บทที่ 466 กำแพงเมืองอันน่าเกรงขาม
“เสี่ยวฉุน เจ้ารู้หรือไม่ พวกเราที่มาประลองที่นี่ แม้ว่าจะมีเวลาเพียงสิบปี ทว่าทุกคนกลับมีภารกิจที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จสามครั้ง ภารกิจสามครั้งนี้แม้จะเลือกได้เอง แต่ก็จำเป็นต้องทำให้เสร็จสิ้นตอนอยู่นอกกำแพงเมือง หรือจะพูดให้ตรงกว่านี้ สิ่งที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเรียกร้องต่อพวกเราก็คือ…พวกเราจำเป็นต้องออกไปจากกำแพงเมือง!” จ้าวเทียนเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง
“ถึงเวลานั้นเจ้าเองก็จำเป็นต้องออกไป ไม่อยากไปก็ต้องไป…มิฉะนั้นเมื่อครบสิบปี เจ้าก็จะไม่ผ่านการทดสอบ ยากจะหวนคืนสู่สำนัก”
จ้าวเทียนเจียวตบไหล่ของป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ พอได้ยินว่าในสิบปีต้องออกไปสามครั้ง เขาก็รู้สึกว่าโลกดำมืดไปหมด ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินคำพูดทำนองนี้เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะรู้สึกว่าคงไม่ยากลำบากเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้เมื่อได้เดินทางอยู่ในกำแพงเมืองมาเกือบครึ่งทาง เขาจึงได้สัมผัสกับความอันตรายที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งด้วยตัวเอง สัมผัสได้ถึงวิกฤตที่ว่าหากตนไม่ระวังแม้เพียงนิดก็อาจจะเอาชีวิตน้อยๆ นี่ไปทิ้งได้ ตอนนี้พอย้อนนึกถึงเรื่องที่ว่าต้องออกไปทำภารกิจนอกกำแพงเมืองสามครั้ง เขาก็รู้สึกทันทีว่านั่นคือหลุมใหญ่ที่จะผลักให้เขาลงไปตายชัดๆ …
“ก็แค่สามครั้งไม่ใช่หรือ กระจอกจะตายไป ศิษย์พี่จ้าวไม่ต้องพูดแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าย่อมทำในสิ่งที่สมควรต้องทำ” แม้ว่าในใจจะหวาดกลัว ทว่าภายนอกกลับไม่เผยสิ่งใดออกมาตามความเคยชิน แถมป๋ายเสี่ยวฉุนยังเชิดคางขึ้น ตอนที่พูดก็ยังมีท่าทางไม่แยแสสิ่งใด
“ดี นี่ต่างหากถึงจะเป็นศิษย์น้องป๋ายที่ข้าจ้าวเทียนเจียวรู้จัก!” จ้าวเทียนเจียวหัวเราะฮ่าๆ ตบไหล่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนักๆ อีกที
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์พี่อย่างข้าก็จะไม่พูดมากแล้ว จากระยะทางตอนนี้ ผ่านไปอีกครึ่งเดือนพวกเราก็จะได้เห็นนครกำแพงเมืองแล้ว และพวกเราจะจากลากันที่นั่น…หวังว่าเมื่อเจอกันอีกครั้ง พวกเราจะช่วงชิงชื่อเสียงบารมีอันเป็นของตัวเองมาจนได้!”
จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหยิบเอาเหล้าออกมาหนึ่งเหยือก พอตัวเองดื่มลงไปอึกใหญ่ก็ส่งให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ตลอดทั้งร่างของเขาระเบิดพลังอำนาจที่โดดเด่นออกมาประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่ เฉินเยว่ซานที่อยู่ด้านหลังของเขาพอมองเห็นภาพนี้ ดวงตาคู่งามก็เปล่งประกายสดใส
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยืดอกตั้ง ถือเหยือกเหล้าแล้วดื่มลงไปอึกใหญ่ พลังอำนาจก็ระเบิดออกมาเช่นกัน แต่ที่ทำให้เขาขุ่นเคืองก็คือไม่ว่าจะเป็นเฉินเยว่ซานหรือพวกผู้ติดตามต่างก็มองจ้าวเทียนเจียวด้วยสายตาเคารพเลื่อมใส ไม่ได้หันมามองตน
“ฮะแฮ่ม ถ่อมตัว ข้าเป็นคนที่ถ่อมตัวมาก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบปลอบใจตัวเอง
แผล็บเดียวเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป เช้าตรู่ของวันนี้ เมื่อแสงอรุณแรกสาดส่องจากทิศตะวันออกมายังพื้นแผ่นดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเหนือเส้นขอบฟ้าที่ห่างออกไปไกล เมื่อดวงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า…เส้นยาวเส้นหนึ่ง…ที่ราวกับเทือกเขายาวเหยียดทว่ากลับได้ระเบียบอย่างถึงที่สุดพลันโผล่พรวดขึ้นมา และนั่นก็คือ…กำแพงเมือง!
วินาทีที่มองเห็นกำแพงเมือง จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกเขย่าคลอน เขามิอาจบรรยายสิ่งที่ตนเห็นอยู่เบื้องหน้านี้ได้ ความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองนั่นราวกับมีมังกรยักษ์ตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น ซึ่งลำตัวของมันเลื้อยลดคดเคี้ยวทอดยาวออกไปไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน
ทุกอย่างที่เห็นอยู่ในสายตาตอนนี้ล้วนมีแต่กำแพงเมือง…
ความสูงพอสองพันกว่าจั้งเป็นราวประตูใหญ่บานหนึ่งที่แบ่งแยกพื้นดินออกจากกัน ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในโลกภายนอกมิอาจเหยียบย่างเข้าไปในนั้นได้แม้แต่ครึ่งก้าว ทุกอย่างล้วนถูกผนึกตาย
ไม่เพียงแต่กำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านสูงสองพันกว่าจั้งนี้เท่านั้น ยังมีม่านแสงสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ที่คล้ายจะเชื่อมต่อกับนภากาศซึ่งลอยอยู่เหนือนครกำแพงเมืองก่อกลายมาเป็นตราผนึกด้วย!
เมื่อมองไกลๆ กำแพงและม่านแสงผสานรวมเข้าด้วยกันก็ราวกับสิ่งกีดขวางอย่างหนึ่ง!
ตลอดทั้งกำแพงเมืองไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีม่วง…
อีกทั้งเมื่อมองไกลๆ จากตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาจากบนกำแพงเมืองด้วย…สามารถจินตนาการได้ว่าบางทีที่นี่อาจเคยเป็นสีดำมาก่อน ทว่าเนื่องจากอาบย้อมไปด้วยเลือดสดที่มากเกินไปจึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นพื้นดินหรือบนผนังกำแพงต่างก็กลายมาเป็นสีม่วงทั้งหมด!
พื้นที่รอบด้านเปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ไม่มีพืชหญ้างอกขึ้นสักต้น ขณะเดียวกันไอสังหารเหี้ยมหาญที่มิอาจพรรณนาได้ระลอกหนึ่งก็กำลังก่อตัวขึ้นบนกำแพงเมืองนั้นอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่าเมื่อมันสั่งสมผ่านกาลเวลายาวนานจึงส่งผลกระทบต่อนภากาศ ทำให้ชั้นเมฆบนท้องฟ้ารวมตัวกันกลายมาเป็นน้ำวนสีม่วง น้ำวนนี้เคลื่อนโคจรไม่มีวันหยุดพักส่งเสียงครืนครั่นดังกัมปนาท
สายฟ้าสีแดงหลายเส้นแลบปลาบไปทั่วน้ำวนลูกนั้น บางครั้งก็วาบผ่านท้องฟ้าราวกับมังกรยาวสีชาดหลายตัวที่กำลังระบำร้องคำราม
กำแพงเมืองสีม่วง ม่านแสงสีดำ และยังมีกระเบื้องลายครามทุกชุ่นบนผนังกำแพงเมืองที่ต่างก็ปล่อยพลานุภาพสยบน่ากริ่งเกรง รวมตัวกันขึ้นมาเป็น…แนวป้องกันเส้นสุดท้ายที่ผืนแผ่นดินใหญ่ทงเทียน…ตัดขาดเส้นทางของแดนทุรกันดาร!
อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าบนกำแพงเมืองนั้นได้ตั้งวางอาวุธขนาดใหญ่ยักจำนวนนับไม่ถ้วน…ซึ่งมีมากกว่านครเขตแดนเป็นร้อยๆ เท่า อาวุธเหล่านั้นต่างก็มีรูปร่างดุดันอย่างถึงที่สุด ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง หากเปิดใช้เมื่อใดก็มากพอที่จะดับฟ้าทลายดินได้
กลางกำแพงเมืองมีนครแห่งหนึ่งดำรงอยู่ ความยิ่งใหญ่ของนครแห่งนี้มีมากกว่าเอานครทะเลบูรพา นครเขตแดนสิบแห่งมารวมกันเสียอีก มันตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดิน กลายมาเป็นประตูที่สำคัญแห่งหนึ่ง!
ปราณจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ในนครแห่งนั้น ปราณเหล่านี้ไม่ว่าปราณใดก็ตามล้วนเคยผ่านสงครามนองเลือดมาแล้วมากมายหลายครั้งจนบ่มเพาะให้เกิดเป็นปณิธานที่เด็ดเดี่ยว แค่รับสัมผัสอย่างคร่าวๆ ก็รู้ว่ามีมากไม่ต่ำกว่าหลายล้านปราณ
ในนั้นมีก่อกำเนิดอยู่ไม่น้อย อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังสัมผัสได้ด้วยว่าในนครแห่งนั้นมี…เจตจำนงที่แข็งแกร่งสูงสุดระลอกหนึ่งซึ่งราวกับสามารถเขย่าคลอนฟ้าดิน ทำให้ฟ้าดินผสานรวมกันเป็นหนึ่งได้!
นั่นคือ…คนฟ้า!!
ตลอดทั้งแผ่นดินทงเทียนนั้นมีคนฟ้าอยู่ไม่มาก ทว่าที่นี่กลับมีอยู่หนึ่งท่าน และหนึ่งท่านนี้ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน และยิ่งไม่แปลกหน้าสำหรับ
จ้าวเทียนเจียว เพราะว่าเขาก็คือบิดาของเฉินเยว่ซาน คือผู้เฒ่าสามตาที่พาทุกคนเดินทางมาที่นี่ เขามาถึงที่นี่ก่อนใคร และช่วงเวลาหลังจากนี้เขาก็จะปกปักษ์พิทักษ์ที่นี่ สร้างพลานุภาพสยบให้สะเทือนไปทั่วแดนทุรกันดาร!
และตรงกลางนครแห่งนี้ก็มีเจดีย์ทรงดาวห้าแฉกที่สูงตระหง่านตั้งอยู่หลังหนึ่ง เจดีย์นี้สูงพอพันจั้ง เมื่อมันตั้งเด่นอยู่ในนครยักษ์ก็ทำให้ทั้งในและนอกกำแพงเมืองสามารถมองเห็นแสงพร่างพราวจากในเจดีย์ได้อย่างชัดเจน แสงนี้สว่างเจิดจ้า ทุกครั้งที่มันหมุนวนก็คล้ายจะทำให้ความว่างเปล่าสั่นคลอน
โดยเฉพาะบนยอดเจดีย์ที่ฝังเลื่อมไข่มุกเม็ดยักษ์เอาไว้หนึ่งเม็ด ไข่มุกนี้มีขนาดพอร้อยจั้ง ด้านในขุ่นคลั่กเหมือนมีไอหมอกไหลวนอยู่ ซึ่งบางครั้งก็รวมตัวกันกลายมาเป็นดวงตาข้างหนึ่งที่มีตาดำสองลูก!
ไม่ว่าใครก็ตามที่จ้องมองดวงตานี้ก็จะต้องใจสั่นรัวคล้ายถูกจับจ้องด้วยปณิธานสูงล้ำที่อยู่บนนภากาศ!
“เจดีย์ฟ้าดารา!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตื่นตะลึงอยู่นั้น
เสียงของจ้าวเทียนเจียวก็ดังขึ้นมาจากข้างกายเขา
จ้าวเทียนเจียวกำลังจ้องมองไปที่เจดีย์สูงด้วยสายตากระตือรือร้นเร่าร้อนและเคารพเลื่อมใส
“นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเรา เจดีย์ฟ้าดารา ว่ากันว่าที่ในไข่มุกเม็ดนั้นผนึกเอาไว้…ก็คือเจินหลิง!”
“เจินหลิง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน
“ข้าก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเจินหลิง แต่ได้ยินท่านอาจารย์เคยบอกว่า
เมื่อมีเจินหลิงนี้อยู่ ถึงได้ทำให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองไม่เป็นเหมือนวัตถุที่ตายแล้ว แต่กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต”
“เจดีย์นี้ไม่เพียงแต่มีพลังมหัจรรย์มากมายที่ช่วยในการป้องกัน มันยังเป็นจุดศูนย์กลางของนครกำแพงเมือง การจัดสรรคุณความชอบในการทำสงครามและทรัพยากรทั้งหมดต่างก็อาศัยมันเป็นตัวแบ่งสรร” จ้าวเทียนเจียวสูดลมหายใจเข้าลึก มือขวายกขึ้นแล้วชี้ไป
“เสี่ยวฉุน เจ้าดูที่ธงรบทั้งห้าที่อยู่รอบๆ เจดีย์ฟ้าดารานั่นสิ!”
รอบด้านเจดีย์สูงแห่งนี้มีธงรบอยู่ห้าผืนซึ่งต่างก็ลอยสูงและโบกสะบัดไปตามลม ธงรบทุกผืนที่อยู่ท่ามกลางสายลมต่างก็ปล่อยแสงระยิบระยับจับตาออกมา ต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังสามารถมองเห็นธงรบทั้งหน้าได้ในปราดเดียว!
ธงทั้งห้านี้มีสีไม่เหมือนกัน ภาพที่ประทับอยู่บนนั้นก็ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าผืนใดต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เป็นที่จับตามองของคนนับหมื่น
ซึ่งหนึ่งในนั้นพอป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นก็จดจำได้อย่างลึกล้ำ เพราะรูปภาพที่อยู่บนธงนั้นเป็นภาพของชนพื้นเมืองที่ถูกถลกหนังออก!
ภาพสัญลักษณ์นี้เหมือนจริงมากเกินไป ชนพื้นเมืองที่ถูกถลกหนังผู้นั้นก็ราวกับกำลังร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองครั้งเดียวข้างหูของเขาก็เหมือนมีเสียงร้องโหยหวนด้วยความรวดร้าวดังลอยมา
“ธงรบทั้งห้าผืนนี้เป็นตัวแทนของกองทัพใหญ่ห้ากองของศาลาเลือดเหล็กในกำแพงเมือง ซึ่งกองทัพใหญ่ทั้งห้าต่างก็เคยสร้างคุณูปการในสงครามอันเลื่องชื่อ
ธงถลกหนัง ธงปีศาจดำ ธงเจ็ดพิฆาต ธงสังหารทุรกันดาร และอีกธงหนึ่งก็คือธงสลายวิญญาณ!”
“ธงถลกหนัง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ชื่อของอีกสี่กองทัพใหญ่นั้นยังถือว่าฟังได้ ทว่าธงถลกหนังนี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจหายวาบ
“ทุกกองทัพต่างก็มีธงประจำกองหนึ่งผืน เป็นตัวแทนวิธีการสู้รบของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของบารมีอันน่าเกรงขามของใครของมัน เจ้าดูธงถลกหนังนั่นสิ ว่ากันว่ากองทัพนี้กระหายเลือดอย่างถึงที่สุด ทุกครั้งที่ออกรบจะต้องถลกหนังของศัตรู ทำให้แค่ได้ยินชื่อชนพื้นเมืองนอกกำแพงเมืองก็หวาดผวาแล้ว!”
นัยน์ตาของจ้าวเทียนเจียวเผยความเลื่อมใสศรัทธา เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้เข้าร่วมกับกองทัพทั้งห้านี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลายหนึ่งอึก หลังจากมองธงเหล่านั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ให้ห่างพวกมันเข้าไว้ท่าจะดี
“เสี่ยวฉุน เจ้ารู้หรือไม่ นอกกำแพงเมือง ท่ามกลางขั้วอิทธิพลของชนพื้นเมืองเหล่านั้นมีประกาศต้องสังหารอยู่อันหนึ่ง ขอแค่ใครก็ตามที่มีชื่ออยู่บนประกาศนั้นก็จะต้องกลายเป็นคนที่ตลอดทั้งแดนทุรกันดารหมายสังหารให้ได้!
ชื่อของแม่ทัพทั้งห้ากองใหญ่ต่างก็ติดสิบอันดับแรก
โดยเฉพาะท่านแม่ทัพป๋ายหลินของกองถลกหนังผู้มีแซ่เดียวกับเจ้า อันดับรายชื่อของเขาเป็นรองเพียงแค่คนฟ้า อยู่ในอันดับที่หก!” จ้าวเทียนเจียวลมหายใจถี่กระชั้น บอกสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาทั้งหมด
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็เริ่มเข้าใจกำแพงเมืองแห่งนี้มากขึ้น และก็ยิ่งรู้สึกว่าระดับความอันตรายของที่นี่ทำให้เขากระวนกระวายใจถึงขีดสุด