Skip to content

A Will Eternal 427

บทที่ 427 รังแกกันเกินไปแล้ว

บัดนี้โลกภายนอกเงียบสนิท ลูกศิษย์ทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็เบิกตากว้าง ท่ามกลางความเงียบงันนี้ สีหน้าของทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงไปในระดับที่แตกต่างกัน…มีทั้งอิจฉา มีทั้งริษยา มีทั้งครุ่นคิด และก็มีทั้งเหยเกกระอักกระอ่วนคละเคล้าไปกับความละเหี่ยใจ

พวกเขาได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีการที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ข้ามผ่านสายรุ้งสีเขียวพวกเขาคิดว่ามีความยากสูงสุด ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ในสมองของทุกคนเกิดเสียงดังอึงอล หลังจากที่เงียบกันไปในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ระเบิดขึ้นมาทันที

“นี่คือเคล็ดลับหรือ?”

“ไม่จริงมั้ง แบบนี้ก็ได้เหรอ!!”

“ไม่คิดเลยว่าวิธีการทุเรศขนาดนี้ก็ยังทำให้ผ่านด่านนี้ไปได้ด้วย!! อีกอย่างดูท่าทางของจ้าวอี้ตงในช่วงแรกก็น่าจะถึงขีดสุดความสามารถแล้ว ทว่าพอใช้วิธีนี้กลับเดินออกมาได้อีกสิบกว่าจั้ง!!”

ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังก้องอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงแค่บนสายรุ้งหมื่นดวงดาวเท่านั้นที่เสียงดังเซ็งแซ่ มาบัดนี้บนสายรุ้งทั้งสี่แดนต่างก็มีเสียงแบบนี้ดังขึ้นๆ ลงๆ วิธีการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ข้ามผ่านสายรุ้งสีเขียวทำให้จิตใจของคนบางคนถูกเขย่าคลอนอย่างรุนแรง

ทั้งยังมีพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจบางส่วนที่หยุดชะงักอยู่แค่บนสายรุ้งสีเขียวซึ่งพอเห็นภาพนี้ลมหายใจของพวกเขาก็ยิ่งถี่กระชั้น นัยน์ตาโชนแสงคมกล้า ขอแค่ผ่านสายรุ้งสีเขียวนี่ไปได้ อย่าว่าแต่ต้องร้องครวญครางอยู่บนนั้นเลย ต่อให้ต้องทำเรื่องที่น่าเกลียดยิ่งกว่านี้พวกเขาก็ยังรับได้!

เพราะอย่างไรซะบนสายรุ้งสีเขียวก็มีดวงดาวหนึ่งพันกว่าดวง แต่ดวงดาวของคนที่สามารถฝ่าด่านไปได้จนได้ขึ้นไปอยู่บนสายรุ้งสีน้ำเงินกลับมีแค่ประมาณห้าร้อยดวง ความต่างระหว่างหนึ่งพันและห้าร้อยนั้นมีมากอย่างยิ่ง!

หนึ่งคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแห่งศาลา ทว่าอีกหนึ่งคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจแห่งแดน!

“ข้าเข้าใจแล้ว เคล็ดลับของด่านนี้ไม่ใช่แค่ทดสอบความไวและระดับความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมีประโยชน์ต่อการฝึกตนด้วย!”

“นั่นต้องไม่ใช่แค่การครวญครางธรรมดาๆ แน่ นั่นมันซ่อนเร้นไว้ด้วยกฏของจังหวะการหายใจ หากใช้วิธีการเช่นนี้ก็สามารถอาศัยพลังของสายฟ้ามาชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างของของผู้ที่ฝ่าด่าน ทำให้กล้ามเนื้อยิ่งแข็งแกร่ง ทั้งยังทำให้เส้นชีพจรก่อตัวกันได้อย่างแข็งแรงอีกด้วย!”

“ก็ไม่ใช่ว่าต้องครวญครางอย่างเดียว อันที่จริงนั่นเป็นแค่การปรับลมหายใจอย่างเดียวเท่านั้น แต่เวลาที่ไม่เข้าใจ ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่าพอประจักษ์แจ้งในข้อนี้กลับเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งทันที!” ขณะที่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ติดชะงักอยู่บนสายรุ้งสีเขียวพากันสะท้านสะเทือนไปยันจิตวิญญาณ ไม่นานพวกเขาก็ทยอยกันพุ่งจากดินแดนทั้งสี่มายังกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราจนค่ายกลนำส่งของสายรุ้งหมื่นดวงดาวเปล่งแสงแวววาวไม่หยุด เสียงสวบๆๆ ดังไปทั่วทิศ

ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมาฝ่าด่าน ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในสายรุ้งสีเขียวของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เพียงแต่ว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีคำสั่งที่บุรพาจารย์ครึ่งเทพเป็นคนป่าวประกาศเองว่าห้ามนำเคล็ดลับทั้งหมดที่อยู่ในกระดานนี้มาบอกกล่าวกับผู้อื่น ต้องตระหนักรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น

และลูกศิษย์หลายร้อยคนที่ผ่านด่านนี้ได้สำเร็จก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นิสัยของพวกเขาแต่ละคนก็ไม่เหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนที่…มองโลกในแง่ดี…ไม่เหมือนใคร

ดังนั้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับสายรุ้งสีเขียวถึงเพิ่งจะได้เผยแพร่ออกไปผ่านปากของป๋ายเสี่ยวฉุน สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากนี้อีกไม่นาน คนที่ผ่านสายรุ้งเส้นนี้ไปได้ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย

“ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ข้าคิดออกแล้วว่าทำไมคนที่ผ่านด่านสายรุ้งสีเขียวได้ถึงมีแค่หลายร้อยคน ตอนนี้พอมาย้อนนึกดู เวลาที่คนหลายร้อยคนนั้นฝ่าด่านนี้ ลมหายใจของพวกเขาก็ฟังแปลกๆ กันทั้งนั้น!” เมื่อพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่หยุดชะงักอยู่บนสายรุ้งสีเขียวทยอยกันมาถึงกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง สายตาเผยประกายตื่นเต้น สะบัดร่างหนึ่งครั้งพุ่งเข้าไปยังทางเข้า

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ชายหนุ่มผู้นี้หายไปในรอยแยกทางเข้า ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นๆ ที่มายังที่แห่งนี้ก็ทยอยกันเข้าไป ไม่นานก็มีคนหลายสิบคนที่เข้าไปในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราและเลือกใช้วิธีการของป๋ายเสี่ยวฉุนมาพยายามฝ่าด่านนี้!

ทั้งหมดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เวลานี้ร่างของเขาหายไปจากทางออกของสายรุ้งสีเขียว เมื่อมาปรากฏตัวก็อยู่ที่ด่านต่อมาซึ่งก็คือ…พื้นที่การประลองสายรุ้งสีน้ำเงิน!

กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแบ่งออกเป็นสถานที่ประลองเจ็ดชั้นอันได้แก่แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ผู้ที่สามารถเดินมาถึงสายรุ้งสีน้ำเงินมีแค่ประมาณห้าร้อยคนเท่านั้น สามารถพูดได้ว่าวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่บนสายรุ้งสีน้ำเงินก็เท่ากับว่าเขาอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกแล้ว!

“ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่นี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง สะบัดปลายแขนเสื้อแล้วพูดขึ้น

“เดิมทีข้าแค่กะจะเข้ามาอยู่หนึ่งพันอันดับแรกก็พอแล้ว นึกไม่ถึงว่าพอไม่ทันระวังกลับมาโผล่อยู่ที่ห้าร้อยอันดับแรกเสียได้ เฮ้อ ปวดหัวจริงๆ…” แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมองไม่เห็นอันดับของตัวเอง แต่พอย้อนนึกถึงจำนวนดวงดาวที่อยู่บนสายรุ้งสีน้ำเงินนี้ ในใจก็รู้ดีถึงความร้ายกาจของตน ดังนั้นจึงเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ หลังจากสะบัดปลายแขนเสื้อและกำลังจะเคลิบเคลิ้มอยู่กับตัวเองอีกสักพัก หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นโลกของสายรุ้งสีน้ำเงิน ลมหายใจจึงพลันหยุดชะงัก เสียงที่จะพูดก็ขาดหายไปกลางคัน!

สถานที่ประลองบนสายรุ้งสีน้ำเงินแห่งนี้ท้องฟ้าเป็นสีเทา พื้นดินก็เป็นสีเทา เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว มันเงียบสงบอย่างมาก มองเห็นได้ว่าบนพื้นดินมีป้ายหลุมศพวางเรียงกันมากมายจนแน่นขนัด เมื่อมองออกไปก็ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด

ปราณเย็นเฉียบระลอกหนึ่งอบอวลไปทั่วที่แห่งนี้ หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสอย่างละเอียดก็พบทันทีว่าปราณที่ว่านี้ก็คือปราณแห่งความตาย ความเข้มข้นของปราณนี้มีมากจนสามารถบิดเบือนความว่างเปล่าที่ห่างออกไปไกล ทำให้สายตาที่มองเห็นเริ่มพร่าเลือน

แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนมองครั้งเดียวก็ขนลุกขนพองอยู่ในใจ รู้สึกว่าที่นี่เงียบสงัดจนน่าตกใจ

“ไม่คิดเลยว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะสร้างสถานที่น่าสยองแบบนี้ขึ้นมาด้วย กลิ่นอายความตายของที่นี่จะเข้มข้นเกินไปแล้ว…ต้องมีผีแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกขนพองสยองเกล้า หลังจากกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ใบหน้าของก็เริ่มซีดขาว เขาอดนึกถึงสิ่งสกปรกที่พวกบุรพาจารย์ของสำนักสยบธารเคยพูดถึงไม่ได้ นั่นจึงยิ่งทำให้เขาตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบหยิบเอายันต์ป้องกันเสนียดจัญไรปึกใหญ่ออกมาจากในถุงเก็บของแล้วแปะเต็มไปทั่วร่าง

“สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานี่บัดซบจริงๆ แล้วข้าจะผ่านด่านนี้ไปได้ยังไง” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวาอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีสายตาเย็นเยียบประดุจมีดคมกริบมองจากทิศไกลมาตกอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

เมื่อสายตานั้นปรากฏขึ้นก็มีเสียงคำรามแหบแห้งเจ็บปวดดังตามมา เสียงนั้นราวกับเสียงของโลหะที่เสียดสีกัน ดังเอี๊ยดอ๊าดมาจากทิศไกล แล้วก็เห็นเพียงว่าบนป้ายหลุมศพแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกลมีวิญญาณพยาบาทตนหนึ่งล่องลอยออกมา ลิ้นของวิญญาณนี้ห้อยยาวลงมา ทั้งยังแผ่ความอาฆาตมาดร้ายอย่างรุนแรง มันจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งแล้วลอยเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็ว

ความเร็วนั้นมีมากจนพริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อมันกระโจนเข้าใส่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง มือขวารีบยกขึ้นโคจรคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดแล้วชี้ออกไป ทันใดไอความเย็นน่าครั่นคร้ามระลอกหนึ่งก็แผ่ออกมาจากนิ้วมือของเขาแล้วตรงดิ่งเข้าหาวิญญาณพยาบาทตนนั้น วินาทีที่กระทบเข้าด้วยกันวิญญาณตนนั้นก็กรีดร้องโหยหวน มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของมันแตกสลายออกไปเสี่ยงๆ ทว่ายังไม่ตาย มันแค่ถอยกรูดออกไปอย่างว่องไวเท่านั้น

“เอ๊ะ? ก็ไม่ได้ร้ายกาจเท่าไหร่นี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังจะไล่ตามไป ทว่าตอนนี้เอง วิญญาณพยาบาทที่ถอยออกไปนั้นกลับเผยความเคียดแค้นออกมาทางดวงตา ร่างกายพังทลายลงไปเกินครึ่ง ขณะเดียวกันมันก็ยิ่งกรีดร้องเสียงแหบแห้งน่าตกใจยิ่งกว่าเดิม!

เมื่อเสียงร้องนั้นดังออกมา โลกทั้งใบก็สะเทือนครั่นครืนคล้ายเกิดแผ่นดินไหว และบนป้ายหลุมศพที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็พลันมีวิญญาณพยาบาทบินออกมาทั้งหมด วิญญาณพยาบาทเหล่านี้เบียดเสียดกันยั้วเยี้ย มองไม่เห็นที่สิ้นสุด แต่ละคนดุร้ายอย่างหาอะไรมาเปรียบมิได้ พวกมันยังคงมีลักษณะน่าหวาดกลัวเหมือนตอนก่อนที่จะตาย หลังจากที่เผยกาย กลิ่นอายความตายของโลกใบนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นถึงขีดสุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง สูดลมหายใจติดต่อกัน ทั้งยังรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว

“นี่…นี่มันจะมากเกินไปหน่อยไหม…” มีวิญญาณพยาบาทมากมายขนาดนี้จับจ้องมองมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หวีดร้องหนึ่งครั้ง หมายจะถอยห่างออกไป ทว่าทันใดนั้นพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปไกลก็มีเสียงกัมปนาทเกินฟ้าผ่าดังออกมา และตามมาด้วย…เงาของวิญญาณใหญ่ยักษ์จนแทบจะค้ำประคองฟ้าดินเอาไว้ได้ที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!

เงาวิญญาณนี้สวมมงกุฎจักรพรรดิ คล้ายว่าจะเป็นราชาของพวกวิญญาณพยาบาท เรือนกายใหญ่มหึมาจนแทบจะค้ำฟ้า นัยน์ตาของมันมีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชติช่วง มุมปากแสยะยิ้มเย็นชา ในมือถือตรีศูลขนาดใหญ่ยักษ์อยู่อันหนึ่ง และร่างกายของมันก็เหมือนจะประกอบกันขึ้นมาจากวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วน สามารถมองเห็นใบหน้าจำนวนเหลือคณานับได้อย่างชัดเจน ซึ่งใบหน้าเหล่านั้นกำลังร้องไห้และหัวเราะสลับกันไปจนก่อให้เกิดเป็นเสียงแปร่งหู

“มาแล้วก็อย่าไปไหนอีกเลย…” เสียงนี้แยกไม่ออกว่าหัวเราะหรือร้องไห้ เมื่อมันดังไปสี่ทิศ วิญญาณจักรพรรดิตนนี้ก็พลันโบกตรีศูลที่อยู่ในมือแล้วชี้ไกลๆ มายังป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นคลื่นน่าหวาดกลัวระลอกหนึ่งก็แผ่ไปทั่วตรีศูล ซึ่งคลื่นนั้นคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยเจตจำนงบางอย่างที่ทำให้วิญญาณพยาบาททุกตนกรีดร้องเสียงโหยไห้

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง พวกวิญญาณพยาบาทที่เบียดเสียดกันแน่นขนัดจนนับไม่หมดก็พากันกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากสี่ด้านแปดทิศ

อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังเห็นด้วยว่าจุดที่ห่างออกไปไกลยังมีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากกว่าเพิ่มรวมเข้ามา ร่างของเขาสั่นเทิ้ม กรีดร้องโหยหวน ชีวิตนี้เขายังไม่เคยเจอผีมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย…

ด้วยความหวาดผวา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกัดฟันกรอดหนึ่งครั้ง

“นายท่านป๋ายของพวกเจ้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว!” เป้าหมายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ก็เพื่อเข้ามาอยู่หนึ่งพันอันดับแรก หากไม่ติดอันดับก็ยังพอว่า แต่ในเมื่อตอนนี้ทำสำเร็จเกินเป้าที่คาดไว้แล้ว อีกทั้งที่นี่ก็อันตรายขนาดนี้ เขาจึงไม่มีความคิดที่จะฝ่าด่านต่อไปอีก ดังนั้นจึงถอยหลังกรูด หยิบเอาหยกเจ็ดสีออกมา ทว่าขณะที่กำลังจะบีบให้แตก วิญญาณจักรพรรดิที่เรือนกายใหญ่โตซึ่งอยู่ห่างออกไปกลับเผยความดูหมิ่นออกมาทางดวงตา

“เจ้าจะรบหรือไม่รบ!” น้ำเสียงแหบปร่าน่าสะพรึงกลัวทว่าดังเกินเสียงอสนีบาตดังออกมาจากปากของมัน ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดหน้าเซียว พอถูกอีกฝ่ายท้ารบเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพรวด

“ข้า…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันเอ่ยจบ วิญญาณพยาบาททั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็พร้อมใจกันร้องคำรามคล้ายต้องการขับบารมีให้แก่วิญญาณจักรพรรดิของพวกมัน!

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถูกเสียงนั่นสั่นสะเทือนจนศีรษะปวดร้าว ลมหายใจสะดุด หากมีแค่วิญญาณจักรพรรดิตนเดียวก็ยังพอว่า ทว่ามาตอนนี้วิญญาณพยาบาททั้งหมดช่วยกันร้องคำราม แถมดูจากท่าทางที่พวกมันพุ่งเข้ามาหาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าผีพวกนี้รังแกกันมากเกินไป

“ฝากไว้ก่อนเถอะ วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว รอข้ากลับไปพักผ่อนจนหายเหนื่อยเมื่อไหร่ คราวหน้าข้าจะมาจัดการกับพวกเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามดังลั่น บีบหยกให้แตกแล้วนำส่งร่างออกไป…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version