บทที่ 474 หลอมยาจะเกิดเรื่องอะไรได้
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มตามไม่ทันจังหวะคำพูดของอีกฝ่าย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าป๋ายหลินมาพูดเรื่องพวกนี้ให้ตนฟังทำไม จึงได้แต่รับฟังเงียบๆ โดยไม่เอ่ยคำใด
“กองทัพใหญ่ทั้งห้า ทุกกองจะต้องมีแม่ทัพหนึ่งคน มีผู้บังคับกองหมื่นสิบคน ผู้บังคับกองหมื่นทุกคนจะมีผู้บังคับกองพันอีกสิบคนอยู่ใต้สังกัด และใช้วิธีการเช่นนี้แบ่งออกไปเรื่อยๆ เป็นผู้บังคับกองร้อย รวมไปถึงผู้บังคับกองสิบ!”
“ข้าผู้แซ่ป๋ายก็คือแม่ทัพของกองถลกหนังรุ่นนี้”
ป๋ายหลินมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาที่คมกริบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“ข้าผู้แซ่ป๋ายพูดไม่เก่ง เป็นคนพูดจาโผงผาง หากเอ่ยปากเมื่อใดจะไม่ยอมให้ใครคัดค้าน นิสัยแปลกประหลาด บางคนบอกว่าข้าอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายผิดปกติ บางคนบอกว่าข้าชอบการเข่นฆ่ากระหายเลือด”
“และยังมีบางคนบอกว่าวันหน้าข้าอาจไม่ได้เป็นคนฟ้า ทั้งยังมีคนบอกว่าข้ามีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศ ฉลาดปราดเปรื่องเกินผู้ใด แถมยังเชี่ยวชาญการรบ ถนัดการวางแผน ถ้อยคำเช่นนี้มีให้ได้ยินมากมาย”
“ทว่าคำพูดพวกนี้ข้าล้วนไม่ชอบและไม่ยินดีจะรับฟัง ประโยคที่ข้าชื่นชอบอย่างแท้จริงมีเพียงแค่ประโยคเดียว และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนอื่นจะป่าวประกาศกันออกไป…เจ้ารู้ไหมว่าคำพูดนั้นคืออะไร?” ป๋ายหลินพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังคำพูดของป๋ายหลินก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนประหลาดอย่างที่บอกจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่การพูดการจานี่ก็เหมือนว่าจะไม่มีหลักการอะไรสักอย่าง คิดจะพูดอะไรก็พูดไปเรื่อย ประโยคหน้าหลังไม่สอดคล้องกันเท่าไหร่นัก
ดังนั้นเขาถึงได้กะพริบตาปริบๆ ด้วยความเงียบงัน ทว่าป๋ายหลินกลับขมวดคิ้วฉับ มองมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าชอบฟังคำพูดแบบใด?”
ป๋ายหลินจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง มีท่าทางว่าต้องให้เขาตอบให้ได้
“คือว่า…ข้าไม่รู้หรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดพร้อมกะพริบตาปริบๆ ยิ่งรู้สึกว่า
ป๋ายหลินผู้นี้ไม่ปกติเข้าไปใหญ่
แล้วอยู่ๆ สายตาของป๋ายหลินก็เปลี่ยนมาเป็นเย็นเยียบ
“ข้าผู้แซ่ป๋ายไม่ชอบให้คนอื่นตอบส่งๆ ใส่ข้า!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบจะด่าออกมาในใจอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือว่าตำแหน่งของอีกฝ่ายล้วนสูงกว่าเขามากมายนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจ ได้แต่ทำท่าคิดหนัก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็แสร้งทำเป็นเงยหน้าขึ้นกะทันหัน สายตาเปล่งแสงวาบ ก่อนจะตบข้าตัวเองป้าบใหญ่
“ข้ารู้แล้ว ท่านผู้อาวุโสต้องการให้คนรุ่นหลังจดจำ ต้องการให้พวกเขารู้ว่าในกำแพงเมืองแห่งนี้เคยมีนักพรตคนหนึ่งนามว่าป๋ายหลิน ผู้ซึ่งเคยพิชิตฟ้าดิน ปกปักษ์รักษากำแพงเมือง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าคำพูดประจบประโยคนี้พูดได้อย่างไร้รอยโหว่ ขณะที่ในใจกำลังลำพองใจว่าตัวเองโต้ตอบได้อย่างฉับไว ป๋ายหลินกลับสีหน้ามืดทะมึนยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าผิดแล้ว!” ป๋ายหลินสูดลมหายใจเข้าลึก สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ดวงตาฉายแสงคมกล้า
“ที่ข้าชอบฟังก็คือทุกคนล้วนพูดว่าข้าป๋ายหลินมีท่านปู่ที่ดี เพราะว่าเมื่ออยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ท่านปู่ของข้าก็คือบุคคลที่เป็นรองแค่บุรพาจารย์ครึ่งเทพเท่านั้น…เขาก็คือผู้อาวุโสใหญ่คนฟ้า!”
“นี่หมายความว่าอะไร นี่หมายความว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่มีใครกล้าหาเรื่องข้า และข้าก็แทบจะหาเรื่องใครก็ได้ นี่หมายความว่าในกำแพงเมืองแห่งนี้ข้าจะทำตัวบ้าอำนาจแค่ไหนก็ได้! และนี่ก็ยิ่งหมายความว่าเบื้องหลังของข้าในกองถลกหนังมีคนหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่จนน่าตะลึง ขณะเดียวกันก็หมายความว่าวันใดก็ตามที่ข้ายังคงเป็นแม่ทัพกองถลกหนัง พวกเราต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น หากไม่มีข้าก็สามารถไปเอามาจากสำนักได้!
สรุปแล้วสิ่งที่ข้าต้องการพูดก็คือ เจ้าติดตามข้าอยู่ในกองถลกหนังแห่งนี้ นอกจากผู้อาวุโสเฉินที่มีขอบเขตคนฟ้าแล้ว ข้าใหญ่ที่สุด!” ป๋ายหลินเอ่ยอย่างโอหัง กล่าวจบเขาก็หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
“เจ้าเข้าใจหรือยัง!”
“เอ่อ…เข้าใจแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเหม่อไปที่ป๋ายหลิน ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร นี่เขากำลังโอ้อวดภูมิหลังของตัวเองชัดๆ …หากว่ากันในบางระดับแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากงานอดิเรกอย่างการหาความมีหน้ามีตาที่เขาชื่นชอบเท่าไหร่นัก…
ส่วนผู้อาวุโสเฉินที่อีกฝ่ายพูดถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักดี นั่นก็คือบิดาของเฉินเยว่ซาน คือผู้เฒ่าสามตาคนนั้น
ป๋ายหลินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ผู้เฒ่าสองคนที่ติดตามมาด้านหลังเขามีสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเคยชินกับนิสัยและคำพูดของป๋ายหลินมานานแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าข้าชอบฟังคำใด และก็เข้าใจแล้วว่าเมื่ออยู่ที่นี่หากเจ้าต้องการอะไรก็จะได้สิ่งนั้น ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ยังจำเป็นต้องรู้อีกว่าข้าต้องการอะไร!”
“ที่ข้าป๋ายหลินต้องการก็คือคุณความชอบจากการออกรบ!!”
ดวงตาของป๋ายหลินเผยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง เขาจ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งพร้อมเอ่ยเน้นย้ำอย่างชัดเจนทีละคำ
“ที่ข้าต้องการคือคุณความชอบจากการออกรบ สังหารชนพื้นเมืองให้มาก รวบรวมวิญญาณพยาบาทให้มาก และทำสงครามให้ชนะมากครั้ง!”
“ดังนั้นข้าจึงเกณฑ์ให้เจ้าเข้ามาอยู่ในกองถลกหนักเป็นเวลาสิบปี เจ้าจงตั้งใจหลอมยาให้ดี หลอมยาที่เจ้าเอาออกมาใช้ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองก่อนหน้านี้ ขอแค่เจ้าทำสิ่งนี้ได้ ในกำแพงเมืองแห่งนี้หากเจ้ามีเรื่องอะไร ข้าล้วนแก้ไขให้เจ้าได้ ต่อให้อยู่ในสำนักเองก็ตาม หากเจ้ามีเรื่อง ข้าก็ยังจัดการให้เจ้าได้!”
“ยกตัวอย่างเช่นให้สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเพิ่มจำนวนนักพรตสำนักสยบธารของพวกเจ้าที่จะเดินทางมาฝึกบำเพ็ญตบะในวันข้างหน้า?”
“หรือยกตัวอย่างเช่นฐานะตัวประกันของเจ้า แม้กระทั่งวิชาที่เจ้าหมายตาไว้ ข้าก็สามารถจัดการให้เจ้าได้!”
“หากข้าทำไม่ได้ก็จะให้ท่านปู่ของข้าทำให้ แต่สิ่งแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องหามาให้ข้าก็คือคุณความชอบในการต่อสู้!”
“ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าต้องหลอมยาประเภทนั้นออกมา และต้องให้ได้ปริมาณมากด้วย ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี และอานุภาพของมันก็ให้เพิ่มมากขึ้นอีกนิด!” ป๋ายหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
ลูกผู้ลากมากดีนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือลูกผู้ลากมากดีที่มีฝีมือ ทว่าลูกผู้ลากมากดีที่ทั้งมีฝีมือและมีปณิธานต่างหากที่น่ากลัวยิ่งกว่า…
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองป๋ายหลิน ในใจเกิดความเข้าใจอย่างลึกล้ำ รู้สึกว่าพวกเขาต่างก็แซ่ป๋ายเหมือนกัน เหตุใดอีกฝ่ายถึงมีภูมิหลังแข็งแกร่งขนาดนั้น ทว่าตัวเองกลับไม่มีใครให้พึ่งพาเอาเสียเลย หัวใจเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เวลานี้พอได้ยินความต้องการของอีกฝ่าย อันที่จริงเรื่องนี้อยู่ในการคาดการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว แต่พอนึกถึงเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นตอนตัวเองหลอมยา
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกตัวเองจำเป็นต้องแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า
มิฉะนั้นหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา จากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้สัมผัสกับป๋ายหลินมาสองครั้ง เขารู้สึกว่าเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะเดือดดาลอย่างหนัก
เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็ไม่ใช่สำนักสยบธาร ในสำนักสยบธารป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถทำตามอำเภอใจของตัวเอง และที่นี่ก็ไม่ใช่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เพราะไม่ว่าอย่างไรที่นั่นก็ยังมีตู้หลิงเฟย ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตัวเองก็น่าจะไม่เป็นอะไร
ทว่าเมื่อตอนนี้ต้องมาอยู่กำแพงเมืองที่เป็นแนวหน้า พอได้เห็นการเข่นฆ่ามากมาย สัมผัสได้ถึงความดุร้ายของทุกคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เชื่อว่าหากตนก่อเรื่องเมื่อใด เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตน้อยๆ นี่ไว้ได้ นอกเสียจากว่าตนจะหาโอกาสหลบหนีออกไปจากกำแพงเมือง…
พอนึกมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปยังป๋ายหลินด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน
“ท่านขุนพล คิดจะให้ข้าหลอมยารวมวิญญาณในปริมาณมากนั้น เรื่องนี้ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ยานี้ข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเอง ขั้นตอนการหลอมก็ไม่ได้มั่นคงมากนัก อีกทั้งยังยากที่จะมอบให้คนอื่นหลอมแทน
และหากท่านต้องการยารวมวิญญาณที่มีอานุภาพร้ายแรงมากกว่าเดิม ข้ายังจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาและการหลอมที่ค่อนข้างนาน ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ทว่าแต่เล็กจนโต หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ข้าหลอมยาก็มักจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสมอ…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูด สำหรับเรื่องพวกนี้เขาไม่อยากจะปิดบังจึงพูดให้อีกฝ่ายฟังตามความเป็นจริง
“ไม่เป็นไร หลอมยาจะเกิดเรื่องอะไรได้” ป๋ายหลินโบกมือด้วยท่าทางที่ไม่เห็นด้วย
“ข้าพูดจริงๆ นะ ท่านขุนพล ตอนที่ข้าอยู่สำนักธาราเทพ เพราะหลอมยาเลยทำให้มีฝนกรดตกลงมา อาภรณ์ของคนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนหายไปเกลี้ยง…และยังมีสัตว์เล็กๆ น้อยๆ จำนวนมากที่เกิดอาการพิลึกพิลั่น ท่านจินตนาการไม่ออกแน่นอนว่าน่ากลัวขนาดไหน
อีกอย่างยังเคยเกิดฟ้าผ่า มันผ่าถ้ำสถิตของข้าจนพังย่อยยับ…หรือแม้แต่หุบเขาหมื่นอสรพิษด้านหลังสำนักธาราเทพก็ยังเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่เพราะการหลอมยาของข้า” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเล่าอย่างระมัดระวัง ป๋ายหลินและผู้เฒ่าสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ใจเต้นรัว
“ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่เป็นไร!” ป๋ายหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมืออีกครั้ง
“ข้ายังพูดไม่จบ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดต่อด้วยความรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
“คือว่า…ตอนหลังข้าไปอยู่ที่สำนักธาราโลหิต พอไปหลอมยาที่นั่น เตาหลอมยากลับระเบิด…และยังมีควันที่ลอยออกมาตอนข้าหลอมยาซึ่งทำให้คนทั้งภูเขาท้องเสียไม่หยุดจนแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรง…นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาหลอนประสาทเลย มันทำให้คนเกิดประสาทหลอนจนเกิดเรื่องร้ายๆ มากมาย อ้อ ใช่แล้ว ข้ายังเคยเกือบถล่มภูเขาลูกหนึ่งให้พังราบเป็นหน้ากลองด้วย…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าสองคนที่อยู่ด้านหลังป๋ายหลินที่ถึงแม้จะมีตบะก่อกำเนิดทั้งยังมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับกองหมื่น พอได้ยินอย่างนี้ก็ยังอกสั่นขวัญแขวน ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนบรรยายละเอียดมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริดอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ พากันรู้สึกว่าทำไมฟังไปฟังมา ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้กลับดูเหมือนตัวหายนะเสียมากกว่า…
ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขามองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้โกหก…และก็มองออกว่านี่เป็นการเตือนพวกเขาให้รู้ถึงผลลัพธ์ของการหลอมยาไว้ล่วงหน้า
ป๋ายหลินก็ฟังจนหนังตากระตุกเช่นกัน ครั้งนี้เขาลังเลอยู่นานมาก ทว่าสุดท้ายก็ยังโบกมือ
“ไม่เป็นไร เจ้ารับผิดชอบแค่การหลอมยาก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ มอบให้ข้าจัดการเอง เจ้าต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย ส่วนเรื่องปัญหาในการหลอมยา ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินมาถึงตรงนี้ก็คลายใจลงได้ ครุ่นคิดว่าอย่างไรซะตนก็บอกความจริงไปหมดแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หากภายหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นย่อมไม่เกี่ยวกับตนอีก
“หลายปีมานี้คนที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้ สุดท้ายก็ต้องเสียใจกันแทบทุกคน…”
ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ พอย้อนนึกถึงตลอดชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เขาเองก็ปลงอนิจจังมากเช่นกัน
เมื่อเหล่ตามองป๋ายหลินหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายบอกว่าหากต้องการอะไรก็จะได้สิ่งนั้น เขาก็เลยเอ่ยความต้องการออกมาตามตรงโดยไม่คิดเกรงใจอีก
“ข้าต้องการเตาหลอมยาชั้นยอดหนึ่งร้อยเตา! ทุกเตาต้องหลอมยาได้สำเร็จอย่างน้อยสามสิบครั้งขึ้นไป และต้องมีกลิ่นหอมของยา ระดับก็ต้องสูง ให้ดีที่สุดคือต้องเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
มิฉะนั้นหากข้าต้องทำความคุ้นชินกับพวกมันใหม่ทุกครั้งจะเสียเวลาอย่างมาก ซึ่งนั่นเท่ากับเสียคุณความชอบไปด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนจงใจเพิ่มประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ
