองคน คำสั่งมากมายส่งตรงออกจากปากของนาง บัญชาการให้ศึกสงครามในสนามรบที่เป็นของพวกเขาตรงนี้ประสานงานกับสำนักเทพโลหิตที่อยู่อีกฝั่งของเมือง ทำให้สำนักธาราทมิฬไม่สามารถระดมคนมาดูแลได้อย่างทั่วถึง!

“สำนักธาราทมิฬ…จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ใช้พลังแฝงเร้น หากใช้เมื่อใด…ย่อมพ่ายแพ้แน่นอน!” ขณะที่เฉินม่านเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา บุรพาจารย์สองคนที่อยู่ข้างกายนางดวงตาเปล่งแสงวาบ พยักหน้าน้อยๆ คนหนึ่งในนั้นกำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับต้องหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน เงยหน้าพรวดมองเมืองคูน้ำ

“ใช้แล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version