บทที่ 441 การประลองล่าวิญญาณ
ทุกอย่างล้วนพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง เขาทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าและเริ่มออกไปข้างนอกเป็นประจำ อีกทั้งยังไม่ได้อยู่แค่ที่สายรุ้งแดนฟ้าด้วย แม้แต่อีกสามแดนเขาก็ยังไปเดินเตร่บ่อยๆ เพื่อดื่มด่ำไปกับสายตาเคารพนับถือจากคนมากมาย ในใจเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความพึงพอใจ แล้วก็รู้สึกอีกครั้งว่าตนเองใกล้เดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
“เฮ้อ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว กระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราก็ต้องสิ้นราบพนาสูร ปวดหัวยิ่งนัก เย่จั้งตัวปลอม เจ้าว่าทำไมกัน ทำไมข้าถึงได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้นะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดเบาๆ ทุกครั้งก่อนออกจากถ้ำเขาจะต้องสะบัดปลายแขนเสื้อพร้อมพูดด้วยความปลงอนิจจัง แล้วก็หยิบเอากระจกออกมา หากอารมณ์ดีหน่อยก็จะถามเย่จั้งตัวปลอมที่อยู่ในกระจกด้วยคำถามที่ว่าเหตุใดตนถึงได้ยอดเยี่ยมแบบนี้
ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้ เย่จั้งตัวปลอมจะต้องขนลุกขนชันไปทั้งตัว แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังพยายามแย้มยิ้มและเค้นหาคำไปยกยอปอปั้นอีกฝ่ายในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจอย่างมาก มีความสุขเป็นล้นพ้น
ส่วนเจ้าเต่าน้อยก็เหมือนว่าจะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอะไรบางอย่างถึงไม่ได้โผล่หัวออกมาเอ่ยเสียดสีขัดจังหวะเขาเลยสักครั้ง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของตนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารานับวันก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น
น่าเสียดายที่…เรื่องดีๆ อยู่ได้ไม่นาน หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน โองการหนึ่งก็พลันบินออกมาจากรุ้งของครึ่งเทพแห่งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้วประกาศแพร่ไปทั่วทั้งสำนัก!
นาทีก่อนหน้าที่โองการจากสายรุ้งครึ่งเทพจะป่าวประกาศออกไปนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเดินออกมาจากในถ้ำด้วยความคึกคัก มองมหาสมุทรกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างไกล รับสัมผัสกับลมที่พัดคลอเคล้ามาพร้อมกับชั้นเมฆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเผยความอิ่มอกอิ่มใจ มือขวาก็ตบลงไปบนถุงเก็บของหยิบเอากระจกทองแดงออกมา
“เย่จื่อน้อย มาๆๆ ไหนเจ้าบอกข้าสิว่าเหตุใดนายท่านป๋ายของเจ้าเวลาเดินไปที่ไหนก็ต้องได้รับการต้อนรับเสมอ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เอ่ยถามด้วยอารมณ์สุนทรีย์ เตรียมพร้อมที่จะรับฟังคำยกยอจากอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
เย่จั้งตัวปลอมในกระจกกลัดกลุ้มจนแทบจะร้องไห้เต็มที ครึ่งเดือนมานี้เขาต้องเค้นคำที่มีอยู่ในสมองออกมาจนหมด ไอ้ที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว ตอนนี้นึกคำใหม่ไม่ออกจริงๆ แถมเขายังรู้สึกว่าชีวิตนี้ของตนหมดสิ้นความหมายใดๆ แล้ว เรื่องแบบนี้ช่างทรมาทรกรรมเขายิ่งนัก
“นายท่าน ท่านปล่อยข้าไปเถอะ…” เย่จั้งตัวปลอมร้องคร่ำครวญด้วยใบหน้าเศร้าโศก
พอได้ยินเขาคร่ำครวญเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อารมณ์เสียทันใด ถลึงตาใส่อีกฝ่าย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็มีเสียงฟ้าผ่าดังครืนครั่น เสียงฟ้าผ่านี้ดังเกินฟ้าผ่าทั่วไปอยู่มาก ดังอึกทึกไปแปดทิศ ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆและลมพัดหวีดหวิว สายรุ้งทั้งสี่แดนสั่นคลอนอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้แต่สายรุ้งของคนฟ้าและสายรุ้งหมื่นดวงดาวที่อยู่ด้านบนก็ยังโยกไหวอย่างแรงไปด้วย
พริบตาเดียว เหนือสุดคือคนฟ้า ล่างสุดคือรวมลมปราณ นักพรตทุกคนที่ไม่ว่าบัดนี้กำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม จิตวิญญาณของพวกเขาต่างก็สั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนพลานุภาพสยบแห่งสวรรค์เยื้องกรายมาเยือน ทุกคนพากันหน้าถอดสี
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงเกือบจะทำกระจกหลุดมือ รีบเงยหน้ามองท้องฟ้า เผยสีหน้าตกใจคละเคล้าไปด้วยความสงสัย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
ขณะที่เขากำลังคลางแคลงใจอยู่นั้นเอง น้ำเสียงแก่ชราที่แฝงเร้นไปด้วยบารมีเหนือล้ำก็พลันดังลอยมาจากสายรุ้งครึ่งเทพที่อยู่สูงสุดและสะท้อนไปทั่วทั้งในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
“ทงเทียนมีโองการ…คลื่นวิญญาณฟ้ากระเพื่อม เป็นเหตุให้การประลองล่าวิญญาณจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง…เรือฟ้าดารา มุ่งหน้าสู่แดนทุรกันดาร!”
เสียงนี้เก่าแก่อย่างถึงที่สุด ทุกคำที่เปล่งออกมาคล้ายกลายมาเป็นกฎระเบียบที่ทำให้ฟ้าดินสะเทือนไหว หัวใจของคนนับไม่ถ้วนสั่นสะท้านอย่างคลุ้มคลั่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจความหมายของประโยคนี้เท่าใดนัก
เพราะอย่างไรซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นสิบอันดับแรก มีหลายเรื่องราวในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เขายังไม่เข้าใจอย่างครอบคลุม ทว่าสำหรับคนอื่นๆ ที่อยู่หนึ่งร้อยอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว วินาทีที่พวกเขาได้ยินประโยคนี้ ในใจก็เต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างห้ามไม่อยู่ หรือแม้แต่ลมหายใจก็ยังถี่กระชั้นโลดแรง
“ในที่สุดการประลองล่าวิญญาณก็เริ่มขึ้นเสียที!!”
“หลังจากที่การประลองครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าต้องเหยียบย่างสู่ก่อกำเนิดให้สำเร็จให้จงได้!!”
“ฮ่าๆ รอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว!”
บนสายรุ้งแดนดารา บนยอดเขาแห่งนั้นที่เต็มไปด้วยเปลวไฟลุกโชติช่วง เฉินเยว่ซานที่อยู่อันดับสามก็พลันลุกพรวดขึ้นยืน เส้นผมยาวสลวยของนางพลิ้วไหว นัยน์ตาฉายประแสงเรืองรอง
“ล่าวิญญาณ…”
บนสายรุ้งแดนอันตะ จั่วเต้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่อันดับสองกำลังเข่นฆ่าเหล่าวิญญาณพยาบาทอยู่ในบ่อลึก เวลานี้ร่างของเขาก็สั่นเยือก นัยน์ตาเผยความฮึกเหิมอย่างดุเดือด
“จะเริ่มแล้วหรือ…จ้าวเทียนเจียว ครั้งนี้ข้าอยากจะรู้นักว่าระหว่างเจ้าและข้าสองคน ใครกันที่จะเป็น…ก่อกำเนิดวิญญาณคนฟ้าได้สำเร็จ!! ข้าต้องช่วงชิงวิญญาณคนฟ้ามาให้ได้!”
ขณะที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารากำลังครึกโครมกันไปทั้งสำนัก นอกสำนัก กลางภูเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรือนกายสูงโปร่ง ทว่าสีหน้ากลับเย็นชาถึงขีดสุด เขาแบกกระบี่เล่มใหญ่หนึ่งเล่มไว้บนหลังและกำลังเดินอยู่ในผืนป่าบนภูเขา เบื้องหลังของเขาคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คล้ายว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขาได้สังหารสิ่งมีชีวิตไปแล้วนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะในมือของเขาที่ถือศีรษะที่มีใบหน้าดุร้ายเอาไว้หนึ่งหัว ศีรษะนี้เป็นของผู้เฒ่าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเพียงศีรษะทว่าปราณที่ดำรงอยู่กลับบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ คนผู้นี้คือนักพรตก่อกำเนิดคนหนึ่ง!!
และขณะที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังเดินไปข้างหน้า ฝีเท้าของเขาพลันชะงัก หยิบเอาแผ่นหยกหนึ่งแผ่นออกมาจากในถุงเก็บของ หลังจากเห็นข้อความในนั้นดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มก็ระเบิดแสงคมกล้าออกมาทันที ประกายแสงจากดวงตาเขาคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยการกัดกร่อนที่พริบตาเดียวก็ทำให้พืชหญ้ารอบด้านแห้งเหี่ยวลงไปหมด
“ในที่สุดข้าก็รอจนการประลองล่าวิญญาณมาถึงแล้ว!!” ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ประกายแสงในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้น ขอบเขตความแห้งเหี่ยวของพืชหญ้ารอบด้านยิ่งขยายออกไปเป็นวงกว้าง แผล็บเดียวในรัศมีพันจั้ง พืชหญ้าทุกต้นก็เหี่ยวเฉาล้มตายไปจนหมด!
เขาก็คือผู้ที่อยู่อันดับหนึ่งของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา…จ้าวเทียนเจียว!
เมื่อข่าวเกี่ยวกับการประลองล่าวิญญาณแพร่ออกมาจากสายรุ้งครึ่งเทพ ไม่นานเจ้าสำนักก็ประกาศคำสั่งมากมายออกมา และจากนั้นผู้นำของทั้งสี่แดนก็ทำเช่นเดียวกัน
และข้อมูลปริมาณมากยิ่งกว่าเดิมก็ทยอยกันหลุดออกมาจากปากของคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจสถานการณ์ และเวลาสั้นๆ เพียงแค่วันเดียวก็แพร่ขยายไปทั่วทั้งสำนัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้ยินได้ฟังมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่ครบถ้วนดีนัก ทว่าลำพังเพียงแค่เรื่องที่เขาได้ยินมาก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกได้มากพออยู่แล้ว ดังนั้นจึงรีบเรียกสวีเป่าไฉให้เข้าพบทันที
“บุรพาจารย์น้อย เรื่องน่ายินดี เรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่เลยทีเดียว!!” พอสวีเป่าไฉ่เหยียบเข้ามาในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะโกนเสียงดังลั่นทันใด
“รีบพูดมาสิว่าการประลองล่าวิญญาณนี่มันเป็นไงมาไงกันแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบถาม
“บุรพาจารย์น้อย ข้าไปสืบข่าวมาจนรู้ชัดแล้ว การประลองล่าวิญญาณนี้ก็คือโชควาสนาครั้งใหญ่ที่ให้นักพรตรวมโอสถได้กลายเป็นก่อกำเนิด!” สวีเป่าไฉพูดด้วยความตื่นเต้น
“หา? โชควาสนา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ข่าวที่เขาได้ยินมาก็คือการประลองล่าวิญญาณที่ว่านี้อันตรายถึงขีดสุด อาจไม่ถึงขนาดที่ว่าแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ไม่ต่างกันไปมากเท่าใดนัก
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าเองก็เพิ่งรู้มาเหมือนกัน หากคิดจะฝ่าทะลุขั้นรวมโอสถกลายมาเป็นก่อกำเนิด มีวิธีอยู่สามอย่าง อย่างแรกคือยาก่อกำเนิด แต่นี่เป็นเพียงแค่ชั้นมนุษย์เท่านั้น อย่างที่สองคือวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุ นี่คือชั้นดิน ที่สูงที่สุดก็คือวิญญาณคนฟ้าห้าธาตุในตำนาน แทบจะทำสำเร็จไม่ได้ นี่คือชั้นฟ้า!” สวีเป่าไฉ่เอ่ยด้วยอารมณ์เหิมห้าว
“หากเป็นในสำนัก อย่าว่าแต่ก่อกำเนิดชั้นฟ้าเลย ต่อให้ก่อกำเนิดชั้นดินเองก็มีความเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่าน้อย เพราะอย่างไรซะวิญญาณคนฟ้าก็หาได้ยาก วิญญาณสัตว์ฟ้าก็มีน้อยไม่ต่างกัน แทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ”
“ทว่าในแดนทุรกันดารนั้นไม่เหมือนกัน มีข่าวเล่าลือบอกว่าพื้นที่ในแดนทุรกันดารก็มีแม่น้ำสายหนึ่งที่เหมือนกับแม่น้ำทงเทียน เพียงแต่ว่าแม่น้ำสายนั้นผู้ที่มีชีวิตไม่สามารถมองเห็นได้ นั่นคือแม่น้ำอเวจีสายหนึ่ง แม่น้ำอเวจีนี้สามารถดูดเอาวิญญาณของคนตายทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ส่งไปยังแดนทุรกันดาร!”
“ดังนั้นที่แดนทุรกันดารจึงมีวิญญาณอยู่เยอะมาก ว่ากันว่ามากจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด นับอย่างไรก็นับไม่หมด…ท่ามกลางวิญญาณเหลือคณานับนั้น ไม่เพียงแต่มีวิญญาณสัตว์ฟ้าที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ถูกค้นพบดำรงอยู่ ทั้งอาจยังมีวิญญาณคนฟ้าอยู่ด้วย!!”
“ดังนั้นที่นั่นก็คือสถานที่แห่งโชควาสนาที่ดีที่สุดของนักพรตรวมโอสถ!!” สวีเป่าไฉยิ่งฮึกเหิม ดูท่าทางแล้วก็ราวกับว่าหากเขามีคุณสมบัติที่จะไปได้ เขาก็จะต้องพุ่งเข้าใส่อย่างไม่สนใจสิ่งใดแน่นอน
“แดนทุรกันดาร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งครั้ง เขามีความเข้าใจต่อแดนทุรกันดารมากกว่าสวีเป่าไฉเล็กน้อย เวลานี้ปฏิกิริยาตอบสนองแรกในสมองก็คือดูท่าแล้วการประลองครั้งนี้คงไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก ย่อมไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็นภายนอกแน่นอน
ต้องรู้ด้วยว่าในแดนทุรกันดารนั้น นอกจากวิญญาณที่กล่าวถึงแล้ว ยังมี…นักพรตด้วย!!
“และการประลองล่าวิญญาณครั้งนี้ก็จะจัดขึ้นในแดนทุรกันดาร จำเป็นต้องนั่งเรือใหญ่โบราณลำนั้นแล่นผ่านแม่น้ำทงเทียน แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่แดนทุรกันดารจากอีกทิศทางหนึ่ง!” สวีเป่าไฉ่ชี้ไปยังเรือใหญ่ลึกลับที่อยู่บนมหาสมุทรลำนั้น
พอป๋ายเสี่ยวฉุนมองตามไปใจก็สั่นรัวอีกครั้ง เขานึกถึงที่เฉินม่านเหยาพูดในปีนั้น นางบอกว่าเรือใหญ่นั่นสามารถพานางกลับบ้านได้…หลังจากที่เอาข้อมูลมารวมกันแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด เห็นได้ชัดว่าเฉินม่านเหยารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว!
“ผู้ที่มีคุณสมบัติได้เข้าร่วมการประลองที่แดนทุรกันดารในครั้งนี้มีเพียงคนที่มีรายชื่อติดกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้น ซึ่งการประลองครั้งนี้ใช้เวลาสิบปี ยินดีกับบุรพาจารย์น้อยด้วย ไม่แน่ว่าตอนที่ท่านกลับมาอาจได้กลายเป็นนักพรตก่อกำเนิดแล้วก็ได้!”
“เป้าหมายสูงสุดของการประลองครั้งนี้ก็คือช่วงชิงวิญญาณคนฟ้า วิญญาณคนฟ้าหนึ่งดวง เมื่อกลับมายังสำนักจะสามารถแลกวิญญาณสัตว์ฟ้าห้าธาตุที่สมบูรณ์แบบได้!!
หากไม่สามารถช่วงชิงวิญญาณคนฟ้ามาได้ ถ้าเช่นนั้นก็หาวิญญาณสัตว์ฟ้ามาสักดวงหนึ่งก็ได้ ต่อให้จะเป็นเพียงวิญญาณสัตว์ฟ้าดวงเดียว ตอนที่กลับมาสำนักก็ยังสามารถเอามาแลกยาก่อกำเนิดล้ำค่าได้หนึ่งเม็ดเชียวนะ!!”