บทที่ 316 เจินหลิงลืมตา!
เมื่อทั้งสี่สำนักถอนทัพออกไปหมด พื้นที่ของเมืองคูน้ำจึงค่อยๆ ว่างเปล่าลง มีเพียงนักพรตบางส่วนที่ต้องตั้งค่ายอยู่ต่อเพื่อเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้
กองทัพใหญ่ของสำนักธาราเทพถอนออกเป็นทัพสุดท้าย เพราะจำนวนคนมีมากเกินไป อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายของสำนักธาราเทพ จำเป็นต้องเผาผลาญพลังการนำส่งภูเขาลูกที่เก้าของสำนักธาราเทพสูงมาก ดังนั้นจึงต้องให้ทุกคนกลับไปถึงเกาะตงหลินก่อน แล้วค่อยแบ่งส่วนทยอยส่งกลับไปยังที่ตั้งของสำนัก
ในด้านการจัดการเดินทางของกองทัพใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นกังวล และก็ไม่ต้องให้พวกบุรพาจารย์คิดหนัก ในฐานะที่เจิ้งหย่วนตงเป็นเจ้าสำนัก เมื่อถึงเวลานี้ ประโยชน์ของตัวเขาจึงมีมากกว่าพวกบุรพาจารย์หลายส่วน
หลังจากที่จัดการให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างติดตามไปด้วย และเหลือบุรพาจารย์คนหนึ่งเอาไว้คุ้มครองการนำส่ง บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพจึงพาป๋ายเสี่ยวฉุนรวมไปถึงลำดับผู้สืบทอดจากไปก่อน
แม้ว่าการเคลื่อนที่ข้ามเกาะต้องสูญเสียพลังนำส่งของภูเขาลูกที่เก้าไปไม่น้อย ทว่าหากจำนวนคนไม่เยอะมาก ก็ถือว่ายังอยู่ในขอบเขตที่สำนักธาราเทพแบกรับได้ ไม่นานเมื่อแสงนำส่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและลำดับผู้สืบทอดที่อยู่กลางอากาศจึงค่อยๆ หายไปภายใต้สายตาเคารพนับถือของนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องล่าง
ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอย่างมาก มองพื้นแผ่นดินด้านล่าง ใจเขาอยากพาพวกจางต้าพั่งและโหวอวิ๋นเฟยไปด้วยกัน หรือแม้แต่โจวซินฉีก็ยังอยากพาไปด้วย ทว่าเรื่องนี้เขาจะทำตัวเหลวไหลไม่ได้ เพราะยังไงซะการนำส่งข้ามเกาะเช่นนี้ มีคนเพิ่มมากขึ้นคนหนึ่ง ทรัพยากรที่ต้องสูญเสียก็ย่อมต่างไปจากเดิม
“ไม่ใช่ว่าสหายอย่างข้าไม่อยากช่วยพวกเจ้า แต่เพราะข้าทำไม่ได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือให้พวกจางต้าพั่ง ท่ามกลางความกลัดกลุ้มของพวกจางต้าพั่ง ซ่างกวานเทียนโย่วกัดฟัน กุ่ยหยาจนใจ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หายวับไป
เสียงครั่นครืนแผ่ดังไปทั่วนภากาศ ป๋ายเสี่ยวฉุนตาลาย พลังนำส่งนี้ปกคลุมไปทั่วจิตวิญญาณ เมื่อมองเห็นทุกอย่างชัดเจนอีกครั้งร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่กลางอากาศเขาจ้งเต้าของสำนักธาราเทพแล้ว
อาการปรับตัวไม่ได้กับการนำส่งนี้ สำหรับนักพรตยาอายุวัฒนะแล้วเรียกได้ว่าไม่ระคายใดๆ ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง ทั้งยังสร้างฐานรากวิถีฟ้า แม้จะหน้าซีดขาวน้อยๆ ตบะไม่มั่นคง แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งก็คืนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทำให้ลำดับผู้สืบทอดที่อยู่รอบด้านต้องมองเขาอยู่หลายที
โดยเฉพาะหลี่ชิงโหว ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็ยิ่งปลาบปลื้ม หลายครั้งที่เขาพูดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนตอนอยู่เพียงลำพังกับสวีเหม่ยเซียง ก็มักจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“เสี่ยวฉุน เจ้าตามข้าผู้อาวุโสมา!” เพิ่งจะกลับมาถึง บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งก็มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งก็เดินนำหน้าไปก่อน บุรพาจารย์คนอื่นๆ และลำดับผู้สืบทอดต่างก็พากันกลับเข้าไปในสำนัก เริ่มเตรียมการ ที่พวกเขาถูกค่ายกลนำส่งข้ามเกาะโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน นอกจากฐานะที่สูงส่งแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญมากกว่านั้น
นั่นก็คือ…พวกเขาก็จะต้องสร้างสิ่งหนึ่งที่ใหญ่โตมโหฬารสุดจะเปรียบ สามารถขับเคลื่อนบนแม่น้ำทงเทียน ทวนกระแสธารขึ้นไปอย่าง…เรือรบทงเทียน!
คิดจะไปแม่น้ำตอนกลาง หากเดินเท้า ไม่เพียงแต่ไกลโพ้น ยังมากไปด้วยภยันอันตราย แถมยังมีบางพื้นที่ที่เป็นเขตต้องห้าม ไม่พูดถึงเรื่องการเดินทางที่ยากลำบาก ระหว่างทางก็ย่อมต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากอย่างแน่นอน การสิ้นเปลืองก่อนเปิดศึกเช่นนี้จะกลายมาเป็นปัจจัยที่ส่งผลร้ายต่อการทำสงคราม หลังจากที่บุรพาจารย์สิบกว่าคนของสำนักสยบธารปรึกษากันแล้วจึงได้การตัดสินใจชี้ขาดว่า
จะเดินทางกันทางน้ำ!
และเรือที่สามารถโลดแล่นบนแม่น้ำทงเทียนได้ต้องไม่ใช่เรือที่ธรรมดา การเลือกสรรวัสดุจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้สำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถต่างก็ไม่มีกำลังจะสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นภาระหนักทั้งหมดนี้จึงตกมาเป็นของสำนักธาราเทพ
แม้ว่าสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถต่างก็มอบวัสดุที่ไม่ธรรมดามาให้เป็นจำนวนมาก ทว่าสุดท้ายก็ยังขาดอยู่อีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ…กระดูกงูเรือ!
การเลือกกระดูกงูที่ดีที่สุดคือกระดูกของสัตว์ยักษ์ชิ้นหนึ่ง หลังจากที่ปรึกษากันแล้ว สำนักธาราเทพจึงตัดสินใจเด็ดขาดรับหน้าที่นี้มา และตอนนี้สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือให้ลำดับผู้สืบทอดและบุรพาจารย์เหล่านั้นสร้างเรือรบที่สมบูรณ์แบบออกมาหนึ่งลำโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอแค่ได้กระดูกสัตว์มาเพิ่มแล้วจัดวางเข้าไป เรือรบทงเทียนหนึ่งลำที่สามารถบรรจุนักพรตนับล้านของสี่สำนักได้หมดก็จะสร้างสำเร็จ!
ทุกคนต่างยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลาพักผ่อนเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตามบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งตรงดิ่งมาที่เขาจ้งเต้า ไม่นานก็มาถึงพื้นที่หวงห้ามด้านหลังเขาจ้งเต้า
“เสี่ยวฉุน ภารกิจของเจ้าก็คือช่วงชิงเวลาหลอมยาทวนธารา ข้าผู้อาวุโสจะพาเจ้าไปพบเจินหลิงที่หลับสนิทก่อน หวังว่าจะมีประโยชน์ในการหลอมยาทวนธาราของเจ้า” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งสีหน้าเคร่งเครียด ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ สำหรับพลังแฝงเร้นที่ลึกที่สุดของสำนักธาราเทพ นอกจากเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้แล้ว ขณะเดียวกันก็ยังเคารพกลัวเกรงด้วย
“เจินหลิง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ หลังจากตามบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม เพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นรอบด้านของเขาก็พลันพร่าเลือน คล้ายกลายมาเป็นความว่างเปล่า ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ ตามติดประชิดหลังของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่ง ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังเดินลงด้านล่าง คล้ายมาถึงจุดลึกที่อยู่ใต้ดิน…มาถึงเบื้องล่างของแม่น้ำทงเทียน!
ไม่นานนัก ด้านหน้าของเขาก็โล่งสว่าง ปรากฏให้เห็นถ้ำขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งแห่ง!
ผนังโดยรอบมีทางเข้าออกสี่แห่ง เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกับบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งยืนอยู่บนทางเข้าแห่งหนึ่ง ในถ้ำที่อยู่ด้านล่างเต็มไปด้วยน้ำสีทองของแม่น้ำทงเทียน รอบด้านมีค่ายกลเปล่งแสงพริบพราว เชื่อมโยงกันออกไปแปดทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองหนึ่งครั้งก็ต้องสำลักลมหายใจทันที เขามองเห็นได้รำไรว่าค่ายกลในนี้อบอวลไปด้วยค่ายกลของทุกยอดเขาชายฝั่งเหนือใต้สำนักธาราเทพ ทั้งยังเชื่อมต่อกับแม่น้ำทงเทียน มีน้ำของแม่น้ำทงเทียนถูกดึงออกมาอย่างเชื่องช้า!
และค่ายกลไม่ได้มีไว้เพื่อกำราบยับยั้ง แต่มีเพื่อ…ปกป้อง
วิธีการเช่นนี้ทำให้ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนรัวเร็ว หลังจากกวาดตามองแล้ว สายตาก็มาตกอยู่ใจกลางของถ้ำ ตรงนั้นมีโลงศพหลังหนึ่งวางอยู่
โลงศพไม่มีฝาปิด ตรงตำแหน่งของเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในโลงศพนั้นมีซากศพของ…ทารกหญิงอยู่ร่างหนึ่ง
แม้ว่าทารกหญิงนั้นจะเป็นซากแห้ง แต่กลับมีพลังชีวิตเส้นหนึ่งแฝงเร้นอยู่ ความรู้สึกถึงกาลเวลาที่ผ่านมายาวนานซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของนางนั้น เข้มข้นอย่างยิ่ง…
วินาทีที่มองเห็นเด็กทารกหญิงในโลงศพนี้ สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกิดเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง จิตวิญญาณตลอดทั้งร่างคล้ายถูกดึงดูดออกไป พริบตาเดียวเขาก็เหมือนมองเห็นหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งเลิศล้ำในปฐพีกำลังเดินเข้ามาหาตัวเองช้าๆ
ความรู้สึกเช่นนั้นคล้ายว่าวิญญาณและร่างกายของตนไม่อยู่ในการควบคุม ลืมสิ้นทุกสิ่ง หรือแม้แต่ควาเป็นความตายก็ยังพร่าเลือน และขณะที่ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเลื่อนลอย ร่างสั่นเทิ้มอยู่นี้ บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งพลันตวาดขึ้นมาเบาๆ
“นี่ ก็คือเจินหลิงของหันเหมิน!”
ในสมองป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงตูมดังอีกครั้ง ฟื้นตัวกลับมา หลังจากที่ดวงตาเผยความมีสติแล้ว เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ถอยหลังออกไปหลายก้าว สีหน้าขาวเผือดไปหมด เหงื่อเย็นๆ ไหลทั่วร่าง ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ย้อนนึกถึงภาพเมื่อครู่นี้เขาก็ยังผวาไม่คลาย
“ตบะเจ้าไม่พอ ยากที่จะจับจ้องได้นาน ข้าผู้อาวุโสจะช่วยเจ้า ให้เวลาเจ้าสิบชั่วลมหายใจ หวังว่าจะช่วยในด้านการหลอมยาทวนธาราของเจ้าได้บ้าง” ขณะที่บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งเอ่ยปาก มือขวาก็ยกขึ้นวางบนไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นพลังตบะมหาศาลพลันระเบิดออก ไหลกรากเข้ามาในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก หันไปมองศพทารกหญิงอีกครั้ง
คราวนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดลดน้อยลงไปมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอย่างละเอียด มองตั้งแต่หัวจรดเท้า คล้ายต้องการวาดเค้าโครงขึ้นมาในสมอง
ไม่นานเวลาชั่วสิบลมหายใจก็ใกล้จะหมดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย ลำพังเพียงแค่มองด้วยตาเปล่า ไม่สามารถช่วยในด้านการหลอมยาของเขาเท่าไหร่นัก เขาจึงกัดฟัน ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้ว เนตรทงเทียนพลันเบิกโพลง
วินาทีที่ลืมตาขึ้นมานั้น เมื่อเขาหันไปมองศพทารกหญิงอีกครั้ง สิ่งที่เขามองเห็นกลับไม่ใช่ทารกหญิง แต่เป็นหญิงสาวผู้งดงามเลิศล้ำไม่เป็นรองใครคนหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวผู้นี้ปิดสนิท นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ รอบด้านมีควันสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมวน ควันสีดำเหล่านี้ราวกับหนอนตัวอ่อนของแมลงวันที่กำลังเขมือบกลืนร่างของนางไม่หยุด มุดเข้ามุดออกไปทั่วร่างของนาง แต่เห็นได้ชัดว่าถูกค่ายกลและน้ำของแม่น้ำทงเทียนยับยั้งเอาไว้ การเคลื่อนไหวจึงเชื่องช้า
และในหน้าอกของหญิงสาวผู้นี้ก็มีกระถางอยู่ใบหนึ่ง กระถางนี้ปล่อยแสงสีฟ้า หนอนแมลงวันควันดำพวกนั้นคล้ายหวาดกลัวกระถางใบนี้จึงไม่กล้าเข้าใกล้ในจุดที่แสงสว่างส่องไปถึง
เพียงแต่ว่าตอนนี้กระถางใบนี้มืดสลัวอย่างถึงที่สุด แสงสว่างของมันก็เลือนรางเต็มที หลงเหลืออยู่เพียงแค่เส้นเดียว…
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตะลึงอยู่นั้นเอง ทันใดนั้น…เขาไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ ถึงได้มองเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของหญิงสาวพลันเบิกโพลง เผยให้เห็นลูกตาที่ดำมืดสนิททั้งหมด มองประสานเข้ากับสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ยาทวนธารา ใช้น้ำแม่น้ำทงเทียนหลอมรวมพลังชีวิต ก่อตัวขึ้นเป็นพลังฟ้าดิน กระตุ้นอานุภาพของกระถางเย็น กำราบพลังเก้ามาร…”
เมื่อเสียงดังสะท้อน ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ
“นางลืมตาพูดแล้ว…”
ยังไม่ทันที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดจบ บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งหน้าซีดขาว มุมปากมีเลือดไหลซึม ทว่านัยน์ตากลับเผยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ยกมือขวาออกจากไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ลมหายใจถี่กระชั้น มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน
“เจ้ามองเห็นเจินหลิงลืมตา แล้วพูดออกมางั้นหรือ?”
เวลานี้ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากที่เขาพยักหน้า บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งก็แสดงความดีใจอย่างถึงที่สุด ประสานมือคารวะทารกหญิงในถ้ำหนึ่งครั้ง ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถามก็คว้าตัวเขาพาจากไปด้วยความรวดเร็ว
ไม่นานก็ออกมาจากที่แห่งนั้น พอมาถึงเขาจ้งเต้า ในดวงตาของบุรพาจารย์เผยความตื่นเต้น
“เจินหลิงลืมตา หมายความว่านางผู้อาวุโสก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะหลอมยาทวนธาราออกมาได้ มา ข้าจะพาเจ้าไปดูยาทวนธาราที่แท้จริง หลังจากที่เจ้าศึกษาดูแล้วจะได้ทดลองหลอมเอง!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งสูดลมหายใจเขาลึกหนึ่งครั้ง คว้าจับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก้าวยาวๆ จนกระทั่งหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งในภูเขาลูกที่เก้า หยิบเอายาสีม่วงเม็ดหนึ่งออกมาจากถ้ำที่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาด้วยความระมัดระวัง วางลงเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ยาเม็ดนี้ให้ความรู้สึกผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชนเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าถูกหลอมมานานเท่าไหร่แล้ว เพิ่งจะปรากฏตัว ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี รอบด้านเกิดลมพายุซัดกระหน่ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ทันทีว่าด้านในยาเม็ดนี้มีพลังชีวิตระลอกหนึ่งที่มิอาจพรรณาได้ดำรงอยู่
“ยาทวนธารา…”