บทที่ 403 เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ
เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงเช่นนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของนักพรตรวมโอสถสิบกว่าคนเท่านั้น แม้แต่คนรอบด้านที่มองดูเหตุการณ์อยู่ก็ยังเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่ต้องไม่ใช่การหายตัวแน่นอน!!”
“นักพรตรวมโอสถเหตุใดถึงย้ายร่างได้ในพริบตาเช่นนี้!!”
“คนผู้นี้หากไม่มีอาวุธล้ำค่าติดกาย ก็ต้องฝึกวิชาที่พิเศษ…”
ทุกคนส่งเสียงฮือฮา ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะเป็นเช่นนี้ การย้ายร่างในชั่วพริบตาเหมือนหายตัว…มีเพียงเจินเหรินก่อกำเนิดเท่านั้นถึงจะทำได้ นั่นคือวิชาอภินิหารที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิงชี่เสิน (จิงชี่เสิน (精气神)ศาสนาเต๋าถือว่าจิงชี่เสินเป็นหัวใจหลักของมนุษย์ โดยจิง (精)หมายถึงสสารที่สำคัญต่อร่างกาย ชี่ (气)คือลมปราณ และเสิน (神)คือจิตวิญญาณ) ผสานรวมกับตลอดทั้งฟ้าดินในช่วงต้นแล้วเท่านั้น
วิธีการเช่นนี้ผู้ที่มีตบะต่ำกว่าก่อกำเนิดไม่มีทางทำได้ แต่หากทำได้โดยอาศัยวิธีการบางอย่าง…ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าระดับความจัดการยากของคนผู้นี้จะเพิ่มขึ้นสูงมาก
หรืออาจถึงขั้นที่ว่าการโอบล้อมโจมตีก็ยังไร้ผล เรียกได้ว่าเป็นฝ่ายครอบครองสิทธิ์ของผู้กระทำทั้งหมด คิดจะโจมตีก็ได้ คิดจะถอยก็สบาย ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ที่ความคิดเดียว
ม่านตาของหลี่หยวนเซิ่งและทุกคนที่อยู่รอบกายเขาต่างก็หดตัวลง ใจร่วงหล่นดังโครม
เวลาเดียวกันนั้น ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลีกเลี่ยงการพร้อมใจกันโจมตีของนักพรตรวมโอสถสิบกว่าคนนี้ ชั้นน้ำแข็งในและนอกโรงเตี๊ยมที่อยู่เบื้องล่างก็หายวับไปในพริบตา มีชั้นน้ำแข็งปกป้อง ตลอดทั้งโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
วิชาอภินิหารที่แค่พลิกฝ่ามือรัศมีพันจั้งก็ปิดผนึกเป็นน้ำแข็ง แค่หนึ่งความคิดผนึกนั้นก็หายไปนี้ ทำให้นักพรตทุกคนของพรรคมังกรเขียวห้าวเหิม ส่วนคนที่อยู่รอบด้านก็สูดลมหายใจกันเฮือกใหญ่
โดยเฉพาะพวกหลี่หยวนเซิ่งที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศที่ยิ่งหน้าเผือดสีกันหมด ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าทุกคนล้วนเคร่งเครียด แม้ว่าพวกเขาจะเป็นลูกผู้ลากมากดี ทว่ายังไงซะก็เป็นถึงลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา มีความรู้กว้างขวาง ก่อนหน้านี้ไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในสายตา ทว่าพอลงมือต่อสู้กันจึงรู้ทันทีถึงความแตกต่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
ยิ่งปราณดุร้ายของเขาที่แผ่ซ่านออกมาด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้หลี่หยวนเซิ่งพลันตระหนักได้ว่าคนที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้…ไม่ใช่นักพรตธรรมดาทั่วไป ความโชกโชนของประสบการณ์ในการต่อสู้ เกรงว่าคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกนักพรตที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายตอนทำภารกิจมาหลายครั้ง
ในใจเขาเดือดดาลจึงถลึงตาดุดันใส่ผู้นำพรรคท้องฟ้าหนึ่งครั้ง แอบเสียใจที่ตนลงมาจากสายรุ้ง โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แถมตัวเองยังมีตั้งสิบกว่าคน หากไม่สามารถจัดการกับอีกฝ่ายได้ ถ้าเช่นนั้นเวลาเพียงไม่นานเรื่องนี้ก็จะทำให้เขาหลี่หยวนเซิ่งกลายเป็นตัวตลกในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
ผู้นำพรรคท้องฟ้าก็ตัวสั่นสะท้านเหมือนกัน เขารู้ว่าผู้นำพรรคมังกรเขียวคือนักพรตรวมโอสถ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่นักพรตรวมโอสถทั่วไป แต่เป็นสุดยอดนักพรตรวมโอสถที่ประมือกับคนระดับเดียวกันสิบกว่าคนก็ยังไม่เสียเปรียบ ทั้งยังมีวิชาเคลื่อนย้ายร่างในเสี้ยววินาทีด้วย
“นี่…” ผู้นำพรรคท้องฟ้าตัวสั่นเทา ลมหายใจถี่กระชั้น นัยน์ตาหลี่หยวนเซิ่งเผยประกายเย็นเยียบ สะบัดร่างหนึ่งครั้งกลายเป็นมือเปลวเพลิงขนาดใหญ่ยักษ์กลางอากาศตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนท่ามเสียงดังสนั่นหวั่นไหว คนสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างก็ร่ายวิชาอภินิหารของตัวเองออกมา ครู่เดียวทั้งนภากาศก็เต็มไปด้วยห้าแสงสิบสี นักพรตรวมโอสถสิบกว่าคนร่วมมือกันพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
“พวกเจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ความโกรธแค้นของป๋ายเสี่ยวฉุนโหมซัดสาด เขาก้าวพรวดออกไป วินาทีที่เท้าสัมผัสพื้น พลังโจมตีระลอกหนึ่งก็ระเบิดตูมขึ้นมาจากร่างของเขา ไอความเย็นก็ยิ่งแผ่กระจาย ก่อเกิดเป็นพายุที่มีเขาเป็นจุดศูนย์กลางซึ่งหมุนคว้างกวาดทำลายไปรอบด้าน ปะทะเข้ากับคนสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามาโดยตรง
ท่ามกลางเสียงกัมปนาทที่ดังสะเทือนเลือนลั่น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ด้านหลังหนึ่งในนักพรตรวมโอสถสิบกว่าคนนั้น นักพรตผู้นี้หน้าเปลี่ยนสีทันใด มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมเต็มแรง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง นักพรตรวมโอสถผู้นี้หน้าถอดสี อาภรณ์ตลอดร่างโบกสะบัดเองทั้งที่ไม่มีลม หลังจากที่ทนต้านรับหมัดนั้นของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง โซซัดโซเซถอยหลัง เมื่อกระอักเลือดสดออกมาก็ถูกไอความเย็นทะลุทะลวงเข้าไปในร่างทันที ทำให้เลือดที่พ่นออกมาเกาะตัวเป็นน้ำแข็งในฉับพลัน
“อาภรณ์ชุดนี้ของเขาสามารถต้านทานพลังกล้ามเนื้อได้ไม่น้อย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น
“พลังกล้ามเนื้อของเขาไม่ธรรมดาเลย!”
นักพรตรวมโอสถผู้นี้รีบคำรามเตือนคนอื่น ทว่าวินาทีที่เขาเอ่ยปาก ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีปีกปรากฏ ปีกคู่นี้กระพือวาบทันใด พริบตาเดียวความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด มาปรากฏอยู่ด้านหน้านักพรตผู้นี้อีกครั้งในแผล็บเดียว
คราวนี้มือขวาของเขายื่นออกไปคว้าคนผู้นี้เอาไว้รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แล้วจับร่างเขาเหวี่ยงลงไปที่พื้นอย่างแรง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ร่างของนักพรตผู้นี้กระแทกลงกับพื้นโดยตรงจนพื้นดินสั่นสะเทือน เสียงร้องโหยหวนดังตามมา กระดูกตลอดร่างของนักพรตผู้นี้แตกหักไม่น้อย เวลานี้กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในหลุมลึก ใบหน้าเผยความหวาดกลัวตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปอีกครั้ง มาปรากฏอีกทีอยู่ด้านหน้านักพรตคนที่สอง คราวนี้เขาไม่ใช้หมัด แต่ยกเท้าซ้ายขึ้นถีบลงไปบนร่างของคนผู้นี้อย่างแรง
ขาซ้ายของเขาที่ยกขึ้นก่อให้เกิดเสียงอากาศระเบิด ความว่างเปล่าบิดเบือน นักพรตคนที่สองหน้าเผือดสี พยายามต้านทานสุดกำลัง ทว่าเท้าซ้ายที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลังตลอดร่างและพลังของเอ็นคงกระพันจากป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถีบโดนเอวของนักพรตผู้นี้เต็มๆ
เสียงปุ๊งคล้ายเสียงถุงที่ถูกเหยียบแตกดังออกมาทันที นักพรตคนที่สองเบิกตากว้าง ปากที่กระอักเลือดสดยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงคำราม ร่างก็ถูกเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนถีบกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยจั้งพร้อมเสียงตูมตามที่ดังไปตลอดทาง ถูกถีบจนกระดูกสันหลังส่วนเอวแทงทะลุออกมาจากเลือดเนื้อ โผล่ออกมานอกผิวหนัง เสียงร้องโหยไห้ด้วยความเจ็บปวดดังน่าเวทนา
และนี่ยังไม่สิ้นสุด ยังมีเส้นใยสีทองอีกมากมายรัดพันไปทั่วร่างของนักพรตผู้นี้ กลายมาเป็นพันธนาการที่ปิดผนึกการโคจรตบะทั้งหมดในร่างของเขา ทำให้เขากลายมาเป็นเหมือนคนธรรมดาในชั่วพริบตา
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่มองเห็นต่างสูดลมหายใจเฮือกใหญ่
“ผู้นำพรรคมังกรเขียว…ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!! แถมพอลงมือกลับมีพลังแห่งพันธนาการด้วย!!” ขณะที่ทุกคนจิตใจสั่นไหว การต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่ยุติลง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนขวับ วิชาอมตะมิวางวายในร่างระเบิดตูม กลายมาเป็นพลังคุ้มกันกาย หลังจากต้านทานเวทคาถาที่มาจากนักพรตรวมโอสถสองคนด้านหลังได้แล้ว เขาก็ยกเท้าซ้ายขึ้นเหวี่ยงอีกครั้งด้วยสีหน้าดุดัน เสียงตูมๆ ดังสนั่น นักพรตสองคนที่ลอบโจมตีก็ถูกถีบจนลอยกระเด็นไปเช่นกัน
เส้นสีทองเปล่งแสงวิบวับ เสียงกร๊อบๆๆ ดังลั่น คนทั้งสองต่างก็กระดูกหัก ซึ่งหนึ่งในนั้นคล้ายว่าปอดจะฉีก ตอนไอถึงได้มีเลือดกระอักออกมาด้วย ร่างของเขาสั่นระริก ถูกผนึกตบะทั้งหมดในร่างไปชั่วพริบตาเดียว
ทั้งยังมีกระถางใหญ่สีม่วงอีกหลายใบที่พุ่งเข้ากระแทกใส่ทุกคนจากสี่ทิศ ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้การหายตัวในพริบตาหลีกเลี่ยงวิชาอภินิหารของทุกคนอีกครั้ง เมื่อเผยกายก็อยู่ด้านหลังนักพรตคนที่ห้าแล้ว ขณะที่กำลังจะลงมือ นักพรตหลายคนที่อยู่รอบกายเขาต่างก็สัมผัสได้จึงพากันพุ่งเข้ามาฆ่า
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ถือโอกาสร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขา ก้าวออกไปก้าวเดียว ร่างของเขาก็คล้ายสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พุ่งเข้าชนร่างของนักพรตที่อยู่ด้านหน้าพร้อมเสียงตูมตาม นักพรตคนนี้เลือดพุ่งพรวดออกมาเต็มปาก พูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่ร้องโหยหวนพร้อมร่างที่ลอยคว้างกระเด็นกระดอน ซึ่งแม้แต่หน้าอกของเขาก็ยังบุ๋มเว้าลงไปด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนขวับไปหานักพรตอีกสามคนที่เข้ามาใกล้ มือขวาทำมุทรา แล้วกดลงไปกลางอากาศ
“เย็น!” ความคิดในสมองโลดแล่น ไอเย็นก็แผ่กระจายไปในเสี้ยววินาที ท่ามกลางเสียงเปรี๊ยะๆ ที่ดังลั่น ความว่างเปล่าด้านหน้ามือขวาของเขาถูกน้ำแข็งปิดผนึกฉับพลัน นักพรตรวมโอสถสามคนที่เข้ามาใกล้พร้อมกันนั้นต่างก็ชะงักฝีเท้า
ค่าตอบแทนของการหยุดชะงักครั้งนี้ก็คือร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กระโจนพรวดเข้ามาใกล้ เท้าซ้ายยกขึ้น เสียงตูมๆๆ ดังสามครั้ง คนทั้งสามกระอักเลือดพร้อมร่างถูกม้วนตลบไปไกล
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว แต่ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือจนมาถึงตอนนี้ก็แค่เวลาชั่วไม่กี่อึดใจเท่านั้น แค่นี้ก็ทำให้พวกคุณชายสูงศักดิ์พ่ายแพ้ยับเยิน ตอนนี้คนที่เหลืออยู่ นอกจากหลี่หยวนเซิ่งแล้วก็มีแค่นักพรตอีกสามคนเท่านั้น
คนทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี ร่างสั่นเทา หลังจากมองหน้ากันไปมาต่างก็ถอยกรูดห่างออกไป ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่ไปเอี่ยวเรื่องนี้ร่วมกับหลี่หยวนเซิ่งเด็ดขาด สภาพน่าเวทนาของเหล่าสหายที่มาพร้อมกันก็คือคำเตือนที่ได้ผลที่สุดสำหรับทั้งสามคนนี้
เช่นเดียวกัน พวกคนที่มองดูอยู่รอบด้าน หลังจากเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว เสียงสูดลมหายใจเข้าออกกลับหายไปอย่างน่าประหลาดใจ คล้ายว่าหวาดกลัวความดุร้ายอำมหิตของป๋ายเสี่ยวฉุนจนมิกล้าส่งเสียง
หลี่หยวนเซิ่งก็ยิ่งตัวสั่น เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ นักพรตสิบกว่าคนรอบกายเขาหากไม่หมดสติ ก็เผ่นหนีไปไกล หรือไม่ก็ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เวลานี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่กลางอากาศ เมื่ออยู่ภายใต้การเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาและพลังสู้รบที่น่าตะลึง ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกลายมาเป็นเหมือนวิญญาณร้ายสำหรับคนรุ่นเดียวกัน มิอาจต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว!
ขณะที่เขากำลังสำลักลมหายใจ หน้าผากก็ผุดพรายไปด้วยเหงื่อเย็นๆ หลังจากสบตากับดวงตาคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแดงก่ำของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจหลี่หยวนเซิ่งก็บังเกิดความเย็นสะพรึง ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าเองก็ลงมาด้วยสิ!” ประกายเย็นเยียบเปล่งวาบจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาตรงดิ่งเข้าหาหลี่หยวนเซิ่งทันควัน เอื้อมมือหมายจะคว้าร่างของเขาโยนลงบนพื้น
ความเร็วน่าตะลึงของเขา บวกกับเงาน้ำแย็งเย็นสะท้านที่ปกคลุมรัศมีพันจั้ง วินาทีที่หลี่หยวนเซิ่งก้าวถอยหลัง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคลื่อนตัวมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาในชั่วพริบตาเดียว เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้น ด้านหลังก็มีร่างวัชระมิวางวายเผยกายซึ่งกำลังยกมือใหญ่ยักษ์ของมันเอื้อมคว้ามาจับตัวหลี่หยวนเซิ่งเช่นกัน
แรงดึงดูดแผ่ออกมาจากมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ไอความเย็นจากรอบด้านตลบอบอวลกลายมาเป็นหนามน้ำแข็งจำนวนมากที่ตรงดิ่งเข้าหาหลี่หยวนเซิ่งจากสี่ด้านแปดทิศคล้ายการซุ่มโจมตีรอบทิศทาง ทำเอาหลี่หยวนเซิ่งหน้าไร้สี
“เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ!!”
“ข้าหลี่หยวนเซิ่งมาจากตระกูลคนฟ้า ไม่ว่าเจ้ามีภูมิหลังเช่นไร ภายในเวลาสามวัน ข้าจะต้องให้เจ้าไสหัวออกไปจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราให้จงได้!!” นัยน์ตาหลี่หยวนเซิ่งเผยความดุดัน คำรามเกรี้ยวกราดขุ่นแค้น