บทที่ 325 บรรพบุรุษโลหิตลืมตา!
เสียงหัวใจของเขาค่อยๆ ดังออกไปรอบด้าน ค่อยๆ เข้าไปแทนที่หัวใจของบรรพบุรุษโลหิต เมื่อหัวใจของเขาเต้น หลอดเลือดรอบด้านก็เริ่มสั่นไหว จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งแผ่ขยายออกไป เขาสัมผัสได้ถึงเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิต สัมผัสได้ถึงนักพรตสร้างฐานรากทุกคนตามจุดฝังเข็มทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดในร่างกายของบรรพบุรุษโลหิต
ทั้งยังสัมผัสได้ถึงผู้อาวุโสไท่ซ่างที่อยู่ในทวารทั้งเจ็ดสิบสองแห่ง และยังมีอังคุฐโลหิตในเส้นชีพจรสามสิบหกเส้น รวมไปถึง…วิญญาณทั้งเจ็ดที่กลายร่างมาจากบุรพาจารย์!
“ข้า ก็คือบรรพบุรุษโลหิต!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว เสียงคำรามนี้ดังสนั่นหวั่นไหว ไม่ได้ดังออกไปนอกร่างของบรรพบุรุษโลหิต แต่กลับสะท้อนอยู่ภายใน แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของนักพรตสำนักธาราโลหิตทุกคนที่อยู่ข้างในนั้น!
กลายเป็นเสียงอสนีบาต และก็คล้ายสัญญาณอย่างหนึ่ง วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปาก ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็พากันแผดเสียงคำรามดังลั่น เลือดลมตลอดร่างระเบิดครั่นครืน!
การระเบิดนี้เริ่มจากจุดฝังเข็ม ผ่านทวารเลือด มารวมกันที่ชีพจร แล้วหลอมรวมเข้ากับเจ็ดวิญญาณ เพื่อผสานเข้ากับ…จิตสำนึกของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นย่อมทำไม่ได้ถึงจุดนี้ ทว่าในฐานะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นนายแห่งโลหิต เขาและสำนักธาราโลหิตจึงมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันจากการสืบทอด ความสัมพันธ์นี้ทำให้นักพรตสำนักธาราโลหิตที่อยู่ในร่างของบรรพบุรุษโลหิตมีต้นกำเนิดทางสายเลือดเดียวกันกับบรรพบุรุษโลหิตในบางระดับ
อย่างเดียวที่พวกเขาขาดก็คือจิตสำนึก จิตสำนึกที่จะสามารถเชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกัน และจิตสำนึกนี้ก็ต้องเป็นของ…นายแห่งโลหิต!
เสียงกัมปนาทดังสะท้อนจากในออกไปยังข้างนอก จนกระทั่งแผ่ไปทั่วเรือนกายมโหฬารของบรรพบุรุษโลหิต เมื่อการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น ผิวหนังของบรรพบุรุษโลหิตก็เกิดเป็นลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้น้ำของแม่น้ำทงเทียนกลิ้งซัดตลบ ทำให้ประตูสำนักธาราโลหิตสั่นไหวไม่หยุด
ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตจำนวนมากถอนทัพออกจากที่ตั้งของสำนักนานแล้ว ทุกคนต่างก็จัดระเบียบสัมภาระเรียบร้อย เวลานี้ยืนอยู่บนริมชายฝั่ง แต่ละคนมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความตื่นเต้น
“ลุกขึ้นยืน!!”
“ลุกขึ้นยืน!!!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น ไม่นานนักพรตตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตล้วนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ภาพนี้ทำให้อีกสามสายที่เหลือต่างหายใจถี่รัว ตะลึงพรึงเพริดอยู่ในใจ
เพียงแต่ว่า คิดจะควบคุมบรรพบุรุษโลหิต มีหรือจะง่ายดายถึงเพียงนั้น ต่อให้สำนักธาราโลหิตจะเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว ทว่าการสั่นไหวของผิวหนังนี้ก็ยังดำเนินต่อไปถึงเจ็ดวัน
เจ็ดวันมานี้ นักพรตสายธาราโลหิตรอคอยด้วยความตื่นเต้น เสียงตะโกนของพวกเขาหายไปแล้ว ทว่าเสียงกู่ร้องที่ดุเดือดยิ่งกว่าเดิมยังคงดังก้องอยู่ในใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ทว่าอีกสามสายที่เหลือกลับเริ่มละความสนใจ โดยเฉพาะสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถที่เริ่มยุ่งวุ่นวายกับการปรับเปลี่ยนเรือรบทงเทียน จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงของอีกเจ็ดวันต่อมา
ทันใดนั้น หลังจากที่ผิวหนังสั่นไหวมาตลอดเจ็ดวัน มือใหญ่ของบรรพบุรุษโลหิตซึ่งกลายมาเป็นยอดเขาที่ตั้งสำนักธาราโลหิต บัดนี้มีเสียงกัมปนาทดังลอยมา และนิ้วกลางอันเป็นที่ตั้งของเขาจงเฟิง…ก็…ขยับไหว!!
ดูเหมือนว่าแค่ขยับไหวเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้นักพรตทุกคนของสำนักธาราโลหิตแผดเสียงคำรามด้วยความดีใจ ทำเอานักพรตอีกสามสายที่เหลือตกอกตกใจ เมื่อพวกเขาพากันหันไปมอง ทุกคนก็เห็นทันทีว่านิ้วของเขาจงเฟิงค่อยๆ โค้งงออย่างช้าๆ!
เมื่อมันขยับโค้งงอ สิ่งปลูกสร้างจำนวนนับไม่ถ้วนบนนั้นจึงถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด หินขนาดยักษ์ร่วงกราวลงมา ทว่าทุกอย่างนี้กลับไม่มีใครให้ความสนใจ ภายใต้การจับตามองตาไม่กะพริบ จึงได้เห็นว่าเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิตที่จมอยู่ใต้น้ำก็มีการขยับไหวน้อยๆ
เมื่อผิวน้ำยิ่งซัดโหมรุนแรงจนก่อเกิดเป็นคลื่นลูกยักษ์ นิ้วอื่นๆ ที่เหลือก็ทยอยกันเคลื่อนไหว ภาพนี้ทำให้นักพรตสายธาราโลหิตทุกคนบ้าคลั่ง ทำให้อีกสามสายสูดลมหายใจเฮือกๆ อย่างต่อเนื่อง
มิอาจบรรยายได้ถึงความสะท้านสะเทือนของภาพเหตุการณ์นี้ ได้เห็นนิ้วมือที่ใหญ่ราวกับภูเขาขยับไหวและโค้งงอด้วยตาตัวเอง สำหรับทุกคนแล้วนี่แทบไม่ต่างไปจากเรื่องเล่าในนิยายปรัมปรา
ต่อให้ก่อนหน้านี้จะเตรียมตัวมาก่อน แต่ในใจก็ยังเกิดลมพายุพัดบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นนักพรตคนใดล้วนหนีไม่พ้นความรู้สึกนี้ ต่อให้เป็นพวกบุรพาจารย์ของทั้งสามสายเอง แต่ละคนก็ยังหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาทั้งคู่หดตัว
“หากบรรพบุรุษโลหิตของสำนักธาราโลหิต…ลุกขึ้นยืนได้จริงๆ…” หันจงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพเวลานี้มีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมาบนศีรษะ เขาพลันตระหนักได้ว่าระดับความสำคัญของป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีต่อสำนักธาราโลหิต เหนือล้ำเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก!
บุรพาจารย์ชื่อหุนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึกเช่นกัน มองนิ้วมือที่โค้งงออย่างต่อเนื่อง เขากลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดพราย ในใจเขารู้สึกโชคดีที่ตอนเทพโลหิตสองสำนักมาตีตัวเองไม่ได้ปลุกบรรพบุรุษโลหิตมาด้วย มิฉะนั้น…ศึกครั้งนั้นย่อมกวาดทำลายทุกอย่างจนพังพินาศ สำนักธาราทมิฬที่ดำรงอยู่ต่อได้ เกรงว่ามีแค่ครึ่งหนึ่งของตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
การเคลื่อนไหวของนิ้วมือไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงหลายวันหลังจากนั้น หินภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนพังถล่ม แม้แต่ภูเขาอันเป็นประตูที่ตั้งของสำนักธาราโลหิตก็เริ่มมองดูไม่เหมือนภูเขาอีกต่อไป แต่ยิ่งกลายมาเป็นฝ่ามือของจริงมากขึ้นเรื่อยๆ!
หรือบางจุดก็ยังมองเห็นเป็นผิวหนังแล้วด้วยซ้ำ!
และหลายวันมานี้การปรับเปลี่ยนเรือรบทงเทียนของสายธาราทมิฬและสายธาราโอสถก็เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด นักพรตของสองสายจึงพากันย้ายเข้าไปด้านใน ขณะที่พวกเขาต่างก็เตรียมตัวให้พร้อมเดินทางทุกเมื่อเช่นเดียวกับนักพรตสำนักธาราโลหิต ระดับความถี่ในการขยับมือขวาของบรรพบุรุษโลหิตก็ยิ่งเพิ่มมากจนน่าตกใจ!
จนกระทั่งวันนี้ เมื่อนิ้วมือทั้งห้าบนฝ่ามือของบรรพบุรุษโลหิตต่างก็ขยับไหวพร้อมกัน เสียงกัมปนาทเขย่าคลอนไปแปดทิศ คนจำนวนนับไม่ถ้วนเห็นกับตาตัวเองว่า นิ้วมือทั้งห้านี้พลันกำเข้าหากันอย่างเชื่องช้า กลายมาเป็นกำปั้นขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง!
เมื่อมันบีบรัดเข้าหากันอย่างแรง ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ผนังหินจำนวนเหลือคณานับบนตำแหน่งหลังมือพลันระเบิดกระจัดกระจาย ท้องฟ้าราวกับมีฝนหินตกลงมา ก่อให้เกิดเสียงร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจจากคนมากมาย ขณะเดียวกันแขนของมือข้างนี้…ก็เริ่มขยับไหว!
ต่อให้เป็นเพียงการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าแบบง่ายๆ ทว่าเนื่องจากแขนข้างนี้เชื่อมต่อกับพื้นดินและแม่น้ำทงเทียน ทำให้ตลอดทั้งพื้นดินสั่นสะเทือน เสียงอึกทึกดังสะท้อน รอยปริแตกมากมายหลายเส้นแผ่กระจายไปทั่วพื้นผิว และขยายลงมายังด้านล่างอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเข้ามาใกล้พื้นดินที่ติดกับแม่น้ำทงเทียนจึงเริ่มพังถล่ม
และนาทีนี้ การกลิ้งซัดสาดของแม่น้ำก็ดุเดือดมากขึ้นอีกหลายเท่า ถึงกระทั่งที่ว่าแม้แต่เรือรบทงเทียนของสำนักธาราโอสถก็ยังโยกคลอนเพราะการกระเพื่อมของน้ำ
“นี่เขาคิดจะทำอะไร…”
“ขยับแขน หรือว่า…”
“หรือว่าจะค้ำลงบนพื้น เพื่อยืมกำลังในการยันตัวลุกขึ้นยืน!” บุรพาจารย์ชื่อหุนร้องอุทานเสียงหลง คำพูดของเขาดังขึ้น คนรอบด้านเงียบเสียงก่อนเป็นอันดับแรก ทว่าหลังจากนั้นก็ค่อยๆ มองออกว่าแขนยักษ์ข้างนี้คล้ายจะทำท่าทางเช่นนั้นจริงๆ บุรพาจารย์สามสำนัก ลูกศิษย์ทุกคนเวลานี้ต่างก็กลั้นลมหายใจ เสียงกู่ร้องของสำนักธาราโลหิตดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง
“ลุกขึ้นยืน!”
“ลุกขึ้นยืน!!”
“ลุกขึ้นยืน!!!”
เสียงนี้ดุเดือดมากขึ้นทุกครั้งที่เอ่ย คล้ายว่าทุกคนคิดจะระเบิดเสียงตะโกนที่ดังก้องในใจตลอดครึ่งเดือนมานี้ออกมาทางปากในคราเดียว
ขณะที่เสียงตะโกนนี้ดังสะท้อน แขนของบรรพบุรุษโลหิตก็ยิ่งขยับเคลื่อนรุนแรง ท่ามกลางเสียงเปรี๊ยะๆ หินที่ร่วงกราวลงมายิ่งมีมากกว่าเดิม และเวลานี้ ในร่างของบรรพบุรุษโลหิต นักพรตสร้างฐานราก ยาอายุวัฒนะและพวกบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิต ภายใต้การรวมตัวกันอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งเดือน ตบะของทุกคนต่างก็ระเบิดออกอย่างไม่หยุดยั้ง ผสานรวมเข้ากับบรรพบุรุษโลหิต และเริ่มขยับเข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ!
และผู้ที่ยากลำบากมากกว่าใครก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!
เขาไม่เพียงแต่ต้องเชื่อมโยงจิตสำนึกของทุกคนเข้าด้วยกันเพื่อแปลงออกมาเป็นความคิดหนึ่งเดียว ขณะเดียวกันก็ต้องแผ่กระจายจิตสำนึกไปทั่วร่างของบรรพบุรุษโลหิต เขาเป็นเหมือนจุดศูนย์กลาง หากผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวทุกอย่างก็จะล้มเหลว
เวลาครึ่งเดือนมานี้เขาทดลองอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าล้มเหลวมาแล้วกี่ครั้ง ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ นักพรตของสำนักธาราโลหิตช่วยประคับประคองเขา มอบพลังให้แก่เขา มอบแรงใจให้กับเขา สิ่งที่เขาต้องทำก็คือหลอมรวมทุกอย่างนี้ให้กลายมาเป็นแรงผลักดันให้บรรพบุรุษโลหิตลุกขึ้นยืน!
เวลานี้ร่างของเขาสั่นเยือก นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวใจของบรรพบุรุษโลหิต เมื่อหัวใจของเขาเต้น หัวใจของบรรพบุรุษโลหิตก็สั่นไหวไม่หยุด ทั้งยังมีปราณเลือดปริมาณมากไหลเข้าไปตามหลอดเลือดทั่วร่าง
“ข้า คือบรรพบุรุษโลหิต!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงทุ้มต่ำ เมื่อได้ผ่านการหลอมรวมมาตลอดครึ่งเดือน บัดนี้จิตสำนึกของเขาจึงไม่เพียงแต่ชักนำทุกสิ่งอย่างของทุกคน ทั้งยังไร้ข้อผิดพลาดใดๆ แปลงสิ่งเหล่านั้นให้กลายมาเป็นพลังของตัวเองส่งเข้าไปยังทุกขอบเขตในร่างกายของบรรพบุรุษโลหิต
เสียงกึกก้องดังกังวาน ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน ภายใต้การคำรามกร้าวของเขา สมองของเขาก็ยิ่งเกิดเสียงดังอึงอล ราวกับว่าวินาทีนี้ เขาได้กลับไปมีความรู้สึกเหมือนตอนได้รับการสืบทอดอีกครั้ง ในความรู้สึกนั้น เขา…ก็คือบรรพบุรุษโลหิต!
บัดนี้ความรู้สึกนี้เด่นชัดยิ่งกว่าคราวที่แล้ว ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหนักแน่นยืดยาว เขารีบคว้าจับความรู้สึกนี้ไว้ทันที มือขวาพลันยกขึ้นแล้วกดลงไปบนพื้นด้านล่างอย่างแรง
แทบจะวินาทีเดียวกับที่มือขวาของเขายกขึ้น นักพรตสามสำนักที่อยู่ภายนอกล้วนเบิกตากว้าง ในสมองของทุกคนมีเสียงดังอึงอล คนมากมายร้องอุทานเสียงหลง!
“นี่…”
“ขยับแล้ว!!”
ในสายตาของทุกคน มือใหญ่ของบรรพบุรุษโลหิตที่กลายมาเป็นที่ตั้งสำนักธาราโลหิต เวลานี้ค่อยๆ ยกขึ้นท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากที่มือโค้งงอลง ทันใดนั้น…กำปั้นก็วางประทับลงไปบนพื้นดิน ข้อศอกยกขึ้นสูง คล้ายคนคนหนึ่งที่เอามือยันพื้นดิน เพื่อประคองร่างของตัวเอง หมาย…ลุกขึ้นยืน!!
พื้นดินส่งเสียงดังสะเทือนแก้วหู รอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วนพังถล่มทลาย ฝุ่นผงคละคลุ้งอบอวล ก่อเกิดเป็นลมพายุบ้าคลั่งพัดกวาดไปรอบด้าน ตลอดทั้งพื้นดินถูกกดทับจนยุบยวบลงไปเป็นหลุมลึกใหญ่ยักษ์
เวลานี้คลื่นลูกใหญ่บนแม่น้ำทงเทียนถาโถมคล้ายกำลังคลุ้มคลั่ง การโหมซัดสาดเช่นนี้ของแม่น้ำ ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในความทรงจำของทุกคน…และวินาทีที่ทุกคนสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ แสงสว่างสองเส้นพลันเปล่งวาบขึ้น…ด้านล่างแม่น้ำทงเทียนแห่งนี้!
นั้นคือประกายแสงของดวงตา คือแสงจากดวงตาของบรรพบุรุษโลหิต และเป็นแสงจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน!
เบื้องใต้แม่น้ำทงเทียน บรรพบุรุษโลหิตที่ไม่รู้ว่านิพพานมาแล้วกี่ปี ดวงตาทั้งคู่บนศีรษะขนาดมหึมาของเขา…ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ!!