Skip to content

A Will Eternal 412

บทที่ 412 เสี่ยวฉุนโมโหหนัก

ผู้เฒ่ารวมโอสถสองคนนั้นตบะไม่ธรรมดา ทั้งยังเชี่ยวชาญการร่วมมือโจมตี เวลานี้จึงพุ่งขนาบเข้ามาทางซ้ายขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลาไล่เลี่ยกัน

ยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ ผู้เฒ่าฟังซ้ายทำมุทรา กลางฝ่ามือของเขาก็มีควันดำจำนวนมากปรากฏขึ้นแล้วมารวมตัวกันเป็นมังกรสีดำหน้าตาดุร้ายขนาดใหญ่ยักษ์อยู่เบื้องหน้าเขา มังกรดำตัวนี้แม้จะเกิดจากการรวมตัวกันของหมอกควัน แต่กลับมีกลิ่นอายของการกัดกร่อนส่งออกมาเป็นระลอก ทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่ความว่างเปล่าก็ยังคล้ายจะถูกกัดกร่อนไปด้วย

ทั้งยังมีลมคาวโชยมาปะทะใบหน้า ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่บนพื้นดินพลันแห้งเหี่ยวกลายเป็นเถ้าธุลี ภาพนี้ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง ส่วนผู้เฒ่ารวมโอสถที่อยู่ฝั่งขวาก็มีท่าทีโหดเหี้ยมอำมหิตไม่ต่างกัน ขณะที่พุ่งมาข้างหน้า ใต้ฝ่าเท้าของคนผู้นี้ก็มีดอกบัวสีแดงปรากฏขึ้นมาหลายดอก ดอกบัวเหล่านี้แปรเปลี่ยนมาเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งที่ครอบคลุมไปสี่ด้าน คล้ายว่าต้องการปิดผนึกบริเวณโดยรอบเอาไว้

และขณะที่ค่ายกลแห่งนี้ก่อตัว ในดวงตาของผู้เฒ่าที่อยู่ฝั่งขวายังมีตราประทับอักขระซับซ้อนยากเข้าใจอีกหลายตัวเปล่งวาบไปมาอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของเขา จนความว่างเปล่ารอบด้านพลันเต็มไปด้วยความกดดัน

“หนึ่งใช้ปราณแห่งความตายแปลงมาเป็นการกัดกร่อน หนึ่งใช้ร่างหลอมเป็นค่ายกล…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ในใจกลัดกลุ้ม เดิมทีเขาไม่ต้องการทำภารกิจนี้แล้ว แต่นี่ดันมาปะหน้ากับอีกฝ่ายเสียได้ ตอนแรกเขาเลยกะว่าจะแสร้งทำเป็นจำไม่ได้และเดินผ่านไปให้สิ้นเรื่อง เขาไม่อยากมีเรื่องมีราวเสียหน่อย แต่เจ้าจั่วเหิงเฟิงผู้นั้นกลับกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ แถมยังมีเจตนาร้ายต่อตนด้วย

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เสียเอามากๆ โดยเฉพาะคำพูดของจั่วเหิงเฟิงที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งร่างด้วยความสะอิดสะเอียน ทั้งยังมากด้วยไฟโทสะ พอนึกถึงผลร้ายที่จะตามมาหากตนถูกจับตัวได้จริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลัง เวลานี้จึงคำรามด้วยความเดือดดาล นัยน์ตาโชนแสงคมกล้า ปราณอำมหิตบนร่างพลันแผ่ซ่าน วินาทีที่นักพรตรวมโอสถสองคนนั้นเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับยังก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วย

ชั่วขณะที่เท้านี้ของเขาเหยียบลงไป คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดในร่างก็โคจรเร็วรี่แล้วแผ่สะท้านออกไปรอบด้าน เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสนั่นหวั่นไหว ไอความเย็นระดับกลางปกคลุมไปทั่วรัศมีหลายร้อยเมตร เปลี่ยนให้ที่แห่งนี้มีอากาศเหมือนวันที่หนาวที่สุดของเหมันต์ ทั้งยังมีเกล็ดหิมะปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไม่เพียงแต่ครอบคลุมร่างของนักพรตรวมโอสถสองคนนั้นไว้ภายใน แม้แต่จั่วเหิงเฟิงเองที่สัมผัสได้ถึงไอความเย็นซึ่งแผ่ซ่านไปทั่วในชั่วพริบตา หน้าของเขาก็พลันเผือดสีทันที

“วิชาแห่งวิถีความเย็น!” ม่านตาของผู้เฒ่ารวมโอสถสองคนนั้นก็หดตัวลงเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างตื่นตะลึงไปกับไอความเย็นที่ตลบอบอวลไปทั่ว การที่สามารถฝึกไอความเย็นออกมาได้ถึงระดับนี้จนเหมือนเปลี่ยนแปลงฟ้าดินในขอบเขตที่กำหนดได้ ถือว่าหาได้ยากยิ่งในนักพรตรวมโอสถ

อีกทั้งขณะที่ความเย็นแผ่กระจายออกไป นอกจากตัวป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ความเร็วของคนอื่นๆ ล้วนช้าลงไปหนึ่งระดับเพราะความเย็นที่ทำให้ตัวแข็งค้าง

ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาว ทว่าในความเป็นจริงเกิดขึ้นเพียงเวลาชั่วสายฟ้าแลบเท่านั้น เมื่อไอความเย็นแผ่ซ่าน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว มังกรดำกัดกร่อนของผู้เฒ่าฝั่งซ้ายก็มาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถึงหนึ่งจั้งแล้ว

ทว่าพอหยุดห่างหนึ่งจั้งมันกลับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก น้ำแข็งเย็นเยียบเริ่มแผ่จากหัวของมันลามไปทั่วตัว พริบตาเดียวมังกรดำดุร้ายตัวนี้ก็ถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็งอย่างสมบูรณ์แบบ กลายร่างมาเป็นมังกรน้ำแข็ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มองมันแม้แต่หางตา วินาทีที่ฝ่าเท้าของเขาเหยียบลง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป เมื่อปราฏตัวอีกครั้งก็มาโผล่พรวดอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่าฝั่งซ้ายแล้ว มือขวาของเขายกขึ้นกำเป็นหมัดแล้วต่อยโครมลงไปที่ผู้เฒ่าคนนี้อย่างแรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ผู้เฒ่าคนนั้นสีหน้าเหลือเชื่อ มุมปากมีเลือดไหลซึม ร่างโซซัดโซเซถอยกรูด ร้องอุทานด้วยความตกใจ

“เคลื่อนที่เหนือความเร็วแสง!!”

ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่ตะลึงพรึงเพริด ผู้เฒ่าทางฝั่งขวาเวลานี้ก็สำลักลมหายใจ สีหน้าหวาดผวาเช่นกัน

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่เขาเอ่ยปาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตรงดิ่งเข้าไปโจมตีผู้เฒ่าฝั่งซ้ายด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ เมื่อมือขวาของเขายกขึ้น ตรวนสลายลำคอก็ถูกร่ายใช้ ทั้งยังมีแรงดึงดูดแผ่ออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา เพียงแค่ชั่วพริบตาก็เข้ามาใกล้ผู้เฒ่าคนนั้น!

วิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงระลอกหนึ่งระเบิดขึ้นกลางใจของผู้เฒ่า ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น ไม่มีเวลาให้คิดนาน เมื่อถึงช่วงเวลาคับขัน มือทั้งคู่ของผู้เฒ่าจึงทำมุทรากระตุ้นให้เกิดไอสีดำที่แผ่เป็นวงกว้างมากกว่าเดิม ไอสีดำนี้ปกคลุมรอบกายเขา รวมตัวกันเป็นหัวกะโหลกขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งหัว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาใกล้เขาก็แผดเสียงคำรามหนึ่งครั้ง ระเบิดตบะทั้งหมดที่มีหมายจะสกัดกั้นท่าไม้ตายของป๋ายเสี่ยวฉุน

และยังมีผู้เฒ่ารวมโอสถช่วงกลางที่อยู่ฝั่งขวาซึ่งเวลานี้ก็ร้อนใจไม่ต่างกัน รู้ว่าครั้งนี้พวกเขาได้ไปแหยมกับบุคคลที่น่าหวาดกลัวเข้าเสียแล้ว หากสหายของตัวเองตายไป ถ้าเช่นนั้นตนก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ดวงตาทั้งคู่ของเขาจึงพลันแดงก่ำ คำรามกร้าวหนึ่งเสียง อักขระในดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้า อีกทั้งบนร่างของเขาก็ยังมีอักขระไหลเวียนวน ฝืนกระตุ้นความเร็วพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะสกัดขวางเขา

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายเย็นเยียบ แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ความเร็วไม่เพียงแต่ไม่ลดลง แถมตรงแผ่นหลังยังมีปีกคู่หนึ่งสยายออกมา อีกทั้งยังกระตุ้นใช้ชนาเขย่าภูเขา ทำให้ความเร็วของเขาระเบิดตูมขึ้นในพริบตาเดียว ก่อเกิดเป็นเสียงอากาศระเบิดเสียดแทงแก้วหู เร็วเกินกว่าผู้เฒ่าฝั่งขวาที่คิดจะเข้ามาขัดขวางเขา ชนโครมเข้ากับหมอกสีดำที่อยู่ด้านหน้าผู้เฒ่าฝั่งซ้ายอย่างจัง

หมอกสีดำที่สามารถกัดก่อนทุกสรรพสิ่งนี้เมื่อปะทะเข้ากับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเสียงฟู่ๆ ดังออกมา แต่กลับไม่สามารถกัดกร่อนผิวเนื้อเขาได้มากนัก หรืออาจพูดได้ว่ายังไม่ทันรอให้มันได้กัดกร่อน หมัดขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาปรากฏอยู่ตรงลำคอของผู้เฒ่ารวมโอสถคนนี้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าสายฟ้าแลบไปแล้ว

“เจ้า…” ผู้เฒ่าเบิกตากว้าง เผยสีหน้าเหลือเชื่อและตะลึงลาน เสียงยังไม่ทันได้ดังออกมา มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็บีบลงไปอย่างแรง เสียงกร๊อบดังกังวาน ผู้เฒ่าคนนี้ร้องโหยหวน ขณะที่ร่างของเขากระเด็นกระดอนออกไป คอของเขาก็หักพับลงมาจากบ่า ปากกระอักเลือดไม่ขาดสาย ทว่าพลังแห่งชีวิตที่มากมหาศาลของนักพรตรวมโอสถช่วยประคับประคองให้เขายังมีชีวิตอยู่ ขณะที่เขาถอยกรูดออกไปนั้น ดวงตาของเขาเผยแววหวาดกลัว แต่ยังไม่ทันจะได้ถอยไปไกลนัก มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้นชี้

ในถุงเก็บของของเขามีเขามังกรผกผันคำรามอู้ออกมาอย่างรวดเร็วประดุจเส้นแสงที่พุ่งแหวกนภากาศ แทงสวบทะลุหว่างคิ้วของผู้เฒ่าที่กำลังถอยหนีอย่างแม่นยำ

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ผู้เฒ่าเบิกตาถลน ร่างร่วงกระแทกลงบนพื้นคล้ายว่าวที่สายป่านขาด ตายคาที่ ดวงตาของเขายังคงเผยแววไม่คาดคิด คล้ายไม่กล้าเชื่อว่าตนแค่พลาดไปครั้งเดียวเท่านั้น แค่หลังจากที่ประมือกันแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายช่วงชิงความได้เปรียบโดยการหายตัวด้วยความเร็วเหนือแสง อีกฝ่ายกลับบดขยี้ให้ตนตายดับในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจ

ขณะเดียวกันกับที่เขาตายไป ผู้เฒ่ารวมโอสถอีกคนที่มีอักขระไหลเวียนไปทั่วร่างก็ใจหล่นลงดังโครม สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บัดนี้อักขระที่ไหลเวียนอยู่ตามกายของเขาล้วนหลุดออกมาจากร่างแล้วบินเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ก็แตกทลายไปเองทั้งหมด

เวลาแผล็บเดียวเสียงกัมปนาทก็ดังสะเทือนฟ้า พลังโจมตีลูกยักษ์แผ่กระจาย ผลักให้ร่างของผู้เฒ่ารวมโอสถคนนี้ถูกม้วนตลบออกไป ในใจเขาสั่นระรัว ดวงตาเผยความหวาดกลัว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วเหิงเฟิงที่ถูกไอความเย็นกักให้ยืนตัวแข็งอยู่กลางอากาศ แล้วยกฝ่ามือฟาดลงไปบนร่างของจั่วเหิงเฟิงอย่างแรง

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง จั่วเหิงเฟิงสั่นเยือกไปทั้งร่าง เลือดสดถูกพ่นออกมาจากปาก ความเร่าร้อนในดวงตาหายไปแทนที่มาด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง ผู้เฒ่าคนนั้นคว้าแขนของเขาได้ก็ลากตัวเขาพากันเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

การกระทำทั้งหมดนี้คล่องแคล่วปราดเปรียว ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวถึงขีดสุด

“คิดจะหนีรึ?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวขวับกลับมา ดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วเบิกโพลง ระเบิดแสงสีม่วงเจิดจ้า

แสงสีม่วงนี้แผ่ไปปกคลุมร่างของผู้เฒ่ารวมโอสถทันที ทำให้ฝีเท้าของเขาชะงักงัน ร่างถูกดึงให้ถอยกลับอย่างมิอาจควบคุมได้

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ดวงตาของผู้เฒ่ารวมโอสถจึงเผยความสิ้นหวัง ได้แต่กัดฟันกรอดแล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้งรวดร้าว

“นายน้อยรีบหนีไปเร็วเข้า คนผู้นี้…ไม่ใช่รวมโอสถธรรมดา!!” ระหว่างที่พูดมือของเขาก็ผลักจั่วเหิงเฟิงออกไปอย่างแรง มุมปากจั่วเหิงเฟิงมีเลือดสดไหลซึม ร่างกลายเป็นรุ้งยาวห้อตะบึงจากไปไกล เวลานี้ในใจเขายังคงสั่นรัว บังเกิดความเสียใจต่อการกระทำของตัวเองอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าแค่บังเอิญเจอกับนักพรตคนหนึ่งที่มองดูเหมือนจะรังแกได้ง่าย อีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

“บัดซบ บัดซบ…” จั่วเหิงเฟิงตัวสั่นเทิ้ม ร่ายเวทที่ต้องเผาผลาญอายุขัยออกมาอย่างไม่เสียดาย โกยแนบจากไปพร้อมกระอักเลือดไม่หยุด

และขณะที่จั่วเหิงเฟิงหนีอย่างไม่คิดชีวิตนั้น ด้านหลังของเขาก็มีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลอยมา ทว่าไม่นานเสียงร้องนี้ก็หายไปกลางคัน ทว่า

จั่วเหิงเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นกลับยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่

ผู้เฒ่ารวมโอสถคนที่สองซึ่งอยู่ด้านหลังเขา เวลานี้ถูกเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนพันธนาการร่างเอาไว้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นกำแรงๆ ไอความเย็นที่กระจายอยู่รอบด้านก็พลันทะลุทะลวงเข้าไปในร่างของของผู้เฒ่า พริบตาเดียวร่างของเขาก็ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งกลายมาเป็นรูปปั้น และเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขึ้นชี้ รูปปั้นนี้ก็แตกโพล๊ะ

กระจัดกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

“เจ้าอีกคน ทั้งหมดนี้เจ้าบังคับข้าเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องมองแผ่นหลังของจั่วเหิงเฟิงด้วยดวงตาเคียดแค้นอำมหิต พอนึกถึงรอยยิ้มหื่นกระหายและคำพูดโอ้โลมของอีกฝ่ายเขาก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ เท้าขวาจึงกระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรง พลังกล้ามเนื้อทั้งหมดระเบิดออก เสียงตูมดังหนึ่งครั้งพื้นดินก็พังยวบลงไปเป็นหลุมลึก ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาศัยพลังนี้พุ่งถลันออกไป ต่อให้จั่วเหิงเฟิงจะเผ่นหนีสุดชีวิต แต่ก็ยังมิอาจหนีพ้น ไม่นานก็ถูกป๋ายเสี่ยวฉุน…ตามไปทัน

เพิ่งจะเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผ่ความเย็นออกมาทันที ร่างของจั่วเหิงเฟิงสั่นเทา เมื่อเจอกับไอความเย็นขาทั้งคู่ของเขาจึงแข็งค้าง ความเร็วก็เริ่มช้าลง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนยกมือขวาขึ้นชี้ ไอความเย็นที่ปกคลุมอยู่รอบกายเขาก็พลันกลายมาเป็นมีดน้ำแข็งหลายเล่มที่พุ่งเข้าหาจั่วเหิงเฟิง!

“เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ อาจารย์ของข้า…” จั่วเหิงเฟิงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมาน คำพูดเพิ่งมาถึงตรงนี้ มีดน้ำแข็งเหล่านั้นก็แทงสวบทะลุร่างของเขา ชิ้นเนื้อปริหลุดเป็นเสี่ยงๆ กายและจิตดับสลาย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version