Skip to content

A Will Eternal 393

บทที่ 393 ถูกร้องเรียน

ตอนนี้ผู้พิทักษ์ทั้งห้าคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพามา นอกจากซ่งเชวียที่ยังอยู่ข้างนอกไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว คนที่เหลืออีกสี่คนต่างก็กลับมาอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง

ต่อให้เป็นเฉินม่านเหยาเองก็ยังพินอบพิเทาต่อป๋ายเสี่ยวฉุน ความเคารพนับถือที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยตบะก็ได้มาเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานเป็นสุขทุกครั้งที่นึกถึง

และการมาของจางต้าพั่งก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนวางหินก้อนใหญ่ในใจลงไปได้ ระหว่างเขาและจางต้าพั่งนั้นไม่เหมือนกับเสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉ เพราะการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างลงมาบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตบะ

สามารถพูดได้ว่าเมื่อจางต้าพั่งมาอยู่พรรคมังกรเขียวก็กลายมาเป็นบุคคลอันดับสองของพรรคมังกรเขียวทันที อยู่เหนือเสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉ เรื่องนี้ เสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะพวกเขาเองก็รู้ว่าจางต้าพั่งและป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นสนิทสนมกันอย่างมาก

และท่ามกลางการแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องนี้ก็ทำให้พรรคมังกรเขียวยิ่งมีขนาดใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งนอกจากยาหลอนประสาทแล้ว พวกเขายังทำกิจการในด้านอื่นๆ คล้ายมีเจตนาจะแก่งแย่งชิงดีกับพรรคท้องฟ้า

ทว่านี่ยังจำเป็นต้องใช้เวลา และยิ่งจำเป็นต้องมีคะแนนคุณความดีมหาศาลไปเกื้อกูล และในตอนนี้ยาหลอนประสาทถึงจะเป็นส่วนที่ช่วยเลี้ยงชีพที่ใหญ่ที่สุดให้กับพรรคมังกรเขียว

เรื่องเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ต้องไปสนใจ สามารถโยนให้พวกจางต้าพั่งจัดการได้เลย เขากำลังกระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ

มีเพียงสิ่งเดียวที่รู้สึกเสียดายก็คือตนร้ายกาจขนาดนี้ทว่ากลับไม่มีถ้ำส่วนตัวเป็นของตัวเองในนครฟ้า ทุกอย่างที่มีตอนนี้ล้วนต้องเช่าเอาเท่านั้น

นี่ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แต่เขาก็ไปลองสืบข่าวมาแล้ว รู้ว่าตลอดทั้งนครฟ้าแห่งนี้ คนที่จะมีที่ดินส่วนตัวได้นั้นมีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ล้วนจำเป็นต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดเท่านั้นถึงจะได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าภูมิหลังของตัวเองไม่ยิ่งใหญ่อะไรจึงได้เพียงถอดใจ เวลานี้ทั้งใจและกายล้วนจมจ่อมอยู่ท่ามกลางการฝึกบำเพ็ญตบะ อาศัยคะแนนคุณความดีปริมาณมหาศาลในพรรคมังกรเขียวมาซื้ออาหารและยาวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วน ทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญตบะของเขาทะยานขึ้นสูงลิ่ว

สามารถพูดได้ว่าการใช้คะแนนคุณความดีที่สะสมมานี้ ในที่สุดเมื่อจ่ายคะแนนคุณความดีไปเกือบล้านคะแนน วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ฝึกวิชาอมตะมิวางวายขั้นที่สาม…จนถึงน่องของขาซ้าย!

หลังจากที่น่องซ้ายของเขาฝึกเอ็นคงกระพันสำเร็จแล้ว ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเยือก คลื่นพลังที่น่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นบนขาข้างซ้ายของเขาราวกับว่าแฝงเร้นไว้ด้วยพลังบ้าคลั่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

ความแข็งแกร่งของพละกำลังนี้เหนือล้ำเกินกว่าขาขวาของเขามากมายนัก หรือสามารถพูดได้ว่าเวลานี้ตลอดทั้งร่างของเขา พลังกล้ามเนื้อของขาซ้ายนั้นคือจุดที่แข็งแกร่งมากที่สุด

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองดูเขายังค้นพบด้วยว่าที่แข็งแกร่งมิใช่เพียงพละกำลังเท่านั้น ยังมีความเร็วด้วย…พอออกแรงขยับขาซ้าย ความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวขึ้นไป!

ต้องรู้ด้วยว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดในบรรดาคนระดับเดียวกันแล้ว เพราะยังไงซะนั่นก็คือร่างของวัชระมิวางวาย

นั่นคือยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า ทว่าตอนนี้…เมื่อใดที่เขาขยับขาซ้าย ความเร็วของพลังเขาก็มากพอจะทำให้ทุกคนที่มองเห็นสำลักลมหายใจได้!

อีกทั้งในความเร็วที่มากถึงขีดสุดนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนยังรู้สึกด้วยว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกายกลายมาเป็นอุปสรรคจำกัดความเร็วของตัวเขาเอง ซึ่งแค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าความเร็วนี้ไต่ไปถึงระดับไหน

“หากมีวันหนึ่งที่ทุกส่วนในร่างของข้าสามารถฝึกเอ็นคงกระพันได้สำเร็จ แล้วหากข้าระเบิดใช้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ลมหายใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น นัยน์ตาเผยความคาดหวังที่รุนแรง

นี่หากอยู่สำนักสยบธารของแม่น้ำตอนกลาง บางทีอาจจำเป็นต้องใช้เวลานานมาก ต่อให้มีร่างของบรรพบุรุษโลหิตก็ยากนักที่จะฝึกได้เร็วกว่านี้ ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณที่เข้มข้นจนมิอาจบรรยายได้ ทั้งยังมียาวิเศษสรรพคุณมหัศจรรย์มากมายที่หาไม่ได้ในแม่น้ำตอนกลาง บวกกับอาหารวิเศษเหล่านั้น ทำให้ทุกอย่างนี้…เป็นจริงขึ้นมาได้!

เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ หากคิดจะได้วัตถุต่างๆ เหล่านี้มาครอบครอง จำเป็นต้องจ่ายคะแนนคุณความดีมหาศาล แต่ตอนนี้สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว สิ่งที่เขามีมากที่สุด…ก็คือคะแนนคุณความดี

นอกจากเอ็นคงกระพันที่ฝึกสำเร็จส่วนน้อยแล้ว ส่วนของคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดที่เมื่อใช้คะแนนคุณความดีจำนวนเหลือคณานับ และยังมียาวิเศษรวมถึงอาหารวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ก้าวหน้าพรวดพราดเช่นเดียวกัน

แม่น้ำทงเทียนของที่นี่ไม่เหมือนกับแม่น้ำตอนล่างและตอนกลางเท่าไหร่นัก ไม่ต้องพูดถึงว่าเข้มข้นยิ่งกว่า ระดับความบริสุทธิ์ของมันก็ไม่สามารถทัดเทียมได้ และป๋ายเสี่ยวฉุนยังจ่ายคะแนนคุณความดีหลายแสนคะแนนเพื่อซื้อ…น้ำทะเลทงเทียนมาโดยเฉพาะอีกหนึ่งถ้วยด้วย

และก็เพราะมีน้ำทะเลทงเทียนนี้จึงทำให้คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดพลังตูมตาม ไต่ไปถึงจุดสูงสุดของความเย็นระดับล่าง ตอนนี้เมื่อเขาโบกมือก็สามารถทำให้ในรัศมีร้อยจั้งรอบด้านกลายเป็นพื้นที่เย็นเยียบได้ในพริบตา และในรัศมีร้อยจั้งนี้ยังมีเงาแห่งความเย็นที่พร่าเลือนเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้วย

พื้นที่ที่มีเงานี้อยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังสามารถสลับตำแหน่งได้ในชั่วพริบตาภายในระยะเวลาสั้นๆ อยู่หลายครั้ง หากใช้ดีๆ ยังสามารถคว้าเอาชัยชนะมาได้โดยที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว หรือหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งก็ยังเปลี่ยนจากแพ้มาเป็นชนะได้!

เรื่องนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด เขายังแบ่งพื้นที่หนึ่งไว้ใช้ฝึกวิชานี้โดยเฉพาะ ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าใกล้อย่างเด็ดขาด มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่ทดลองฝึกอยู่ด้านใน ทุกครั้งที่ตบะแผ่ออก รัศมีร้อยจั้งก็จะเย็นเยียบทันที ส่วนการลอดทะลุผ่านเงาร่างมายา แค่เขาคิดก็สามารถกำหนดให้มันจำแลงขึ้นมาในจุดใดก็ได้ในรัศมีร้อยจั้งนี้

และเขาแค่เดินออกมาก้าวเดียวก็สามารถเปลี่ยนตำแหน่งกับเงาน้ำแข็งมายานั่นได้ทันที คุณประโยชน์ไร้ที่สิ้นสุด หลังจากทดลองทำอยู่หลายครั้ง ความตื่นเต้นของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มากจนยากจะบรรยาย

เวลาเดียวกันนั้น เมื่อไอความเย็นฝึกได้ถึงจุดสูงสุดของความเย็นระดับล่าง ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มขึ้นเพราะวิชานี้ด้วย ไอความเย็นที่อยู่ในยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าซึ่งเกิดจากมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในร่างก็สะสมได้ถึงระดับที่แน่นอน ทำให้ตบะของเขา…ไต่ไประดับสูงสุดของยาอายุวัฒนะช่วงต้น!

ขาดแค่ก้าวเดียวก็สามารถฝ่าทะลุ กลายมาเป็นยาอายุวัฒนะช่วงกลาง!!

และการฝ่าทะลุก้าวนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีทิศทางที่แน่นอนสำหรับตัวเองอยู่แล้ว นั่นก็คือ…ฝ่าทะลุความเย็นระดับล่าง เยียบย่างเข้าสู่ความเย็นระดับกลาง!

“เมื่อไอความเย็นของข้ากลายเป็นความเย็นระดับกลางนั่นก็คือช่วงเวลาที่ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนได้เหยียบย่างเข้าสู่ยาอายุวัฒนะช่วงกลาง!”

“วันนี้ อีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมาสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของตัวเองในครั้งนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว หากรู้แต่แรกแล้วว่านครฟ้าแห่งนี้ดีขนาดนี้ เขาก็คงมาอยู่ตั้งนานแล้ว

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังลำพองใจสบายอารมณ์อยู่นั้น ความสนใจและความเป็นศัตรูที่พรรคท้องฟ้ามีต่อพรรคมังกรเขียวไม่เคยลดน้อยลง กลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ได้มีการประชุมศึกษากันอยู่หลายครั้งเพื่อพุ่งเป้าเล่นงานพรรคมังกรเขียว พุ่งเป้าเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือนักพรตรวมโอสถ นอกจากจะทำให้พวกเขารับมือไม่ทันแล้ว ยังสูญเสียโอกาสอันดีไปอีก และการที่เจออุปสรรคในคราวก่อนยังทำให้บารมีความน่าเกรงขามของพรรคท้องฟ้าได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วย

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เผชิญหน้ากับพรรคมังกรเขียวที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แผนการชั่วร้ายต่างๆ ล้วนมิอาจเอามาใช้ได้อีกแล้ว อีกทั้งหากใช้กำลังทหาร แม้พรรคท้องฟ้าจะมีภูมิหลังไม่ธรรมดา ทว่าทุกวันนี้ตลอดทั้งพรรคก็ไม่มีนักพรตรวมโอสถอยู่เลยแม้แต่คนเดียว

แม้ว่าภายนอกจะเล่าลือกันว่าคนหนุนหลังของพวกเขาคือตระกูลคนฟ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกลูกศิษย์ชุดส้มที่เป็นผู้อาวุโสของพรรคท้องฟ้าล้วนรู้ดีว่าพวกเขาก็เป็นแค่ข้ารับใช้ของตระกูลคนฟ้าเท่านั้น มองดูเหมือนมีหน้ามีตา ทว่าแท้จริงแล้วกลับไม่ได้รับความสำคัญเท่าใดนัก

ด้วยความจนใจ พวกเขาจึงทำได้เพียงรายงานเรื่องนี้ให้กับตระกูลคนฟ้ารับรู้ พยายามให้ตระกูลคนฟ้าออกหน้าแก้ไขปัญหาให้ เพียงแต่ส่งเรื่องไปแล้วหลายเดือน ตระกูลคนฟ้ากลับไม่คิดจะแยแส

ราวกับว่า…ในสายตาของตระกูลคนฟ้าแล้ว เรื่องเกี่ยวกับนักพรตรวมโอสถเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่เล็กจ้อยด้อยค่ายิ่งนัก หากเรื่องเล็กน้อยแค่นี้พรรคท้องฟ้าก็ยังแก้ไขไม่ได้ ยังจำเป็นต้องให้ตระกูลคนฟ้าออกหน้าให้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องดำรงอยู่อีกต่อไป

หลังจากที่พรรคท้องฟ้ารอคอยคำตอบอยู่นานมากแต่ก็ยังไม่ได้รับผลตอบกลับใดๆ บางคนจึงเริ่มพิจารณาได้ถึงปัญหาของเรื่องนี้ แต่พวกเขากลับไม่คิดยอมแพ้ง่ายๆ

“จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!”

“ถูกต้อง พรรคมังกรเขียวสมควรตายนั่นพัฒนารวดเร็วเกินไปแล้ว หากเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราจะยิ่งกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ!”

“ทว่าตระกูลคนฟ้าก็ไม่สนใจใยดีพวกเราเลย…เฮ้อ”

“และยังมีผู้นำพรรคมังกรเขียวนั่นอีก แม้พวกเราจะสืบหาภูมิหลังของคนผู้นี้ไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล…เหมือนว่ามีคนจงใจลบร่องรอยทุกอย่างของคนผู้นี้ทิ้งไป!”

เวลานี้ฝ่ายในของพรรคท้องฟ้าเองก็เริ่มร้อนใจ ขณะที่กำลังปรึกษาหารือกัน ทันใดนั้นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานซึ่งร่างกายส่วนใหญ่ถูกปกคลุมอยู่ในความมืดได้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วเปล่งเสียงเย็นยะเยียบออกมา

“ตระกูลคนฟ้าไม่สนใจพวกเรา ผู้นำพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งลึกลับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็…ทำลายยาหลอนประสาทไปเสียเลย ทำอย่างนี้ก็เท่ากับทำลายพรรคมังกรเขียวไปด้วย ขณะเดียวกันเมื่อดึงตัวออกมาจากเรื่องนี้ บางทีอาจทำให้เรามองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

“ส่วนวิธีการนั้น…ง่ายมาก เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคิดไม่ถึงก็เท่านั้น พวกเราก็แค่ร้องเรียนเรื่องยาหลอนประสาท…ให้ทางสำนักทราบ!!”

“เพราะยังไงซะยานี้ก็ไม่ถือว่าเป็นวัตถุที่สามารถขายได้อย่างเป็นทางการ!” เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา รอบด้านก็พลันเงียบสงัด ทุกคนที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ต่างก็ฉายประกายแสงคมกล้าออกมาทางดวงตา

ผู้ที่พูดประโยคนี้ก็คือผู้นำพรรคท้องฟ้า

ไม่นานเมื่อได้ความเห็นเป็นเอกฉันท์แล้ว พรรคท้องฟ้าก็ระดมกำลังของพวกเขานำข้อเสียและความอันตรายมากมายของยาหลอนประสาทไปร้องเรียนให้กับทางสำนักทราบ ทั้งยังระดมใช้คนในสายของตัวเองเป็นตัวทดลองผลอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทนด้วย

และสามวันต่อมา บนสายรุ้งชั้นที่สามของน้ำตก สายรุ้งของดินแดนฟ้าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ป่าวประกาศคำสั่งหนึ่งออกไปทั่วทั้งนครฟ้า!

ผู้นำดินแดนฟ้าออกคำสั่งห้ามให้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักซื้อขายยาหลอนประสาทโดยเด็ดขาด!

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งเข้าหาถ้ำของพรรคมังกรเขียว บุกราบเป็นหน้ากลองไปตลอดทาง ค่ายกลทั้งหมดก็มิอาจสกัดกั้นได้ พริบตาเดียวก็ลอดทะลุทุกอย่างมาปรากฏอยู่ในห้องลับ ลอยอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังนั่งสมาธิ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตามองด้วยความตะลึง แผ่นหยกนี้ก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้าบาดตา ทั้งยังมีน้ำเสียงเข้มงวดแก่ชราเสียงหนึ่งดังก้องออกมา

“ตัวประกันสำนักสยบธารป๋ายเสี่ยวฉุน…ข้าผู้อาวุโสคือผู้นำแดนฟ้า เจ้าจงมาพบข้าโดยเร็วที่สุด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version