Skip to content

A Will Eternal 415

บทที่ 415 ใครกล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุน

จนกระทั่งอวิ๋นเต้าจื่อจากไป หลี่หยวนเซิ่งยืนอยู่นอกถ้ำด้วยสีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว มุมปากยังคงมีคราบเลือดติดกรัง ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น กำหมัดแน่น

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นเป็นเพียงแค่ตัวประกันของสำนักตอนกลางเท่านั้น อีกทั้งจนถึงตอนนี้สำนักสยบธารนั่นก็ยังไม่มีคนฟ้าปรากฏขึ้น รากฐานไม่มั่นคง พร้อมจะพินาศวอดวายได้ตลอดเวลา”

“ตัวประกันแบบนี้จะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่แค่ไหนกันเชียว?” หลี่หยวนเซิ่งกัดฟัน ใจอยากยอมแพ้ แต่กลับรู้สึกว่าความโกรธแค้นครั้งนี้เขามิอาจกล้ำกลืนลงไปได้ พอนึกถึงความอัปยศที่ตัวเองได้รับต่อหน้าคนของตัวเองในนครฟ้าวันนั้น เขาที่หยิ่งในศักดิ์ศรีจึงสูญเสียสติสัมปชัญญะไปทันที ดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ

“ครั้งนี้ต้องเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น เป็นเพราะเจ้าศาลาปราบมารมีความขัดแย้งส่วนตัวกับตี้ซาเหล่าไกว้ผู้นั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าข้า!”

“ในเมื่ออวิ๋นเต้าจื่อไม่ยอมช่วยข้า ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ข้าก็จะลงมือเอง จะต้องให้เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ให้ได้ว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” หลีหย่วนเซิ่งกัดฟันกรอด หยิบเอาแผ่นหยกออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รีบระดมกำลังของตระกูลตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือ

หลายวันหลังจากนั้น หลี่หยวนเซิ่งเดินออกมาจากในถ้ำด้วยสีหน้ามืดทะมึน สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็ใช้ค่ายกลนำส่งไปจากสายรุ้งแดนฟ้า ลงไปยังนครฟ้าที่อยู่ด้านล่าง ตรงดิ่งไปยังที่ตั้งของโรงเตี๊ยมป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในทะเลทรายฝั่งตะวันตกของนครฟ้า

เวลานี้ในโรงเตี๊ยมเนื่องจากพวกจางต้าพั่งทยอยกันบินขึ้นไปข้างบนจึงเหลือแค่เพียงสวีเป่าไฉคนเดียวที่เป็นผู้บัญชาการดูแลนักพรตกลุ่มนี้อยู่ที่นี่ ได้เห็นคะแนนคุณความดีจำนวนมหาศาลเพิ่มเข้ามาในบัญชีทุกวัน เขาก็รู้สึกชื่นมื่นอย่างมาก

“อยู่ที่นี่แหละดีนัก ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น พวกบุรพาจารย์น้อยยังอิจฉาเลย” สวีเป่าไฉนอนอยู่ตรงนั้นด้วยความพึงพอใจ รอบกายมีหญิงรับใช้เจ็ดแปดคนกำลังบีบนวดไปทั่วร่าง สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนละมุนละไมที่ส่งตรงมาจากมือเล็กๆ หลายคู่นั้น ใบหน้าของสวีเป่าไฉก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้ม มือขวายกขึ้นโอบกอดหญิงรับใช้ข้างกายที่ใบหน้างามหมดจดคนหนึ่ง

“วันนี้นายท่านเลือกให้เจ้าไปปรนนิบัติในห้องนอน” สวีเป่าไฉพูดพร้อมยิ้มตาหยี

“นายท่านเป่าไฉ…” สาวรับใช้ผู้นี้พูดด้วยความเขินอาย

สวีเป่าไฉหัวเราะฮ่าๆ หัวใจร้อนเร่า ขณะที่กำลังจะพลิกตัวกลับ ทันใดนั้นเสียงกัมปนาทสะเทือนเลือนลั่นปฐพีก็พลันดังออกมาจากด้านนอก พริบตาเดียวตลอดทั้งโรงเตี๊ยมก็โยกคลอนคล้ายเกิดแผ่นดินไหว ท่ามกลางเสียงดังสนั่นนั้นเพดานห้องถึงกับเปิดเพยิบพยาบ

ชั่วพริบตาเดียวเสียงร้องโหยหวนของคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดังก้องไปทั่ว โรงเตี๊ยมทั้งหลังถล่มโครมลงมา สวีเป่าไฉหวีดร้องเสียงแหลมรีบพุ่งตัวออกไป ในใจสั่นรัวทั้งมากด้วยความเดือดดาล ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากด้วยความโกรธเคือง ทันใดนั้นเขาก็ต้องสำลักลมหายใจเพราะมองเห็นหลี่หยวนเซิ่งที่สวมชุดยาวสีเหลืองยืนอยู่กลางอากาศ

“ให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูปติดต่อป๋ายเสี่ยวฉุน บอกให้เขาโผล่หัวมาที่นี่ หนึ่งก้านธูปให้หลัง หากเขายังไม่ปรากฏตัว ข้าผู้แซ่หลี่จะดึงธงที่ปิดผนึกที่แห่งนี้ออก!!” ขณะที่หลี่หยวนเซิ่งแค่นเสียงเย็น มือขวาก็ยกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นทะเลไฟที่ลุกโชติช่วงก็เยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า เผาผลาญพื้นที่ตลอดทั้งโรงเตี๊ยมให้มอดไหม้

เผยให้เห็นแค่จุดที่ธงเล็กๆ ปักอยู่ตรงกลางโรงเตี๊ยมเท่านั้น ธงผืนนั้นก็คือธงผนึกที่ดินที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้รัศมีสิบลี้โดยรอบกลายมาเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล

สวีเป่าไฉดวงตาแดงก่ำ มองซากปรักหักพังที่อยู่รอบด้าน มองนักพรตพรรคมังกรเขียวหลายคนที่ร้องโหยหวนเพราะบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจของเขาก็กระชั้นแรง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจล่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนออกมา แต่เขากลับไม่มีทางเลือก เรื่องนี้จำเป็นต้องแจ้งให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรับรู้

ดังนั้นจึงรีบหยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

เวลาเดียวกันนั้น บนสายรุ้งแดนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ กลืนยาที่เฝิงโหย่วเต๋อมอบให้ลงไปก็สัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของตบะ หลังจากนั่งทำสมาธิหายใจเข้าออกอยู่พักหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็เบิกโพลง พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมายาวๆ

สำหรับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกาะหย่งต้งเมื่อหลายวันก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกใคร่ครวญอยู่หลายครั้ง แล้วก็ต้องรู้สึกเหลือเชื่อทุกครั้ง เขาเองก็คิดถึงความเป็นไปได้มากมาย แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่แบบที่คิด

“ก่อนอื่นคือท่าทีที่ผู้นำแดนฟ้ามีต่อข้า ภายหลังก็มามีการเปลี่ยนแปลงของเฝิงโหย่วเต๋ออีก เรื่องนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน หรือว่าข้าควรจะหาโอกาสลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบปลายคาง ขณะที่กำลังขบคิด ทันใดนั้นหน้าก็พลันกระตุก เขาก้มลงมองแผ่นหยกในถุงเก็บของ หลังจากกวาดพลังจิตมองไป ในหัวของเขาก็มีเสียงร่ำร้องด้วยความทุกข์ระทมของสวีเป่าไฉดังลอยมาทันที

“บุรพาจารย์น้อยช่วยด้วย…”

“บุรพาจารย์น้อย เจ้าหลี่หยวนเซิ่งผู้นั้นมันมาอีกแล้ว มันเผาโรงเตี๊ยมของพวกเราเสียเหี้ยน พี่น้องพรรคมังกรเขียวหลายคนบาดเจ็บสาหัส…”

“เจ้าหลี่หยวนเซิ่งมันให้ข้าบอกท่านว่าหากท่านไม่ลงมาภายในหนึ่งก้านธูป มันจะดึงธงออก บุรพาจารย์น้อย จะทำอย่างไรดีขอรับ…” สวีเป่าไฉเอ่ยฟ้องเสียงกระซิก พอป๋ายเสี่ยวฉุนฟังจบก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ โทสะพวยพุ่งทันควัน

“จะดึงธงออก? นั่นมันที่ดินส่วนตัวของข้า!! แถมยังเผาโรงเตี๊ยมข้า หลี่หยวนเซิ่งเอ๋ยหลี่หยวนเซิ่ง ก่อนหน้านี้เจ้าแอบทำร้ายข้าลับๆ เรื่องนี้ข้ายังไม่ทันได้คิดบัญชีกับเจ้า มาตอนนี้เจ้ายังรังแกกันถึงเพียงนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหเสียแล้ว สวีเป่าไฉถูกรังแก โรงเตี๊ยมถูกเผา ธงจะถูกถอนออก เรื่องราวทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกพรวดขึ้นยืนทันใด

“จะล่อข้าลงไปอย่างนั้นหรือ อยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าคงลงมือกับข้าไม่สะดวกสินะ? ก็ดี นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดี!” หลังจากที่หยิบเอาป้ายตัวตนของศาลาปราบมารในถุงเก็บของออกมาแขวนบนร่างเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็บินออกไปจากถ้ำทันที

“ข้าไปด้วยสถานะของศาลาปราบมาร หากเจ้าหลี่หยวนเซิ่งกล้าลงมือกับข้า ก็เท่ากับไม่เคารพศาลาปราบมาร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งทะยานมาด้วยท่าทางดุดันตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงค่ายกลนำส่ง ก่อนจะเข้าไป เขาคิดไปคิดมาก็เลือกส่งข้อความไปหาเฝิงโหย่วเต๋อเจ้าศาลาปราบมารก่อน จากนั้นถึงได้เหยียบเข้าไปในค่ายกลอย่างวางใจ พริบตาเดียวร่างก็หายวับ มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ที่นครฟ้า แล้วจึงห้อตะบึงมาถึงทะเลทรายเมืองตะวันตกอย่างรวดเร็ว

มองไกลๆ เขาก็เห็นว่าตรงนั้นมีนักพรตจำนวนมากล้อมวงกันอยู่ ทั้งยังมีควันดำลอยโขมงขึ้นฟ้า แสงเปลวเพลิงโชติช่วง ที่นั่นก็คือที่ตั้งโรงเตี๊ยมของเขา

เมื่อเห็นว่าโรงเตี๊ยมของตัวเองกลายมาเป็นซากตอตะโก มองเห็นสวีเป่าไฉและทุกคนของพรรคมังกรเขียวยืนอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าซีดขาว มุมปากมีเลือดไหลซึม และเจ้าหลี่หยวนเซิ่งผู้นั้นก็ยืนอยู่ในทะเลไฟอันเป็นจุดศูนย์กลางของซากปรักหักพัง ซึ่งเบื้องหน้าของเขาก็คือธงผนึกที่ดินของป๋ายเสี่ยวฉุน

“หลี่หยวนเซิ่ง เจ้ากล้าถอนธงของข้าออกรึ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำรามดังลั่น ร่างบินถลันออกมา คนยังไม่ทันมาถึง ทว่าไอความเย็นกลับแผ่กระจายไปรอบด้าน พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปสี่ทิศ ทำให้ทะเลไฟที่กำลังลุกไหม้โรงเตี๊ยมถูกดับทันทีทันใด

หลี่หยวนเซิ่งเงยหน้าขึ้น วินาทีที่มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมุมปากของเขาก็ยกยิ้มเย็นชา มือขวายกขึ้นชี้มาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบด้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันบิดเบือน ปราณน่าตะลึงระลอกแล้วระลอกเล่าระเบิดตูมออก และมีร่างสี่ร่างเดินออกมาจากในความว่างเปล่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ฝีเท้าชะงักทันใด ไอความเย็นรอบด้านก็ยิ่งรุนแรง มองคนสี่คนที่เดินออกมาจากในความว่างเปล่า

คนทั้งสี่นี้ล้วนเป็นชายหนุ่ม ตบะของทุกคนคือรวมโอสถช่วงกลาง อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากพวกลูกผู้ดีที่คอยติดตามหลี่หยวนเซิ่ง พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเย็นชา ไอดุร้ายตลบอบอวล เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง อีกทั้งดูท่าแล้วก็คงเคยผ่านการเข่นฆ่ามาไม่น้อย แม้แต่หน้าตาก็ยังคล้ายคลึงกัน และอาภรณ์ที่พวกเขาสวมใส่ก็คือสีเขียว!

เมื่อคนทั้งสี่ปรากฏตัว นักพรตรอบด้านส่วนใหญ่ล้วนไม่รู้จักพวกเขา ทว่ายังมีบางคนที่พอเห็นคนทั้งสี่อย่างชัดเจนแล้วลมหายใจก็พลันสะดุด ร้องอุทานเสียงหลง

“จตุรอัคคี!!”

“สามร้อยอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา…จตุรอัคคี!!”

ขณะที่คนเหล่านั้นร้องอุทานด้วยความตกตะลึง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ขมวดคิ้วมุ่น ลูกศิษย์ชุดเขียวสี่คนนี้ พลานุภาพสยบบนร่างของแต่ละคนล้วนไม่ด้อยไปกว่ากัน อีกทั้งหากเปรียบเทียบกับนักพรตรวมโอสถสองคนที่ติดตามจั่วเหิงเฟิงแล้วยังแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ

หลี่หยวนเซิ่งหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือคารวะให้กับคนทั้งสี่ พอหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ดวงตาก็ฉายแสงคมกล้า

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร โรงเตี๊ยมของเจ้าก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกแล้ว วันนี้ ธงผนึกที่ดินผืนนี้ ข้าผู้แซ่หลี่ต้องดึงมันออกมาให้ได้!”

หลี่หยวนเซิ่งหัวเราะเสียงดัง ครั้งนี้เขาเชิญจตุรอัคคีมา ความมั่นใจจึงเต็มเปี่ยม ยิ่งคนทั้งสี่ออกหน้าพร้อมกันด้วยแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามล้วนเป็นรวมโอสถช่วงกลางเช่นเดียวกับป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจึงคิดว่านี่มากพอจะบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แลว้

“ข้าไม่เพียงแต่จะถอนธงของเจ้าออก แม้แต่ตัวเจ้าเอง วันนี้ข้าผู้แซ่หลี่ก็จะทำให้เจ้าได้รู้ว่า คนบางคน ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะล่วงเกินก็ล่วงเกินได้!” หลี่หยวนเซิ่งหัวเราะเสียงดัง มือขวายกขึ้นโบกอีกครั้ง ทันใดนั้นทะเลเพลิงที่อยู่รอบกายเขาก็แผ่ขยายครั่นครืนออกไปแปดทิศ ซากปรักหักพังที่อยู่รอบด้านก็แทบจะกลายมาเป็นดินไหม้เกรียม

“ลงมือ!”

เมื่อคำพูดของหลี่หยวนเซิ่งดังออกมา จตุรอัคคีที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความดูหมิ่นออกมาทางดวงตา คนทั้งสี่เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ทันใดนั้นพลังเปลวเพลิงสะท้านฟ้าสะเทือนดินก็พลันระเบิดตูมออกมาจากร่างของพวกเขาทั้งสี่ มองไกลๆ แล้วคนทั้งสี่นี้เหมือนกลายมาเป็นยักษ์เปลวเพลิงสี่ตนที่จำแลงเป็นพลานุภาพสยบน่าครั่นคร้ามตรงเข้าจู่โจมป๋ายเสี่ยวฉุน

พวกเขาไม่คิดจะเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนถึงตาย แต่กลับตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บหนักให้ได้

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ มือขวาทำมุทราแล้วโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดระเบิดตูมในฉับพลัน ไอความเย็นแผ่ขยายออกไปรอบด้านต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยหลังไปหลายก้าว แหงนหน้าตะโกนเสียงดัง

“รังแกกันมากเกินไป พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว สี่คนรุมข้าคนเดียว แถมยังคิดจะถอนธงของข้า ทำลายบ้านและกิจการของข้า พวกเจ้าคิดจะเอาชีวิตน้อยๆ ของข้าใช่ไหม!”

“ท่านเจ้าศาลามาเร็วๆ เถอะขอรับ มีคนคิดจะสังหารข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงสุดแรงเกิด เสียงนั้นดังราวฟ้าผ่าที่กังวานไปสี่ทิศ ยังไม่ทันรอให้จตุรอัคคีและหลี่หยวนเซิ่งตั้งตัวได้ทัน ทันใดนั้นตลอดทั้งนภากาศก็มีเสียงอสนีบาตดังเลือนลั่น ลมและเมฆเปลี่ยนสี คล้ายว่ามีพลังไร้ที่สิ้นสุดผลักดันให้เกิดคลื่นกระเพื่อมไหวไม่จบไม่สิ้น พลานุภาพน่ากริ่งเกรงระลอกหนึ่งพลันเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้า

สามารถมองเห็นได้รำไรว่ากลางอากาศมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมา ผู้เฒ่าคนนี้สีหน้ามืดทะมึน นัยน์ตายิ่งเย็นชา เมื่อเขาปรากฏตัว พลานุภาพสยบก็ยิ่งรุนแรง ทำให้แผ่นดินสั่นคลอนจนทุกคนที่ยืนอยู่บนพื้นดินตัวสั่นเทิ้มตามไปด้วย วินาทีที่มองเห็นผู้เฒ่าคนนี้ แต่ละคนก็ร้องอุทานอยู่ในใจ

ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือเจ้าศาลาปราบมาร เฝิงโหย่วเต๋อ!

“ใครกล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของป๋ายเสี่ยวฉุน!!” เสียงของเขาแฝงเร้นไว้ด้วยความเดือดดาล คำรามดังจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version