Skip to content

A Will Eternal 401

บทที่ 401 ใครกันที่บังอาจขนาดนี้

คืนวันนั้นเมื่อซ่งเชวียลืมตาตื่น เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม ดวงตาของเขาเลื่อนลอย ครู่ใหญ่ถึงได้หันไปมองรอบด้าน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันไม่ใช่ภาพมายา แต่เป็นเรื่องจริง เขาก็รู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความเศร้าอาดูรระคนเจ็บแค้น

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ข้า…ข้าลำบากลำบนมาตลอดทั้งปี ประหยัดกินประหยัดใช้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด…”

“เจ้าเป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรกัน!!” คราวนี้ซ่งเชวียร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว เขารู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม รู้สึกอึดอัดคับแค้นใจ รู้สึกแย่และเศร้าโศก เขาย้อนนึกถึงชีวิตนี้ของตัวเองที่หลักๆ แล้วสามารถแบ่งได้เป็นสองช่วง

ช่วงแรกเป็นช่วงที่ชีวิตเขาเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ลำพองใจ เขาคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโลหิต อนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด ทว่าจุดจบของช่วงเวลานี้มาถึงก็เพราะเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน…นับแต่นั้นมาช่วงที่สองของชีวิตก็เริ่มขึ้นด้วยความอยุติธรรม เริ่มขึ้นด้วยความอึดอัดคับแค้นใจ

“หุบเหวอุกกาบาตข้าสู้เขาไม่ได้ ในสำนักโลหิตข้าสู้เขาไม่ได้ ในสำนักสยบธารข้าก็ยังสู้เขาไม่ได้ พอมาอยู่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ ทุกอย่างก็วนกลับวงจรเดิมอีกครั้ง ข้า…แม้แต่การใช้ชีวิตของข้าก็ยังสู้เขาไม่ได้!!” ซ่งเชวียเจ็บแค้นเศร้าโศก เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ ดังนั้นจึงกัดฟันเดินออกไปจากห้อง กลายร่างเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้น ขณะที่กำลังจะจากไปโดยไม่คิดหันหลังกลับมาอีก

ทว่าทันใดนั้น แสงชักนำเส้นหนึ่งพลันเยื้องกรายลงมาจากสายรุ้งแดนฟ้าเหนือน้ำตกแล้วปกคลุมไปทั่วร่างของซ่งเชวีย ซ่งเชวียตะลึงงัน รีบตรวจสอบคะแนนคุณความดีของตัวเองทันใด แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ลมหายใจถี่กระชั้น

คะแนนคุณความดีของเขามีเพิ่มขึ้นมาอีกสองล้านกว่าคะแนน และก็มีเพียงคะแนนจากการสร้างความดีมีมากเกินกว่ากำหนดเช่นนี้เท่านั้นถึงไม่จำเป็นต้องเสียสละตนก็ถูกค่ายกลของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราดึงให้เลื่อนขั้นไปอยู่บนสายรุ้ง

นี่ก็คือกฎของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

เวลานี้เมื่อแสงชักนำเยื้องกรายมาถึง นักพรตของตลอดทั้งนครฟ้าล้วนมองเห็นภาพนี้ ดวงตาของแต่ละคนต่างเผยความอิจฉาและคาดหวัง ซ่งเชวียมีสีหน้าซับซ้อน เขาก้มลงมองโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านล่าง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร

เขากลายมาเป็นคนแรกที่ได้เป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองในบรรดาคนทั้งหมด เป็นคนแรกที่ได้บินขึ้นไปอยู่บนสายรุ้งอย่างแท้จริง แต่เขารู้ดีว่าตัวเองแพ้…อย่างราบคาบแล้ว

ขณะที่กำลังสับสน บนพื้นด่านล่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาจากในห้องแล้วเงยหน้ามองซ่งเชวียที่อยู่บนท้องฟ้า เขาไอแห้งๆ หนึ่งครั้งโบกมือหวอยๆ เอ่ยลา

“อยู่ข้างบนก็ตั้งใจฝึกตนให้ดีนะ อย่าทำให้ข้าและอาหญิงน้อยของเจ้าต้องขายหน้า เจอปัญหาอะไรหรือมีใครรังแกก็มาบอกอาเขยได้ จำไว้ว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า แล้วก็อย่าลืมติดต่อกับคนที่บ้านบ่อยๆ ล่ะ…”

พอได้ยินประโยคนี้ซ่งเชวียก็ยิ่งรู้สึกซับซ้อน ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดันหนึ่งครั้งแล้วจึงถอนหายใจยาว  ขณะที่แสงสีรุ้งสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า เขาก็ปล่อยให้แสงชักนำหมุนร่างตัวเองให้ลอยขึ้นไปบนสายรุ้งแดนฟ้า ไม่นานเงาร่างของเขาก็หายวับไป หลงเหลือเพียงแสงเจ็ดสีที่แผ่กว้างไปทั่วนภากาศ ทำให้ความปรารถนาไร้ขอบเขตก่อเกิดขึ้นในใจของหลายคนที่มองเห็น

ส่งซ่งเชวียเสร็จป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับเข้ามาในห้องด้วยความเบิกบาน เขารู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ภายหลังหากกลับไปเจอซ่งจวินหว่านก็สามารถบอกนางได้ว่าตนดูแลหลานชายของนางเป็นอย่างดี

“มีอาเขยเช่นข้า ช่างเป็นความโชคดีของเชวียเอ๋อร์จริงๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างเอามากๆ ทั้งยังมีมาดของผู้อาวุโส ท่ามกลางความลำพองใจนี้ เขานั่งลงทำสมาธิ ฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดของตัวเองต่อไป

หลังจากเหยียบย่างเข้าสู่ความเย็นระดับกลาง ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิด และทุกครั้งที่ฝึก การเผาผลาญก็จะมากขึ้นตามกัน วันนี้ปริมาณการกินอาหารวิเศษของเขามากพอจะทำให้คนอ้าปากค้างได้ และการฝึกบำเพ็ญตบะของเขาก็ได้ไต่ระดับขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุนี้

และเอ็นคงกระพันก็ไม่ต่างกัน ภายใต้การชดเชยพลังที่สูญเสียไปเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาได้เริ่มฝึกมาที่ศีรษะของตัวเอง เขาคิดว่าหมัดเป็นจุดที่คนจะให้การป้องกันมากที่สุด อีกทั้งในด้านความเร็วแค่การออกแรงเท้าซ้ายของเขาก็ถือว่าเร็วพอแล้ว ทว่าส่วนศีรษะ…ความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะป้องกันตัวคงมีไม่มาก

เมื่อนึกถึงภาพตัวเองประลองเวทกับคนอื่น พอถึงช่วงเวลาคับขันแล้วตนเอาหัวโหม่งจนอีกฝ่ายกระอักเลือดออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิม ดังนั้นจึงเริ่มฝึกเอ็นส่วนศีรษะ

ส่วนกิจการโรงเตี๊ยมก็เริ่มอยู่ตัวมากขึ้น เรื่องที่คนมาก่อกวนก็มีน้อยลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันรายรับของพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งมั่นคง เมื่อผ่านการสะสมอย่างต่อเนื่องจึงกลายมาเป็นองค์กรหนึ่งที่พิเศษอย่างยิ่งในนครฟ้า

องค์กรแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง มีพลังแห่งชีวิตที่แข็งแกร่ง ทัดเทียมได้กับพรรคท้องฟ้า ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พรรคมังกรเขียวในอดีตจะเปรียบเทียบได้

เพียงแต่เมื่อเห็นว่าโรงเตี๊ยมอมตะแห่งนี้กิจการมั่นคงราบรื่น พวกหัวหน้าของพรรคท้องฟ้ากลับใกล้จะเป็นบ้ากันเข้าไปทุกที แผนการและเล่ห์อุบายมากมายของเขาล้วนพังพินาศย่อยยับเมื่อต้องเผชิญกับที่ดินส่วนบุคคล

ไม่ว่าวิธีใดก็ใช้ไม่ได้ผลจะให้ใช้กำลังก็เอาชนะป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ อีกทั้งในด้านของกฎระเบียบสำนักก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ด้วยความจนใจ พรรคท้องฟ้าจึงทำได้เพียงรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้หนุนหลังอย่าง…ตระกูลคนฟ้าทราบ

และตลอดหนึ่งปีมานี้ รายได้ของพรรคท้องฟ้าก็ลดลงฮวบฮาบ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมารายได้ก็ยิ่งหดหาย เรื่องนี้จึงดึงดูดความสนใจจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลที่รับผิดชอบงานฝ่ายนอกได้ในที่สุด หลังจากได้รับรายงานเรื่องนี้ เขาก็ฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดทันที

“กะอีแค่ลูกศิษย์ชุดส้มคนหนึ่ง ช่างบังอาจยิ่งนัก! รังแกคนอื่นก็ยังพอว่า แต่นี่กลับกล้ามาแย่งกิจการของตระกูลข้า!” ผู้อาวุโสคนนี้คือนักพรตก่อกำเนิด ตำแหน่งในตระกูลของเขาไม่เพียงเป็นตัวแปรสำคัญในหลายๆ ด้าน ทั้งยังเป็นคนที่มีสิทธิ์ออกเสียงได้มากที่สุด นัยน์ตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบ ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ได้ลงมือบุ่มบ่ามทันที แต่หยิบเอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาเพื่อตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ส่วนบุคคลของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ใช้ตำรับยาหลอนประสาทแลกมาจากผู้นำแดนฟ้างั้นหรือ…ต่อให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะมีความสัมพันธ์กับผู้นำแดนฟ้า ข้าผู้อาวุโสก็ต้องจัดการคนผู้นี้ ให้บทเรียนกับเขาดูสักตั้ง!” ผู้อาวุโสก่อกำเนิดของตระกูลคนฟ้าสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะออกคำสั่งให้จัดการกับป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นนอกห้องที่ตั้งอยู่บนรุ้งยาวของเขาก็มีเสียงแหลมปรี๊ดดังขึ้น

นั่นคือแผ่นหยกสีม่วงแผ่นหนึ่ง มันพุ่งทะลุทะลวงผ่านค่ายกลของที่พักผู้อาวุโสก่อกำเนิดคนนี้อย่างรวดเร็ว แล้วมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาโดยตรง

ผู้อาวุโสก่อกำเนิดหน้าปลี่ยนสี หลังจากมองเห็นว่าบนแผ่นหยกนี้เขียนคำว่าสวรรค์เอาไว้ เขาก็สำลักลมหายใจฉับพลัน ร่างสั่นสะท้าน รีบรับมาด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม หลังจากกวาดพลังจิตอ่านหนึ่งรอบ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง สูดลมหายใจติดกันถี่ๆ

“ป๋าย…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขามีภูมิหลังเช่นไรกัน…” ผู้เฒ่าลมหายใจถี่รัว หลังจากประสานมือคารวะแผ่นหยกด้วยความระมัดระวังแล้ว แผ่นหยกก็แผ่แสงสีม่วงออกมา จากนั้นจึงผสานเข้ากับความว่างเปล่าแล้วหายวับไป

จนกระทั่งมองไม่เห็นแผ่นหยกแล้ว สีหน้าของผู้เฒ่าก่อกำเนิดคนนี้ถึงได้กลับคืนมาเป็นปกติเล็กน้อย นัยน์ตาของเขายังคงหลงเหลือความเคารพยำเกรง รีบยกเลิกความคิดที่จะออกคำสั่งทันที ทั้งยังถึงขั้นโกรธเคืองพรรคท้องฟ้าที่เกือบจะทำให้ตนมีปัญหากับป๋ายเสี่ยวฉุน จึงแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วเรียกให้นักพรตที่เป็นผู้นำของพรรคท้องฟ้าในนครฟ้าขึ้นมาหาตนที่สายรุ้งโดยด่วน

นักพรตที่เป็นผู้นำของพรรคท้องฟ้าคือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง หลังจากรู้ว่าผู้อาวุโสก่อกำเนิดของตระกูลคนฟ้าเรียกพบ เขาก็รีบใช้ค่ายกลนำส่งมาถึงด้วยเวลาที่รวดเร็วที่สุด เดิมนึกว่าอีกฝ่ายจะออกคำสั่งให้จัดการกับป๋ายเสี่ยวฉุน นึกไม่ถึงเลยว่าพอเจอหน้ากันเขาก็ถูกผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่ใบหน้าเขียวคล้ำสั่งสอนอย่างรุนแรงทันที

“เรื่องเล็กแค่นี้เจ้ายังจัดการเองไม่ได้ ยังมีหน้ามาทำให้ข้าผู้อาวุโสวุ่นวายไปด้วย!!”

การสั่งสอนครั้งนี้เข้มงวดอย่างถึงที่สุด เสียงคำรามดังลั่นไปไกล ทำเอานักพรตผู้นำของพรรคท้องฟ้าตัวสั่นเทิ้ม ได้แต่รับคำติดต่อกันว่าขอรับๆ สุดท้ายตอนที่ถูกไล่ตะเพิดออกมา เขาทำท่าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก รู้สึกแค่ว่าหลังจากที่งัดข้อกับป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งๆ ที่ฝั่งตัวเองดูได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับกลายมาเป็นว่า…ต้องชนกับตอเสมอ

“นี่มันเรื่องเล็กๆ ที่ไหนกัน…ผู้นำพรรคมังกรเขียวผู้นั้นมีที่ดินส่วนตัวเชียวนะ แถมยังเป็นนักพรตรวมโอสถด้วย พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกแบบนี้จะจัดการเขาได้อย่างไร” ในใจของผู้นำพรรคท้องฟ้าอึดอัดขัดใจอย่างยิ่ง ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน เดินอยู่ในลานที่พักของตระกูลคนฟ้า ครุ่นคิดว่าในเมื่อขนาดตระกูลคนฟ้าก็ยังไม่สนใจ แล้วตนจะมีปัญญาไปหาเรื่องอีกฝ่ายได้อย่างไร

“ช่างเถอะๆ พวกเขาอยากให้เป็นอย่างนี้ก็ปล่อยไปแล้วกัน” ผู้นำพรรคท้องฟ้าถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ขณะที่กำลังจะใช้ค่ายกลส่งตัวเองกลับไปที่นครฟ้า ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขาก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่โอบล้อมชายหนุ่มชุดเหลืองผู้หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสง่าราศี พูดคุยกันด้วยรอยยิ้มน้อยๆ และกำลังเดินผ่านมา

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ฐานะไม่ต่ำต้อย สีหน้าของเขามีความถือตนเย่อหยิ่ง ขณะที่พูดคุยแย้มยิ้มกับนักพรตข้างกาย ความยโสโอหังนี้กลับไม่ลดลงไปแม้แต่น้อย หลังจากที่ผู้นำพรรคท้องฟ้ามองเห็นชายหนุ่มคนนี้ก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในบรรดาศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของตระกูลคนฟ้า หลี่หยวนเซิ่ง หลี่หยวนเซิ่งผู้นี้บำเพ็ญตบะไม่ถึงร้อยปีก็เป็นนักพรตรวมโอสถแล้ว หลายปีก่อนตอนที่อีกฝ่ายยังเป็นสร้างฐานรากเคยได้ไปที่นครฟ้าเพื่อขอคะแนนคุณความดีไปส่วนหนึ่ง พอเห็นเขา ผู้นำพรรคท้องฟ้าจึงก้มหน้าคารวะทันที

ตอนที่หลี่หยวนเซิ่งกับนักพรตข้างกายเดินผ่านได้กวาดสายตามาเห็นผู้นำของพรรคท้องฟ้า แล้วก็ไพล่นึกไปถึงคะแนนคุณความดีของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามหนึ่งประโยค

“มาด้วยเรื่องอันใด?”

ผู้นำพรรคท้องฟ้าได้ยินใจก็สั่นน้อยๆ รีบเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงเรื่องของผู้นำพรรคมังกรเขียว รวมไปถึงปัญหาที่ตัวเองพบเจอ ทั้งยังปรุงรสเติมแต่งอย่างเมามัน

“พี่หลี่ กิจการของตระกูลท่านมีคนคิดมาแย่งไปด้วยหรือนี่?”

“น่าสนใจ ผู้นำพรรคมังกรเขียวคนนี้ กะอีแค่นักพรตรวมโอสถคนหนึ่งกลับกล้ามาแย่งอาหารจากปากเสือเชียวหรือ?” ทุกคนที่อยู่รอบกายหลี่หยวนเซิ่งพอได้ยินอย่างนั้นก็พากันพูดแสดงความเห็นพร้อมเสียงหัวเราะ

“ขอนายน้อยโปรดช่วยจัดการให้ข้าด้วย!” ผู้นำพรรคท้องฟ้ารีบประสานมือคารวะโค้งตัวลงต่ำ

ดวงตาหลี่หยวนเซิ่งเปล่งแสงวาบ ได้ยินคำพูดของนักพรตรอบกายก็แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง

“วันนี้ไม่มีธุระ ข้าจะลงไปพร้อมเจ้า อยากรู้นักว่าคนผู้นี้มีความสามารถมากเพียงใดถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version