Skip to content

A Will Eternal 470

บทที่ 470 ใครบอกว่าข้ากลัว

ขณะเดียวกันกับที่หลี่หงหมิงอธิบายเรื่องผู้ฝึกวิญญาณและอาจารย์หลอมวิญญาณ คนชุดเทาที่อยู่บนหลังม้าศึกสีดำก็ยกมือขวาขึ้นชี้มายังกำแพงเมือง จักรพรรดิแห่งวิญญาณใหญ่ยักษ์สิบกว่าตนนั้นจึงร้องคำรามแล้วพุ่งเข้าหากำแพงเมืองทันที ตามติดมาด้วยสัตว์ร้ายที่อยู่รอบด้าน

ไม่ใช่วิญญาณทั้งหมดที่รวมตัวเข้าด้วยกัน ยังคงมีวิญญาณพยาบาทอีกเป็นจำนวนมากที่อยู่กระจัดกระจาย พวกมันห้อมล้อมจักรพรรดิแห่งวิญญาณ ก่อนจะพุ่งกระโจมออกมาพร้อมกัน

และยังมีวิญญาณพิเศษที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีดำทั้งยังมีสายฟ้าล้อมวนซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ รวมไปถึงวิญญาณที่ถืออาวุธไว้ในมือซึ่งพากันบินออกมาทั้งหมด พริบตาเดียวพื้นดินก็สั่นสะเทือนราวกับภูเขาถล่มมหาสมุทรทลาย!

แถมชนพื้นเมืองเหล่านั้นยังกระโดดผลุงจากพื้นพร้อมคำรามกร้าว พุ่งเข้าประหัตประหารกำแพงเมือง มีเพียงคนชุดเทากับผู้ฝึกวิญญาณเจ็ดแปดคนที่อยู่รอบกายเขาเท่านั้นที่อยู่เฉยๆ เอาแต่มองทุกอย่างด้วยสายตาเย็นชา

สงครามคล้ายจะเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เสียงอึกทึกดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี เสียงแห่งการรบราฆ่าฟันดังก้องไปสี่ทิศ จ้าวเทียนเจียวมองภาพสนามรบนี้หูก็มีประโยคของหลี่หงหมิงดังลอยมา แม้ว่าเขาจะเข้าใจแดนทุรกันดาร แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มากเท่าหลี่หงหมิงที่ประสบพบเจอมาด้วยตัวเอง อีกทั้งนักพรตที่อยู่กับสนามรบมานานหลายปีก็รู้อะไรมากยิ่งกว่าเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก สายตาไปตกอยู่บนร่างของพวกผู้ฝึกวิญญาณและคนชุดเทา ที่ต่างไปจากจ้าวเทียนเจียวก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินชื่อของแดนทุรกันดารมานานมากแล้ว เมื่อนำมารวมกับเรื่องทั้งหมดที่เขาเข้าใจ บวกกับคำพูดของหลี่หงหมิงจึงกลายมายเป็นคำอธิบายอีกอย่างหนึ่งอยู่ในใจของเขา

“ในแดนทุรกันดาร ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณพยาบาทหรือชนพื้นเมืองต่างก็ไม่ใช่ผู้บงการแท้จริง ผู้บงการที่แท้จริง…คือผู้ที่ปีนั้นถูกบีบให้ต้องหนีมายังแดนทุรกันดารเพื่อฝึกตนอยู่ที่นี่อย่าง…พวกโจรกบฎ!”

“ตอนนั้นคนพวกนี้น่าจะไม่มีจำนวนมากนัก ทว่าเมื่อผ่านการขยายเผ่าพันธ์มานานหลายปีจึงพัฒนาไปในทางที่ดี อีกทั้งอยู่ในสถานที่ที่แร้นแค้นเช่นนี้พวกเขาก็ได้แต่ดูดเอาพลังของวิญญาณมาฝึกบำเพ็ญตบะ ดังนั้นถึงได้มีคำเรียกขานว่าผู้ฝึกวิญญาณเกิดขึ้น

ส่วนอาจารย์หลอมวิญญาณ…ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือในบรรดาผู้ฝึกวิญญาณ หรือว่าจะเหมือนการหลอมยา หลอมอาวุธวิเศษ?”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอย่างหนัก เฉินเยว่ซานที่อยู่ข้างกันกลับขมวดคิ้วมุ่น

“ในเมื่อผู้ฝึกวิญญาณแข็งแกร่ง อีกทั้งอาจารย์หลอมวิญญาณก็มีน้อยนิด แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้ยอมปรากฏตัว ลำพังเพียงแค่คนเท่านี้ก็กล้ามาท้าทายกำแพงเมืองด้วยงั้นหรือ? พวกเขาไม่กลัวว่าผู้แข็งแกร่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเราจะลงมือสังหารพวกเขาโดยตรงงั้นรึ!”

ปัญหาข้อนี้ไม่เพียงแต่เฉินเยว่ซานเท่านั้นที่สงสัย จ้าวเทียนเจียวเองก็อยากถาม ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินแล้วก็หันมามองหลี่หงหมิงเช่นกัน

หลี่หงหมิงไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ยกมือขวาขึ้น ในมือของเขามีแผ่นหยกแผ่นหนึ่งซึ่งคล้ายจะเอาออกมาเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง ไม่นานในพื้นที่ช่วงหนึ่งของกำแพงเมืองก็มีอาวุธขนาดใหญ่ยักษ์ที่ราวกับคันธนูสิบกว่าคันแผ่คลื่นน่าครั่นคร้ามออกมา ก่อนที่ลำแสงสิบกว่าลำจะห้อคำรามออกไปพร้อมเสียงดังตูมตาม

ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าบิดเบือน จนกระทั่งลอดทะลุเรือนกายของจักรพรรดิแห่งวิญญาณ ทำให้จักรพรรดิแห่งวิญญาณเหล่านั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะพังทลายลง

ลำแสงเหล่านี้ประดุจมีดที่ผ่าลำไผ่ บุกราบทุกอย่างให้พังพินาศเป็นหน้ากลอง ทั้งยังดับทำลายชนพื้นเมืองและวิญญาณที่พิเศษไปอีกไม่น้อย สุดท้ายก็มารวมกันอยู่ที่ข้างกายของอาจารย์หลอมวิญญาณ

เสียงกัมปนาทดังเขย่าคลอนฟ้าดิน ความแข็งแกร่งของลำแสงทั้งสิบกว่าลำนี้มากพอจะดับทำลายนักพรตก่อกำเนิดได้ ทว่าตอนนี้เมื่อกระแทกเข้าใส่อาจารย์หลอมวิญญาณผู้นั้น ร่างของอาจารย์หลอมวิญญาณกับพวกผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่รอบกายเขากลับพร่าเลือน ก่อนจะส่งเสียงเพล้งๆๆ คล้ายกระจกแตก แล้วจึงหายไปในที่สุด

แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้ตาย ทั้งยังแสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าที่ปรากฏกายให้เห็นอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรือนกายแท้จริงของพวกเขา แต่กลับเป็นการสะท้อนร่างด้วยเวทลับอย่างหนึ่ง!

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เฉินเยว่ซานอึ้งงัน ม่านตาของจ้าวเทียนเจียวหดตัว

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ

“เมื่อคราที่ข้าเพิ่งมาถึงกำแพงเมืองก็เคยมีข้อสงสัยเช่นเดียวกันนี้ ตอนนั้นไม่มีใครบอกคำตอบแก่ข้า จนกระทั่งข้าค่อยๆ ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง” หลี่หงหมิงเอ่ยปากเนิบช้า ไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อยราวกับรู้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

“เจ้าเข้าใจแดนทุรกันดารแล้วหรือยัง?” หลี่หงหมิงหันมามองเฉินเยว่ซาน

“ขอบเขตของแดนทุรกันดารกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าขอบเขตของแม่น้ำทงเทียนเสียอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิญญาณพยาบาทของที่นั่นมากมายจนไร้ที่สิ้นสุด สั่งสมผ่านกาลเวลาที่ยาวนานหลายหมื่นปี ชนพื้นเมืองพวกนั้นนับแต่ที่กำเนิดขึ้นมาก็มีพลังจิตติดตัวมาตั้งแต่เกิด หลังจากเติบใหญ่ก็สามารถสูงได้ถึงพันจั้ง กลายร่างมาเป็นยักษ์ที่แท้จริง!”

“ในแดนทุรกันดารมีสัตว์ร้ายอยู่เยอะมาก แค่ได้ยินก็ทำให้คนหวาดผวาพรั่นพรึง และเจ้ารู้หรือไม่ สิ่งที่แดนทุรกันดารต้องเผชิญนั้นไม่ใช่แค่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสำนักเดียว…แต่เป็นทุกสำนักที่อยู่ในเขตแม่น้ำทงเทียน!”

“ส่วนคนฟ้า…ไม่ได้มีเพียงแค่ที่พวกเราเท่านั้น! ครึ่งเทพก็ไม่ใช่แค่พวกเราที่มี!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินคำพูดของหลี่หงหมิงจึงหันไปมองสถานที่ที่พวกอาจารย์หลอมวิญญาณอยู่ก่อนหน้านี้อีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองการเข่นฆ่านอกกำแพงเมืองที่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม เขาก็รู้แล้วว่าข้างนอกช่างน่ากลัวยิ่งนัก

ขณะที่กำลังถอนหายใจเฮือกๆ อยู่ในใจ รู้สึกปลดปลงอนิจจังไปกับการที่ตัวเองต้องมาที่แห่งนี้ จ้าวเทียนเจียวกลับหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

“หากแดนทุรกันดารอ่อนแอ การออกไปฝึกประสบการณ์ข้างนอกจะมีความหมายอะไร ในแดนทุรกันดารซุกซ่อนพยัคฆ์และมังกรเอาไว้ สำหรับข้าผู้แซ่จ้าวแล้วนั่นต่างหากถึงจะมีประโยชน์ต่อการขัดเกลาตัวเอง! อีกอย่างถึงแม้ว่าแดนทุรกันดารจะแข็งแกร่ง มีคนฟ้า มีครึ่งเทพ ทว่าพวกเรามีเทียนจุน!

เทียนจุนอยู่ แดนทุรกันดารก็เป็นได้แค่แดนทุรกันดารไปตลอดกาล ต้องถูกสกัดกั้นให้อยู่นอกกำแพงเมืองตลอดไป อย่าได้หวังว่าจะแปดเปื้อนเข้ามาในมหาสมุทรทงเทียนได้!” หลังจากที่เอ่ยจบ ปณิธานแห่งการสู้รบบนร่างของจ้าวเทียนเจียวก็พลุ่งพล่านดุเดือดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้หลี่หงหมิงก็หัวเราะเสียงดังเช่นกัน

“ถูกต้อง พวกเรามีเทียนจุน แดนทุรกันดารก็ได้แต่ถูกกำหนดให้โดนสกัดกั้นไว้ข้างนอก หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ล้วนเป็นเช่นนี้!” เสียงหัวเราะของหลี่หงหมิงดังก้อง ตอนที่มองมายังจ้าวเทียนเจียวดวงตาของเขาก็เผยความเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง

ขณะที่คนทั้งสองสบตากันและหัวเราะเสียงดังลั่น จ้าวเทียนเจียวก็ผินหน้ามามองป๋ายเสี่ยวฉุน และมองออกถึงความตึงเครียดของเขา

“เสี่ยวฉุน ได้เห็นวิญญาณมากมายขนาดนี้ ได้ยินว่าแดนทุรกันดารทรงพลังเพียงนี้ เจ้ากลัวแล้วอย่างนั้นหรือ? การฝึกบำเพ็ญตนเดิมทีก็เป็นเรื่องที่ฝืนชะตาฟ้าลิขิตอยู่แล้ว พวกเราที่เป็นนักพรตควรลงสนามแห่งการฆ่าฟัน เพื่อนำพาความสำเร็จมาให้แก่มรรคายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดของตัวเรา!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินประโยคนี้ เห็นท่าทางของหลี่หงหมิงและจ้าวเทียนเจียวที่ต่างก็มีมาดของวีรบุรุษ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะแสดงความขี้ขลาดไม่ได้ ดังนั้นจึงถลึงตาใส่จ้าวเทียนเจียว ก่อนจะยืดอกตั้งแล้วตบอกตัวเองอย่างแรงเสียงดังปึงๆ

“ข้าน่ะรึกลัว?”

“ใครบอกว่าข้ากลัว แค่วิญญาณกระจอกๆ พวกนี้ หากข้าป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะดับทำลายพวกมันก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก!” ระหว่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดก็มองไปยังกระแสวิญญาณและพวกจักรพรรดิแห่งวิญญาณที่ห้อทะยานอยู่นอกกำแพงเมืองด้วยพลานุภาพคล้ายจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร เพื่อทำให้คำพูดของตัวเองยิ่งน่าเชื่อถือ เพื่อให้คนอื่นๆ รู้ว่าเขาป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางกลัวแน่นอน ดังนั้นจึงตบลงไปบนถุงเก็บของหนึ่งครั้งแล้วหยิบเอายารวมวิญญาณเม็ดหนึ่งออกมา

ถือยาไว้ในมือ มองไปนอกกำแพงเมืองด้วยสายตาที่ดูหมิ่นอย่างมาก ก่อนจะขว้างยานั่นออกไป

“จงรวม!”

หลังจากที่ขว้างยาออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยกมือขวาขึ้นทำมุทราแล้วชี้ไปที่ยา

ยาเม็ดนั้นบินออกจากกำแพงเมืองไปตกอยู่ท่ามกลางกระแสวิญญาณที่อยู่ข้างล่าง ทว่ายังไม่ทันถึงพื้น เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนชี้มือไป ยาเม็ดนั้นก็ระเบิดตัวออกดังตูม!

วินาทีที่ยาเม็ดนั้นระเบิดออกก็มีแรงดึงดูดที่น่าตะลึงระลอกหนึ่งแผ่ออกมา แรงดึงดูดที่มากมหาศาลนี้แผ่กระจายออกไปรอบด้านในพริบตาเดียวราวกับกลายมาเป็นหลุมดำที่ปกคลุมพื้นที่หลายร้อยจั้ง

ในขอบเขตหลายร้อยจั้งนี้ พวกวิญญาณพยาบาทที่กำลังร้องคำรามกระโจนเข้าใส่กำแพงเมือง เสียงคำรามของพวกมันกลับปร่าแปร่งเพราะถูกบิดเบือน นักพรตของกองถลกหนังทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันเบิกตากว้างมองภาพเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาเหลือเชื่อ

เห็นเพียงว่าวิญญาณพยาบาทที่อยู่ในรัศมีหลายร้อยจั้งต่างก็ห้อตรงเข้าหาจุดที่ยาระเบิดออกอย่างที่มิอาจควบคุมร่างตัวเองได้ ซึ่งวิญญาณพยาบาทหลายตนยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มารวมอยู่ด้วยกันเสียแล้ว พริบตาเดียวในรัศมีหลายร้อยจั้งนั้นก็เหลือเพียงความ…ว่างเปล่า!

เมื่อมองไกลๆ ท่ามกลางกระแสวิญญาณที่แน่นขนัดนี้กลับมีพื้นที่หลายร้อยจั้งที่โล่งเตียนสะดุดตามากเป็นพิเศษ ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันมาจับตามอง

พวกเขาแต่ละคนเบิกตากว้าง ทั้งยังมองเห็นว่าพอวิญญาณพยาบาทพวกนั้นถูกดูดเข้าไปแล้วก็รวมตัวกันกลายมาเป็นลูกวิญญาณขนาดประมาณกะโหลกศีรษะที่ร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ทั้งยังมองเห็นด้วยว่าในนั้นมีวิญญาณพยาบาทนับหมื่นตนถูกบดทับเบียดเสียดกันอยู่ข้างใน พวกมันกำลังร้องคำรามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าว พยายามดิ้นรน แต่กลับไม่เป็นผล จะอย่างไรก็มิอาจหนีออกมาได้

ภาพนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นักพรตที่อยู่บนกำแพงเมืองอึ้งค้าง แม้แต่พวกชนพื้นเมืองที่อยู่บนสนามรบก็ยังตะลึงงัน สำลักลมหายใจ อีกทั้งวิญญาณพยาบาทตนอื่นๆ รอบกายพวกเขาก็ยังพากันหยุดชะงักตามสัญชาตญาณไปด้วย

ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งวิญญาณที่เรือนกายใหญ่โตก็ยังชะงักงัน…

“นี่…นี่…” สมองของหลี่หงหมิงเกิดเสียงดังอึงอล ในสายตาของเขาการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่การกระทำที่ไม่ยอมให้ตัวเองเสียหน้าเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับทำให้เขามองตาค้างตะลึงลานไปอย่างสิ้นเชิง

จ้าวเทียนเจียวเองก็ตาเหลือกถลน เหม่อมองพื้นที่ว่างเปล่าหลายร้อยจั้งด้วยความงงงัน มองเห็นการดิ้นรนของวิญญาณพยาบาทนับหมื่นนั้นเขาก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะหันขวับกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงเล็กน้อย

เฉินเยว่ซานและผู้ติดตามคนอื่นๆ ก็ใจสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะพวกเฉินเยว่ซานที่อดนึกถึงภาพการประลองบนรุ้งสีน้ำเงินของป๋ายเสี่ยวฉุนในวันนั้นไม่ได้

“สวรรค์…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“เมื่อครู่นี้…เมื่อครู่นี้เขาโยนอาวุธล้ำค่าอะไรออกไป!”

“ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีสิ่งใดที่เล่นงานวิญญาณพยาบาทได้อย่างน่าตะลึงถึงระดับนี้!!”

“เขาเป็นใคร!!” หลังความเงียบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผ่านไป นักพรตกองถลกหนังที่อยู่บนกำแพงเมืองช่วงนั้นก็พากันร้องฮือฮาขึ้นมา หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน นัยน์ตาฉายแววตรวจสอบ ทั้งยังมากด้วยความเหลือเชื่อ

เห็นว่ายาที่ตัวเองขว้างไปแบบส่งเดชไม่เพียงแต่ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังชักนำให้เกิดความครึกโครมจากคนรอบด้านก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ฮึกเหิมขึ้นมาทันที เลยถือโอกาสหยิบเอายารวมวิญญาณออกมาอีกกำใหญ่อย่างคนใจกว้าง ก่อนจะคำรามหนึ่งครั้งแล้วขว้างออกไปราวกับนางฟ้าโปรยดอกไม้พร้อมทำมุทราไปด้วย

ทันใดนั้นบนสมรภูมิก็มีเสียงตูมตามดังไม่ขาดสาย และท่ามกลางเสียงหวีดร้องโหยไห้ของวิญญาณพยาบาทจำนวนมาก

ไม่นานพื้นที่หลายแห่งก็เปลี่ยนมาเป็นว่างเปล่า…แม้แต่จักรพรรดิแห่งวิญญาณเองก็ยังถูกยาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขว้างมาโดนร่างดูดเอาไปจนเกลี้ยง…

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทุกคนเงียบงันไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะส่งเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ตามมาอย่างรวดเร็ว

เห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้ดีเยี่ยมขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เบิกบานทันใด เขาไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เชิดคางขึ้นด้วยความคึกคักพร้อมสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งที

“ใครบอกว่าข้ากลัว? ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้วก็ทำให้วิญญาณพวกนี้สิ้นราบพนาสูร! ข้าน่ะหรือจะกลัวพวกมัน?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version