บทที่ 417 หุบเขาหมื่นภูเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังยืนเข้าแถวอยู่ข้างค่ายกลนำส่งที่เชื่อมต่อกับสายรุ้งหมื่นดวงดาว เตรียมจะเข้าไปในค่ายกลนำส่ง ระหว่างที่รอรู้สึกเบื่อจึงเงยหน้าขึ้นมองสายรุ้ง มองดวงดาวที่เบียดกันแน่นขนัดอยู่ในพื้นที่สามส่วน เขามาอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงเข้าใจกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราอยู่ไม่น้อย
รู้ว่าใครก็ตามที่มีสิทธิ์ได้เลื่อนขึ้นไปอยู่บนดวงดาวล้วนเป็นพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนสามารถเสวยสุขไปกับทรัพยากรและการปฏิบัติที่ดียิ่งกว่าลูกศิษย์ทั่วไปมากมายนัก แม้แต่ในศาลาต่างๆ ก็ยังมีวัตถุบางประเภทที่มีข้อจำกัด มีเพียงว่าได้เข้าไปอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่แล้วเท่านั้นถึงจะแลกเปลี่ยนมาได้
“การประลองเช่นนี้เต็มไปด้วยความอันตราย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมถึงได้มีคนมากมายอยากไปท้าทายมันนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น เขาเองก็เคยได้ยินมาว่าในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารานี้มีการประลองทั้งหมดเจ็ดชั้น แต่ละชั้นล้วนมีความอันตรายที่แน่นอน แถมทุกปียังต้องมีลูกศิษย์ตายไปเพราะการประลองเหล่านั้นด้วย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้คนที่คิดจะท้าทายเพื่อเข้าไปอยู่ในกระดานก็ยังคงมีไม่ขาดสาย
และนี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารามอบรางวัลให้เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่ได้เข้ามาอยู่ในกระดาน ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เลื่อนขั้นเป็นดวงดาว ไม่เพียงแต่วันหน้าจะได้รับทรัพยากรที่ต่างออกไป ทั้งยังมีสิทธิ์พิเศษที่แน่นอน ขณะเดียวกันหลังจากที่ได้เลื่อนขั้นเป็นดวงดาวแล้วก็จะได้รับวัตถุล้ำค่าจำนวนไม่น้อยซึ่งคะแนนคุณความดีไม่สามารถซื้อได้หนึ่งครั้ง
สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดผ่านสีของสายรุ้งเจ็ดชั้นนั้น สุดท้ายมาตกอยู่บนสีม่วงที่อยู่สูงที่สุด มองดวงดาวในนั้นที่มีเพียงแปดดวง ความรู้สึกสูงส่งเกินผู้ใด กลายเป็นที่จับตามองของคนนับหมื่นทำให้เขารู้สึกยอมไม่ได้เล็กน้อย
“คนที่อยู่อันดับแรกคือ…” สายตาป๋ายเสี่ยวฉุนมาตกอยู่บนดาวดวงหนึ่งที่อยู่สูงสุดในสายรุ้งสีม่วง เมื่อเขาจับจ้องมองอย่างมีสมาธิในสมองของเขาจึงค่อยๆ มีชื่อหนึ่งลอยขึ้นมา
“จ้าวเทียนเจียว!” (เทียนเจียว 天骄 เป็นคำเรียกขานกษัตริย์ในสมัยโบราณแสดงถึงความเคารพยำเกรง / บุคคลผู้เป็นวีรบุรุษ ผู้มีเกียรติน่าภาคภูมิใจ) ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ถูกชื่อนี้เขย่าคลอนจิตใจ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าใครจะมีชื่อที่วางอำนาจได้มากขนาดนี้ จึงอดที่จะพึมพำขึ้นมาด้วยความรู้สึกจี๊ดๆ ในใจไม่ได้
“ไม่เห็นเพราะเหมือนชื่อข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนมามองดาวที่อยู่อันดับสอง ไม่นานในสมองของเขาก็มีชื่อหนึ่งลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“จั่วเต้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก ความรู้สึกจี๊ดๆ ปรากฏขึ้นมาในใจอีกรอบ
“ชื่อบ้าชื่อบออะไร ไม่เพิ่มผังเหมินเข้าไปด้วยล่ะ…” (ยกมาจากสุภาษิตคำว่า “จั่วเต้าผังเหมิน左道旁门” คำว่าจั่วเต้า 左道 มีความหมายว่าทางที่อยู่ทางซ้าย ส่วนผังเหมิน 旁门 แปลว่าประตูด้านข้าง เมื่อรวมกันจึงกลายมามีความหมายว่าพวกนอกลู่นอกทาง พวกนอกรีต) แล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองไปที่ดวงดาวซึ่งอยู่อันดับสามอย่างอดไม่ไหวอีกครั้ง
“เฉินเยว่ซาน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองครั้งเดียวก็รู้ว่านี่คือนักพรตหญิง ขณะที่กำลังจะมองดวงดาวที่อยู่ด้านล่างต่อ ข้างหลังก็มีเสียงคนเร่งเร้ามา
ค่ายกลที่นำส่งไปยังสายรุ้งหมื่นดวงดาวแห่งนี้วันปกติมีจะมีคนสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยืนนิ่งไม่ขยับ คนด้านหลังจึงเอ่ยเร่งยิกๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถอนสายตากลับ เวลานี้แถวเลื่อนจนมาถึงเขาแล้ว เลยก้าวเข้าไปอยู่ในค่ายกลนำส่ง พริบตาเดียวก็หายวับไป มาปรากฏอีกครั้งก็อยู่บนสายรุ้งหมื่นดวงดาวแล้ว
แม้ว่าจะเพิ่งมาเป็นครั้งแรก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมตัวมานานมาก ทั้งยังแลกเอาแผนที่ของสายรุ้งหมื่นดวงดาวมาจากในศาลาปราบมารด้วย เวลานี้เมื่อถูกนำส่งมาถึงจึงบินไปตามสถานที่ที่บอกไว้ตามแผนที่ทันที
ตลอดทางเขาก็มองสภาพการณ์บนสายรุ้งหมื่นดวงดาวไปด้วย นักพรตที่อยู่ที่นี่มีไม่น้อย ต่างก็มาจากสายรุ้งสี่แดนชั้นที่สามซึ่งอยู่เบื้องล่าง มีบางคนก็ไปยังสถานที่ฝึกตน บางคนก็ตรงไปยังกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา
“คึกคักมากเลยแหะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้คึกครื้นอึกทึกยิ่งกว่าสายรุ้งแดนฟ้าเสียอีก แถมป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็นแผงลอยที่พวกลูกศิษย์เอาของมาวางขายด้วย คนที่มาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันก็มีเยอะมาก
สถานที่ฝึกตนทุกแห่งล้วนมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าแถวรอ แถมบางที่ยังมีคนยืนรออยู่หลายร้อยคน ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเป็นครั้งแรกจึงมองตลอดทางด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่เขาต้องการฝึกคาถาคนขุนเขา
สถานที่แห่งนี้คือหุบเขาแห่งหนึ่ง ด้านในมีวัชพืชขึ้นรกครึ้ม เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาอย่างมาก ตรงทางเข้ามีหินขนาดใหญ่สีเขียวปนดำวางไว้ก้อนหนึ่ง ด้านบนมีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ คนผู้นี้ปากแหลมแก้มลิง แถมผิวพรรณก็ยังดำคล้ำ เขานั่งอยู่ตรงนั้นเมื่อมองไกลๆ จึงเหมือนมองเห็นลิงตนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เมื่อเข้าไปใกล้ก็อดที่จะมองเขาอีกหลายครั้งไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งหวาดหวั่น ทั้งที่เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีตบะรวมโอสถ ทว่ากลับมองไม่ออกว่าตื้นลึกมากแค่ไหน ราวกับว่าในร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้มีพลังงานน่ากลัวที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจได้ ทว่าพลังงานนั้นกลับถูกสะกดกลั้นเอาไว้ข้างใน ไม่สามารถแผ่ออกมา
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีลางสังหรณ์รุนแรงว่าหากชายวัยกลางคนผู้นี้ลงมือและปลดปล่อยพลังน่าหวาดกลัวในร่างนั้นออกมา ถ้าคิดจะต่อสู้กับก่อกำเนิดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย
“ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราน่ากลัวจริงๆ ด้วย…เพียงแค่คนเฝ้าสถานที่แห่งหนึ่งกลับแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเฮือกใหญ่ แต่ไม่นานก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้เงียบสงบอย่างมาก ทั้งยังไม่มีคนเข้าแถวรอใช้พื้นที่ จนป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจไปว่าตัวเองมาผิดที่ ทว่าหลังจากอ่านแผนที่อย่างละเอียดแล้วถึงแน่ใจว่าสถานที่ฝึกวิชาคนขุนเขาก็คือที่แห่งนี้จริงๆ
“หุบเขาบุปผาร่วงโรยอยู่ทางขวา ยอดเขาหน้าผาเขียวอยู่ทางซ้าย บ่อน้ำมรกตอยู่ด้านหลัง หินตรายุทธ์อยู่ข้างหน้า” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังวิเคราะห์แผนที่ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ก็ลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เสียงของเขาแหลมดัง ฟังแล้วบาดหูอย่างมาก
“อ่า ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าน้อยต้องการไปที่หุบเขาหมื่นภูเขา” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูด
“โอ๊ะ?” ชายวัยกลางคนตะลึง หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างละเอียด ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันฉายแสงคมกริบ
“เจ้าฝึกคาถาคนขุนเขา?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าหงึกๆ
ชายวัยกลางคนแย้มยิ้ม เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนสายตาก็อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย มือขวาของเขาทำมุทราแล้วชี้ไปยังหุบเขาด้านข้างหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหุบเขาก็สั่นสะเทือน ความว่างเปล่าบิดเบือน และใต้พื้นดินก็มีมือหินขนาดใหญ่ยักษ์โผล่ออกมา มือหินนี้ใหญ่สิบกว่าจั้ง เมื่อค่อยๆ โผล่ออกมาก็แบมือออก คล้ายรอให้คนเหยียบเข้าไป
“ไม่ได้เจอคนที่สามารถฝึกคาถาคนขุนเขาได้มานานมากแล้ว” ชายวัยกลางคนมองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วพูดอีกว่า
“คาถาคนขุนเขา ไม่ใช่วิชา แต่เป็นเวทอภินิหาร เน้นย้ำในเรื่องร่างจำแลงแปลงเป็นคนขุนเขา มีพละกำลังเหนือล้ำสูงสุด แบ่งออกเป็นสี่ระดับ ได้แก่คนขุนเขา ดินขุนเขา ฟ้าขุนเขาและท้ายสุด…เซียนขุนเขา!”
“และจุดสำคัญในการฝึกคาถานี้ก็คือผสานรวมเป็นภูเขา ภูเขามีจิตวิญญาณ ในหุบเขาแห่งนี้มียอดเขาจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าต้องหาภูเขาที่มีวาสนากับตัวเจ้าแล้วผสานรวมเข้ากับมัน ทำความเข้าใจกับวิญญาณขุนเขา หากทำสำเร็จก็สามารถร่ายพลังของคนขุนเขาได้!” ชายวัยกลางคนให้คำชี้แนะ เมื่อคำพูดนั้นดังเข้าหูของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นระรัวทันที หลายจุดที่เขาไม่เข้าใจในคาถาขุนเขา มาบัดนี้ได้กระจ่างแจ้งแล้ว
สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นเอาจริงเอาจัง ประสานมือโค้งตัวต่ำคารวะชายวัยกลางคนผู้นั้นหนึ่งที
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ให้คำชี้แนะ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่พอจะบอกชื่อแซ่ของท่านได้หรือไม่?”
“เจ้าเรียกข้าได้ว่า…สือซาน!”
ชายวัยกลางคนยิ้มน้อยๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก เขาหลับตาลงอีกครั้ง นั่งอยู่บนหินใหญ่สีเขียวปนดำก้อนนั้นคล้ายหินรูปลิงต่อไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะอีกครั้งถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก เหยียบเข้าไปบนมือหินที่ยื่นออกมาจากทางเข้าหุบเขา และวินาทีที่เขาเหยียบลงไปนั้น มือหินก็พลันกำเข้าหากัน หลังจากปกคลุมร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ภายในแล้วก็จมหายเข้าไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว เมื่อมือหินนั้นหายไป หุบเขาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่มีการบิดเบือนเกิดขึ้น ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏให้เห็นยังคงเป็นความเปล่าเปลี่ยวเงียบเหงาเช่นเดิม
เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนพร่าลาย หูได้ยินเสียงครั่นครืนดังลอยมา ทว่าทั้งหมดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเบื้องหน้าของเขากลับคืนสู่ความชัดเจนอีกครั้ง เขาก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตนมาอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ท้องฟ้าเป็นสีเขียว ทว่าพื้นดินด้านล่าง…กลับเป็นทะเลเมฆผืนใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด สามารถมองเห็นภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือทะเลเมฆ มองดูแล้วน่าตกใจอย่างมาก อีกทั้งเขายังเห็นภูเขาลูกหนึ่งที่สูงใหญ่อย่างถึงที่สุด หากเงยหน้ามองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่กลับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
“หุบเขาหมื่นภูเขา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าตื่นตะลึง หลังจากมองไปรอบด้านก็บินออกไปทันที เริ่มตามหาภูเขาที่มีวาสนาต้องกันกับตนตามความเข้าใจที่เขามีต่อคาถาคนขุนเขาและตามคำแนะนำของสือซาน
“ต้องเป็นแบบไหนกันล่ะถึงจะเรียกว่ามีวาสนาต้องกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกสับสนเล็กน้อยในเรื่องนี้ ขณะที่กำลังสองจิตสองใจก็พึมพำเบาๆ ไปด้วย
“หรือว่าต้องมองแล้วถูกใจ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนบินอยู่บนทะเลเมฆ สายตากวาดมองไปตามยอดเขาแต่ละลูก ตามหาภูเขาที่ถูกใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเคลื่อนหน้าอยู่ในหุบเขาหมื่นภูเขา โลกภายนอก บนสายรุ้งแดนฟ้า ซ่งเชวียนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำของตัวเอง ดวงตาทั้งคู่ของเขาโชนแสงคมกล้า
“ในที่สุด…ก็ถึงเวลาที่จะได้รวมโอสถแล้ว!” ซ่งเชวียสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่วางค่ายกลไว้รอบด้าน เขาก็แจ้งเรื่องที่ตัวเองจะรวมโอสถให้กับศาลาที่ตัวเองอยู่รับทราบ นั่นถึงทำให้เขาได้รับยาช่วยในการรวมโอสถมาเม็ดหนึ่ง พอกินลงไปเขาก็หลับตาทำสมาธิ พยายามฝ่าทะลุขั้นไปให้ได้
ครึ่งเดือนหลังจากที่ซ่งเชวียพยายามรวมโอสถนั้น เฉินม่านเหยาก็ฝ่าทะลุสู่ขั้นรวมโอสถเช่นเดียวกัน!
จากนั้นผ่านไปอีกยี่สิบกว่าวัน เสินซ่วนจื่อ…ก็เริ่มฝ่าทะลุสู่ขั้นรวมโอสถตามมา!
นอกจากจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉที่ยังอยู่ในนครฟ้าแล้ว พวกผู้พิทักษ์ที่ติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนมาสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราล้วนเริ่มรวมโอสถกันหมด
นอกจากที่เดิมทีคนพวกนี้ก็มีรากฐานที่ลึกล้ำอยู่แล้ว ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีปราณวิญญาณของต้นน้ำที่เข้มข้นจนน่าตกใจ และการที่เฉินม่านเหยาและเสินซ่วนจื่อเริ่มฝ่าทะลุขั้นได้ก็ยังเกี่ยวพันกับการสะสมคะแนนคุณความดีมากมายจนนับไม่ถ้วนในพรรคมังกรเขียวด้วย
เวลานี้เมื่อผ่านการสั่งสมมาเนิ่นนาน ทุกคนจึงเริ่มทดลองฝ่าทะลุขั้น!
ส่วนจางต้าพั่งที่ถึงแม้จะล่าช้ากว่าคนทั้งสาม ทว่าก่อนหน้านี้ตบะของเขาก็เทียบทั้งสามคนนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในนครฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนให้การดูแลจางต้าพั่งเป็นพิเศษ เมื่ออยู่ภายใต้การสะสมคะแนนคุณความดีปริมาณมหาศาลอย่างต่อเนื่อง เวลานี้ตบะของจางต้าพั่งจึงไต่มาถึงสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบแล้วเช่นกัน
และการรวมโอสถของเขาก็นับวันรอได้เลย!