Skip to content

A Will Eternal 36

บทที่ 36 เจ้าเต่าน้อยผู้พิชิต!

ด้วยความกระหายต่อขั้นสร้างฐานรากของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากถูกคำพูดของสวีเป่าไฉปลุกระดมขึ้นมา อีกหลายวันต่อมาเขาก็ไปยังหอคัมภีร์ติดต่อกันหลายครั้ง ทั้งยังไปเยือนวิหารเสินอู่ด้วย

ในวิหารเสินอู่มีความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับโลกของการบำเพ็ญเพียรเอาไว้มากมาย สำหรับขั้นฐานรากก็มีคำบรรยายที่ค่อนข้างละเอียด หลังจากได้เห็นว่าสิ่งที่เขียนไว้ข้างในไม่ต่างไปจากสิ่งที่สวีเป่าไฉพูดเอาไว้ ไฟในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลุกโหมขึ้นมาทันที

เขารู้สึกว่าขอเพียงฝึกได้ถึงขั้นสร้างฐานราก หนทางการเป็นอมตะของตนเองก็จะได้ก้าวขยับไปอีกก้าวใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาเข้าใจว่าขั้นสร้างฐานรากมีถึงสามวิธี อีกทั้งอายุขัยที่เพิ่มขึ้นก็ไม่เหมือนกัน ทำให้ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก จากการศึกษาค้นคว้าไม่หยุดหย่อนของเขา หลายวันผ่านไป ในที่สุดเขาก็เข้าใจขั้นสร้างฐานรากได้อย่างถ่องแท้

“เวหา ปฐพี มนุษย์ ฐานรากสามชนิด…”

“การสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ จำเป็นต้องใช้ยาสร้างฐานราก อัตราสำเร็จมีไม่มาก หากสำเร็จ อายุขัยจะเพิ่มขึ้นร้อยปีทันที”

“การสร้างฐานรากวิถีปฐพี หลอมรวมกับพลังปราณดิน ผลสำเร็จคือพลังสะเทือนฟ้าดิน อัตราสำเร็จก็ยิ่งน้อย แต่หากทำสำเร็จขึ้นมา อายุขัยจะเพิ่มสองร้อยปี!”

“สุดท้ายก็คือวิถีการสร้างฐานรากในตำนาน…วิถีเวหา หาได้ยากยิ่ง อาจบังเอิญเจอแต่มิอาจเฝ้าแสวงหา ทว่าหากมีโชควาสนาฝึกขั้นนี้ได้สำเร็จ จะเพิ่มอายุขัยได้ถึงห้าร้อยปี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนศึกษาอย่างละเอียด รู้สึกว่าการสร้างฐานรากวิถีเวหาช่างเลื่อนลอยมิอาจไขว่คว้า ส่วนการสร้างฐานรากวิถีปฐพีจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่พิเศษถึงจะมีพลังปราณดิน

ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ง่ายที่สุดตรงหน้าเขา ก็คือการสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ วิชานี้จำเป็นต้องใช้ยาสร้างฐานราก

“ตอนนี้ข้าต้องวางแผนในอนาคตเสียแล้ว จำเป็นต้องเตรียมการให้พร้อม มีแผนการที่มั่นคง ยาสร้างฐานรากจำเป็นต้องมี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก วางแผ่นหยกลง นัยน์ตาเปล่งประกาย

“ยาสร้างฐานรากราคาแพงหูฉี่ แต่เพื่อป้องกันข้อผิดพลาด ข้าจำเป็นต้องเตรียมยาสร้างฐานรากเอาไว้ให้เยอะสักหน่อย ถ้าเช่นนั้น…วิธีที่ดีที่สุดก็แน่นอนว่าต้องหลอมด้วยตนเอง!” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายแสงโชติช่วงขึ้นหนึ่งที เดิมทีเขาก็ตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ด้านโอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่หลอมยาอายุวัฒนะออกมาอยู่แล้ว ในเวลานี้จึงยิ่งยึดมั่นในอุดมการณ์นี้ของตนเองเข้าไปอีก

“เด็กโอสถ ศิษย์โอสถ อาจารย์โอสถ…ตอนนี้ข้าคือเด็กโอสถ คิดจะเป็นศิษย์โอสถเริ่มหลอมยาอย่างจริงจัง จำเป็นต้องไปสอบเลื่อนขั้น… การสอบจำต้องมีความรู้ด้านพืชหญ้าอย่างน้อยถึงบทที่ห้า แต่แบบนี้ยังไม่มั่นคง ข้าจำเป็นต้องเข้าใจสัตว์วิเศษทั้งห้าบทให้ดีประหนึ่งเส้นลายมือของตนเสียก่อน จึงจะเรียกว่ามั่นคง” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววเด็ดเดี่ยว หยิบเอาแผ่นหยกพืชหญ้าบทที่สามออกมา หลังจากอ่านอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้ว แน่ใจว่าจดจำทุกอย่างได้อย่างแม่นยำ จึงลุกขึ้นถลาออกไปด้านนอกทันที

แต่ไม่นานก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ในลานบ้านพักใหญ่แล้วจึงหยิบเอาเสื้อผ้ามากชิ้นออกมาสวม ปลอมแปลงตัวเองเสร็จเรียบร้อยถึงได้วางใจ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

“พวกผู้คนที่เลื่อมใสโจวซินฉีเหล่านั้นน่ากลัวเกินไป ป่าวประกาศออกมาว่าจะจับข้าฉีกออกเป็นแปดชิ้น… ทำเอาข้ามิกล้าออกตัวแรง” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ

“หึ รอให้ข้าฝึกขั้นสร้างฐานรากได้ก่อนเถอะ ภายใต้สายตาของคนนับหมื่น ข้าจะต้องบอกกับทุกคนว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือท่านเต่า ถึงเวลานั้นล่ะดูซิใครยังจะกล้ามาฉีกเนื้อข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนประเมินความต่างชั้นระหว่างตนเองกับพวกที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นแล้วเอ่ยคำสาบาน

แต่ไหนแต่ไรมาหอหมื่นโอสถมักมีแต่คลื่นมหาชน ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขาเซียงอวิ๋นเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ลูกศิษย์ที่มีความมุ่งมาดปรารถนาต่อความรู้ด้านพืชหญ้าของภูเขาชิงเฟิงและภูเขาจื่อติ่งเองก็มาที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมุดเข้าไปในกลุ่มคน ถือโอกาสที่คนรอบด้านไม่ให้ความสนใจเดินเข้าไปในบ้านไม้ที่อยู่ใต้ศิลาพืชหญ้าบทที่สาม หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงผลักประตูเปิดออก รีบก้าวเดินเร็วๆ เข้าไปรวมกับกลุ่มฝูงชน

แม้ตั้งใจจะจากไปในทันที แต่ก็ยังอดที่จะแหงนหน้าอย่างรอคอยไม่ได้ ไม่นานเท่าไหร่เสียงตื่นตะลึงก็ลอยมา คนทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนเห็นว่าบนป้ายศิลาพืชหญ้าบทที่สาม มีภาพเต่าน้อยหนึ่งตัวกำลังขี่อยู่บนรูปคนโท

ป๋ายเสี่ยวฉุนแอบภาคภูมิใจอยู่กับตัวเองอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกตะลึง เขาเองก็วางท่าสงสัยตกใจร่วมตะโกนกับคนอื่นๆ อยู่สองสามที แต่ไม่นานผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็ปรากฏตัว แต่ละคนล้วนมีท่าทีดุร้าย ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับกำหมัดแน่น

‘คนพวกนี้นี่แหละที่ทำเอาข้าต้องสงบเสงี่ยมขนาดนี้’ ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องเขม็งไปที่คนพวกนั้นด้วยความโกรธแค้นหนึ่งทีค่อยหมุนตัวรีบเดินจากไป

วันต่อมา ข่าวเกี่ยวกับการปรากฏตัวอีกครั้งของเจ้าเต่าน้อยก็แพร่สะพัดไปทั่วฝ่ายนอกของเขาเซียงอวิ๋น ทุกคนล้วนพูดถึง เพราะตลอดหนึ่งปีมานี้ รูปภาพของเต่าน้อยปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นมากบนป้ายศิลา

แต่ขณะที่การพูดคุยเรื่องนี้เพิ่งจางลง ในวันหนึ่งของหนึ่งเดือนต่อมา ลูกศิษย์ของหอหมื่นโอสถก็ได้เห็นว่าเจ้าเต่าน้อยปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งบนป้ายศิลาแผ่นที่สี่อย่างกะทันหัน ซึ่งยังคงขี่อยู่บนรูปคนโท กลายเป็นอันดับหนึ่ง

เสียงฮือฮาดังเกรียวกราวขึ้นในบัดดล!

“ใกล้จะอยู่เหนือศิษย์พี่หญิงโจวซินฉีแล้ว เจ้าเต่าน้อยตัวนี้เป็นอันดับหนึ่งของทั้งสี่ป้ายแล้ว!”

“เขาได้สี่ป้าย ศิษย์พี่หญิงโจวซินฉีได้ห้าป้าย เจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใครกันแน่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนกรีดร้องขึ้นมา สบายอุราอยู่ในใจ ตามองเห็นการมาเยือนอย่างบ้าคลั่งของผู้ที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้น เขาไอแห้งๆ หนึ่งที ก้มหน้าลงหลบซ่อนตัวด้วยความหงุดหงิด

หลายวันต่อมา โจวซินฉีปรากฏตัวขึ้นที่หอหมื่นโอสถ มองไปยังป้ายศิลาทั้งสี่แผ่นนั้น สีหน้าของนางเคร่งขรึม นางเดินเข้าไปในบ้านไม้ของป้ายศิลาแผ่นที่สิบ ตอนที่ออกมา อันดับหนึ่งของป้ายศิลาแผ่นที่สิบได้ถูกนางยึดครองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

มาถึงตอนนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของภูเขาเซียงอวิ๋นทั้งหมดล้วนพุ่งความสนใจมาที่หอหมื่นโอสถ โจวซินฉีหกป้าย เจ้าเต่าน้อยสี่ป้าย…

พวกเขาล้วนกำลังคาดเดาว่าเดือนหน้าเจ้าเต่าน้อยตัวนั้นจะปรากฏตัวอีกครั้ง คว้าห้าป้ายศิลา ทัดเทียมกับโจวซินฉีได้หรือไม่

ถึงขนาดที่ว่าลูกศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ล้วนเริ่มพนันขันต่อกันว่าเจ้าเต่าน้อยนี่จะได้อันดับหนึ่งของห้าป้ายหรือไม่ แม้แต่ผู้อาวุโสของเขาเซียงอวิ๋นเองก็เริ่มให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ หลังจากทุกครั้งที่คว้าอันดับหนึ่งและแลกเอาแผ่นหยกมาได้ เขาก็ศึกษาอยู่ทั้งวันทั้งคืน บวกกับที่เขาเกลียดพวกที่บูชาโจวซินฉีเหล่านั้นด้วย ดังนั้นทุกเดือนหลังจากคว้าอันดับหนึ่งจากหอหมื่นโอสถมาได้ จึงมักจะตะโกนกรีดร้องอยู่ในกลุ่มคนครู่หนึ่ง เพื่อระบายความเลื่อมใสที่ตนเองมีต่อเจ้าเต่าน้อย

ไปๆ มาๆ เขาก็ค่อยๆ ได้รู้จักกับคนจำนวนไม่น้อยในฝูงชนที่เลื่อมใสเจ้าเต่าน้อยเช่นกัน แน่นอนว่าในนั้นก็เป็นความดีความชอบของเขาด้วย เขาแทบจะไม่ปล่อยโอกาสใดๆ ในการป่าวประกาศถึงเจ้าเต่าน้อยให้หลุดรอดไป อย่างเช่นโหวเสี่ยวเม่ยเอง เวลานี้ก็เลื่อมใสบูชาเจ้าเต่าน้อยจนถึงขีดสุดไปแล้ว

ในที่สุดอีกหนึ่งเดือนต่อมา วันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง คนโทบนป้ายศิลาที่ห้าได้สว่างวาบขึ้นกะทันหันและตกอันดับลงมา ส่วนด้านบนของภาพคนโท เจ้าเต่าน้อยตัวนั้นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

ในเวลานี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเซียงอวิ๋นต่างสะเทือนเลือนลั่นกันไปหมด คนเหลือคณานับรุดหน้าพากันมาดู ถึงขั้นที่ว่าวันต่อๆ มา เรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นมีแต่เรื่องเจ้าเต่าน้อยตัวนี้

“เจ้าเต่าน้อยนี่ต้องมีความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าจนถึงระดับที่มิอาจบรรยายได้อย่างแน่นอน ถึงสร้างความตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้”

“ร้ายกาจ เจ้าเต่าน้อยนี่สูสีกับศิษย์พี่หญิงโจวเลย…”

ในกลุ่มคนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครคาดเดาว่าอีกฝ่ายคือป๋ายเสี่ยวฉุน แม้แต่พวกผู้ที่ชื่นชมโจวซินฉีเอง ภายใต้ความบ้าคลั่งนั้น ก็ล้วนไม่ได้ปล่อยเป้าหมายที่น่าสงสัยไปแม้แต่คนเดียว และแน่นอนว่าพวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นพิเศษ

ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคับแค้น เพื่อขจัดความหวาดระแวง จึงทำได้เพียงแสร้งทำท่าทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เดินเข้าไปยังป้ายศิลาแผ่นที่สี่ต่อหน้าคนทั้งหมดแล้วยืนเหม่ออยู่ในนั้นครู่หนึ่ง หลังจากสาบานกับตนเองว่าวันหน้าจะต้องเอาคืนคนพวกนั้นให้ได้ ถึงได้เดินออกมา

หลายครั้งต่อมา ผู้ที่ชื่นชอบเหล่านั้นก็ค่อยๆ ย้ายเป้าหมายที่พวกเขาสงสัยไปยังคนอื่น เพราะยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐาน ยากจะหาคำตอบที่แท้จริงได้

แต่พวกเขากลับปล่อยถ้อยคำร้ายกาจออกมาหลายครั้ง บอกกับทุกคนว่าหากคราวนี้หาตัวเจ้าเต่าน้อยคนนั้นเจอ จะไม่ใช่แค่ฉีกร่างเขาออกเป็นแปดชิ้น แต่เตรียมฉีกเป็นสิบแปดชิ้นแทน!

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เข้าก็นึกสภาพที่ตนเองถูกฉีกเป็นสิบแปดชิ้น ตัวสั่นอยู่สักพักก็กัดฟัน ความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง

“พวกเจ้าไม่ชอบใจกันนักใช่ไหม ยิ่งพวกเจ้าไม่ชอบใจ ข้าก็จะยิ่งเอาที่หนึ่งมาครอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ใช้วิธีนี้เอาคืนอีกฝ่ายกลับเสียเลย

หนึ่งเดือนต่อมา ป้ายศิลาแผ่นที่หก เจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่ง!

อีกหนึ่งเดือนต่อมา ป้ายศิลาแผ่นที่เจ็ด เจ้าเต่าน้อยอยู่อันดับหนึ่งอีกครั้ง!

พริบตาเดียวที่ได้อันดับหนึ่งทั้งเจ็ดป้ายศิลา ทั่วสารทิศของหอหมื่นโอสถมีเสียงไชโยโห่ร้องอย่างดุเดือดระเบิดออกมา

“อันดับหนึ่งเจ็ดป้าย เจ้าเต่าน้อยสู้ๆ ริเริ่มการคว้าอันดับหนึ่งทั้งสิบป้ายศิลาอย่างที่ศิษย์พี่หญิงโจวก็ยังทำไม่ได้!”

“ฮ่าๆ ข้าเอาใจช่วยเจ้าเต่าน้อยตัวนี้ เขาต้องทำสำเร็จแน่!”

ในขณะที่ผู้คนเหลือคณานับกำลังไชโยโห่ร้อง บริเวณรอบๆ มีชายหนุ่มสิบกว่าคนใบหน้าดำคล้ำ โดยเฉพาะลูกศิษย์ฝ่ายในที่อยู่ในนั้น สายตาก็ยิ่งดำมืด มีคนผู้หนึ่งที่ใบหน้ามีกระจำนวนไม่น้อย สวมเสื้อคลุมยาวของลูกศิษย์ฝ่ายใน สายตาของเขาดุดันมากที่สุด

“ศิษย์น้องทุกท่าน หากมีคนรู้ว่าเจ้าเต่าน้อยนี่เป็นใคร บอกข้าผู้แซ่เฉียนด้วย รับรองว่าข้าผู้แซ่เฉียนจะตอบแทนอย่างงาม!” ชายหนุ่มหน้าตกกระผู้นี้เอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหัน น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง กดดันทุกคนได้ในพริบตาเดียว

คนไม่น้อยรีบหันมามองชายหนุ่มหน้าตกกระผู้นี้ทันที พอจำได้ว่าเขาคือใครก็รีบหลบสายตา แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่แม้ว่าจะแสดงความโกรธเคืองออกมาแต่ก็ไม่กล้าพูดมาก

“นั่นคือลูกศิษย์ฝ่ายในที่เข้าร่วมศาลาพิพากษ์ เฉียนต้าจิน ศิษย์พี่เฉียน…”

“ได้ยินว่าคนๆ นี้ปรารถนาทั้งในตัวศิษย์พี่หญิงโจว และตู้หลิงเฟย…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย หลังจากที่เห็นภาพนี้แล้วจึงมองชายหนุ่มหน้าตกกระคนนั้นด้วยสีหน้าแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมพร้อมกับคนรอบกาย จนกระทั่งกลับมาถึงที่พักแล้ว พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงอีกฝ่ายขึ้นมาเมื่อไหร่ ในใจก็ให้โมโหเมื่อนั้น

“ยังไงซะเจ้าก็หาตัวข้าไม่เจอ ข้าก็จะขอสู้กับเจ้าดูสักตั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้า ขณะที่ศึกษาสัตว์วิเศษห้าบท เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น พร้อมๆ กับที่ทำความเข้าใจข้อมูลของร่างกายสัตว์วิเศษที่สามารถนำมาหลอมเป็นยาวิเศษได้ ความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของเขาก็ก้าวหน้าไปอีกไม่น้อย

โดยเฉพาะหลังจากที่นำข้อมูลมารวมเข้าด้วยกันแล้ว ความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน

หนึ่งเดือนต่อมา ป้ายศิลาแผ่นที่แปด รูปภาพเต่าน้อยขึ้นแทนที่คนโท กลายเป็นอันดับหนึ่ง!

และอีกหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ป้ายศิลาแผ่นที่เก้า เต่าน้อยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้ง!

จนถึงตอนนี้ ได้อันดับที่หนึ่งของเก้าป้ายแล้ว!

เรื่องนี้ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกของหอหมื่นโอสถล้วนเดือดพล่านกันขึ้นมา พากันตื่นเต้นฮึกเหิม เสียงที่ร่ำร้องให้เจ้าเต่าน้อยคว้าอันดับหนึ่งได้ทั้งสิบป้ายก็ค่อยๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้แต่พวกคนที่ชื่นชอบโจวซินฉีเหล่านั้นก็มิอาจขัดขวางได้ ทำได้เพียงมองดูชื่อเสียงและบารมีของเจ้าเต่าน้อยถูกดึงให้สูงขึ้นเหนือกว่าโจวซินฉีไปกับตา

ในที่สุดเดือนสุดท้าย ช่วงเที่ยงวันอันเป็นช่วงที่หอหมื่นโอสถมีลูกศิษย์มารวมตัวกันเยอะมากที่สุด ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอมตัวมาเรียบร้อย สีหน้าเผยความเด็ดเดี่ยว ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจ เข้าแถวยืนรออยู่พักใหญ่และเหยียบย่างเข้าไปในบ้านไม้ใต้ป้ายศิลาแผ่นที่สิบอย่างเงียบเชียบ

ทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าป้ายอักษรในบ้านไม้แล้วยกมือขวาขึ้นมากดลงไปด้านบน ในสมองมีเสียงดังเลือนลั่น และก็มาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่มายาที่คุ้นเคย

เขามองเศษซากของพืชหญ้า รวมไปถึงสัตว์วิเศษจำนวนนับล้านที่เปล่งแสงวูบวาบอยู่ด้านหน้า สายตาเผยความมุ่งมั่น มือทั้งคู่ตวัดโบกระรัวในพริบตา เริ่มดำเนินการทดสอบ ครู่เดียวชิ้นส่วนของสมุนไพรและสัตว์วิเศษก็ถูกเขาประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ

หนึ่งพัน ห้าพัน หนึ่งหมื่น…

สามหมื่น ห้าหมื่น แปดหมื่น…

นี่เป็นการทดสอบที่ยากที่สุดเท่าที่เขาเคยผ่านมา หน้าผากเขาค่อยๆ มีเหงื่อผุดซึม ดวงตาทั้งคู่มีเส้นเลือดฝอย ร่างทั้งร่างราวกับปีศาจผู้บ้าคลั่ง ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง จมจ่อมอยู่กับการประกอบพืชหญ้าและสัตว์วิเศษเหล่านั้น แม้มือทั้งสองข้างจะเจ็บปวด แม้สมองปานจะพลิกคว่ำแม่น้ำและทะเลให้วายวอด แต่เขาก็ยังคงกัดฟันยืนหยัดทำต่อไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ พริบตาที่การทดสอบศิลาแผ่นที่สิบสิ้นสุดลง มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นน้อยๆ เมื่อประกอบสมุนไพรต้นสุดท้ายเสร็จ ทั้งตัวเขาก็ราวกับเกิดอาการเสื่อมทรุด ดวงตาพร่าเลือน เมื่อมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งก็กลับมาอยู่ในบ้านไม้แล้ว

ลมหายใจของเขาหอบกระชั้น แต่ในดวงตากลับเผยความพึงพอใจ เช็ดเหงื่อออก ออกแรงกำหมัดแน่นๆ หนึ่งที นัยน์ตาฉายความฮึกเหิม

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version