บทที่ 480 เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองสิบ
พื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้กว้างมาก รอบด้านอบอวลไปด้วยควันดำ และในควันดำเหล่านั้นก็คล้ายจะมีวิญญาณพยาบาทอยู่ไม่น้อยซึ่งกำลังร้องคำรามเสียงแหบเสียดแทงแก้วหู เสียงที่ดังสะท้อนออกมาส่งผลกระทบต่อหมอกควัน ทำให้ควันดำกลิ้งซัดตลบอบอวลแล้วแผ่กระจายออกไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นเพียงแค่รอบนอกเท่านั้น ด้านในกลุ่มหมอก แปดทิศของพื้นที่ที่มีค่ายกลปกคลุมมีกระโจมขาดวิ่นผุพังจำนวนมากตั้งวางเอาไว้ กระโจมเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนทำมาจากหนังของสัตว์ขนาดยักษ์ เมื่อมองออกไปก็เห็นได้ว่ามีมากหลายหมื่นหลัง ตั้งวางเรียงซ้อนกันเป็นตับ
ในกระโจมทุกหลังจะต้องมียักษ์ชนพื้นเมืองหลายสิบคนอยู่อาศัย พวกเขาสวมอาภรณ์หนังสัตว์เรียบง่าย บางคนกำลังนอนหลับกรนครอกๆ บางคนออกจากกระโจมมาเดินอยู่ข้างนอก บางครั้งที่หันมามองตรงจุดศูนย์กลางก็จะเผยความเคารพยำเกรงออกมา และหากเจอกับเพื่อนร่วมชนเผ่า เวลาที่หันไปมองอีกฝ่ายก็จะเผยปณิธานแห่งการสู้รบคล้ายต้องการต่อสู้ ราวกับว่าแต่ละคนต่างก็มีนิสัยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด ทว่าต่างฝ่ายต่างพยายามข่มกลั้นเอาไว้ แต่หากข่มใจไม่อยู่จริงๆ จนถึงขั้นลงไม้ลงมือต่อกัน ทุกครั้งที่เพิ่งจะลงมือก็จะต้องมีพลังจิตของหัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่ากวาดมามอง ก่อนจะตวาดตำหนิให้แยกย้ายจากกัน
มองออกว่าสถานที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสิบเขต ซึ่งทั้งสิบเขตต่างก็อยู่กันคนละเผ่า และถึงแม้รูปร่างของยักษ์พวกนั้นจะคล้ายคลึงกันมาก ทว่าหากดูจากผิวพรรณและสีของลูกตาดำก็จะเห็นได้ถึงความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ
นอกจากยักษ์พวกนี้แล้ว นอกกระโจมหลายหมื่นหลังยังมีสัตว์ร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก สัตว์ร้ายเหล่านี้ต่างก็ถูกพันธนาการด้วยโซ่เส้นหนาใหญ่ บางครั้งที่พวกมันร้องคำราม เสียงนั้นก็ดังครืนครั่นราวอสนีบาต
และด้านในของกระโจมหลายหมื่นหลังนี้ พื้นที่ที่อยู่กลางสุดถูกล้อมให้เป็นวงแหวน มีการจัดวางหินกลมๆ สีดำขนาดประมาณสามจั้งนับพันก้อน หินเหล่านี้ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน บริเวณรอบด้านของหินทุกก้อนคล้ายจะมีพลานุภาพสยบแผ่ออกมาทำให้ความว่างเปล่าบิดเบือน แม้แต่รัศมีหมื่นจั้งของพื้นที่แห่งนี้ก็ยังคล้ายถูกตัดขาดจากโลกภายนอก แปลกประหลาดชวนพิศวงอย่างยิ่ง
หินกลมสีดำเหล่านี้ไม่ได้วางไว้เพื่อประดับเท่านั้น!
เพราะบางครั้งจะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่หินกลมสีดำหลายก้อนมีแสงพริบพราวก็จะมีนักพรตเดินเข้าๆ ออกๆ จากหินเหล่านั้น!
ถึงแม้นักพรตเหล่านี้จะไม่ได้สวมอาภรณ์หรูหรา ทว่าแตกต่างไปจากพวกยักษ์อย่างชัดเจน แถมแต่ละคนก็หน้าตาหล่อเหลาสวยงาม ร่างกายสะอาดสะอ้านหมดจด
เมื่อมองอย่างละเอียดจึงเห็นได้ว่าพวกเขาคือผู้ฝึกวิญญาณ…แห่งแดนทุรกันดาร!
บางครั้งที่พวกผู้ฝึกวิญญาณเดินออกจากจุดศูนย์กลางผ่านไปตามกระโจมที่พักของพวกยักษ์ ยักษ์ชนพื้นเมืองที่มองเห็นพวกเขาก็จะรีบคุกเข่าคำนับด้วยความยำเกรงอย่างถึงที่สุด
ตลอดทั้งแดนทุรกันดาร ผู้ฝึกวิญญาณถือเป็นบุคคลในระดับสูงเฉกเช่นผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง พวกเขาสามารถเรียกใช้ชนพื้นเมือง ควบคุมมหาสมุทรดวงวิญญาณ กำราบทุกสรรพสิ่งทั่วแปดทิศ
และตรงกลางของหินกลมสีดำนับพันก้อนนี้…ก็มีแท่นบูชาสีดำแท่นหนึ่ง…ลอยอยู่กลางอากาศ!
“บัดซบ!!” เสียงคำรามเดือดดาลดังออกมาจากแท่นบูชา ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้นมีสีหน้าน่าเกลียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไฟโทสะ
ภาพสะท้อนจากม่านน้ำที่เขามองเห็นคือสภาพการต่อสู้นอกกำแพงเมืองรวมไปถึงพื้นที่ว่างเปล่านับพันจั้งที่ราบเป็นหน้ากลองเพราะการระเบิดของเตาหลอมยาทั้งสิบสามใบ
เขายิ่งมองเห็นความตกใจระคนหวาดกลัวของพวกชนพื้นเมืองที่อยู่บนสนามรบ ทั้งยังมีสีหน้ากริ่งเกรงหวาดผวาของพวกวิญญาณพยาบาทในมหาสมุทรดวงวิญญาณนั่นอีก…
“เตาหลอมยา…” นัยน์ตาผู้เฒ่าฉายความเหี้ยมโหด ตอนนี้เขาได้เห็นเตาหลอมยาของกำแพงเมืองเป็นครั้งที่สองแล้ว ด้วยประสบการณ์ของเขาแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าการระเบิดของเตาหลอมยานั้นยังเป็นแค่เรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือฤทธิ์ยาที่อยู่ในเตานั่นต่างหาก!
ไม่รู้ว่านั่นคือยาอะไรถึงได้กำราบวิญญาณพยาบาทได้ถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อเพียงนี้
“มีวิธีการเช่นนี้อยู่จะทำตามแผนการของท่านผู้อาวุโสใหญ่ให้สำเร็จโดยการ…ล่อเฉินเห้อเทียนออกมาฆ่านอกกำแพงเมืองได้อย่างไร…” ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว ขณะที่กวาดสายตาไปรอบด้านเขาก็มั่นใจมากว่าอีกไม่นานเท่าไหร่นัก พวกหัวหน้าเผ่าของชนพื้นเมืองเหล่านั้นจะต้องรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามรบแนวหน้าอย่างแน่นอน
แล้วก็ต้องรู้ถึงความน่ากลัวของเตาหลอมยานั่นด้วย เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่มีมหาสมุทรดวงวิญญาณคอยช่วยเหลือ คิดจะให้พวกชนพื้นเมืองดำเนินการโจมตีต่อไป ความยากคงเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
เวลาเดียวกันนั้นบนสนามรบนอกกำแพงเมือง หลังจากการปรากฏขึ้นของพื้นที่ว่างเปล่านับหมื่นจั้ง สมรภูมิรบก็เกิดความเงียบสงัด นักพรตของห้ากองทัพที่อยู่บนกำแพงเมืองพากันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่ละคนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
“นี่…นี่คือเตาหลอมยาที่ได้เห็นคราวที่แล้วน่ะหรือ?”
“สวรรค์ อานุภาพน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าคราวก่อนเสียอีก การระเบิดของเตาหลอมยาสิบสามใบ สร้างความสะเทือนขวัญให้กับมหาสมุทรดวงวิญญาณได้น่าตกใจถึงเพียงนี้!!”
“ดูเหมือนว่าวิญญาณพยาบาทที่นับไม่หวาดไม่ไหวพวกนั้นจะ…เริ่มหวาดกลัวกันแล้ว!!”
เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่ โดยเฉพาะพวกนักพรตของห้ากองทัพที่มีสหายตายไปหรือไม่ตัวเองก็เกือบตายอยู่ในสนามรบ เวลานี้ในใจของพวกเขาเกิดอารมณ์ฮึกเหิมรุนแรงพุ่งปะทุขึ้นมา พากันหันขวับไปมองที่ตั้งของกองถลกหนังด้วยดวงตาฉายแสงสดใสอย่างถึงที่สุด
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นชนพื้นเมืองหรือวิญญาณพยาบาทต่างก็เคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าเดิม พวกเขาคอยหันมองไปที่ท้องฟ้าเป็นระยะเหมือนกลัวว่าจะได้เห็นเตาหลอมยาแดงโร่ร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง
ป๋ายหลินฮึกเหิมถึงขีดสุด เขาถอยกลับไปด้วยความคึกคัก ก่อนจะทะยานไปที่หอกงเจี่ย หอกงเจี่ยในเวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตามองเตาหลอมที่ไม่มีรอยปริแตกด้วยอาการเหม่อลอย ความคิดส่วนใหญ่ของเขาล้วนอยู่ที่นอกกำแพงเมือง
เพียงแต่ว่าหากไม่ได้มีเหตุการณ์ที่น่าตกใจอย่างแม่น้ำอเวจีนอกกำแพงเมืองถูกเขย่าคลอนเหมือนเมื่อคราวก่อน เนื่องด้วยมีค่ายกลกักเสียงดำรงอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่ได้ยินเสียงอึกทึกและเสียงรบราฆ่าฟันจากนอกกำแพงเมืองเท่าใดนัก
ไม่นานร่างของป๋ายหลินก็คำรามอู้มาจากทิศไกล คนยังไม่ทันมาถึง แต่เสียงหัวเราะกลับดังสะท้อนมาให้ได้ยินก่อนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงหัวเราะนี้ใจก็สงบสุขทันที เขารีบวางมาดของยอดฝีมือ เอามือไพล่หลัง บุคลิกเหมือนเซียนผู้โดดเด่นเกินผู้ใดจะทัดเทียม
“น้องป๋าย เจ้าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลย!” ป๋ายหลินมาพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น หลังจากหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ในสีหน้าของเขายังหลงเหลือความฮึกเหิม
ก่อนจะมือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นป้ายสีม่วงที่สลักภาพถลกหนังก็ลอยดิ่งเข้ามาป๋ายเสี่ยวฉุน
“ห้ากองทัพของศาลาเลือดเหล็กเราแบ่งแยกรางวัลและบทลงโทษชัดเจน
ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าสร้างความชอบด้วยวิถีโอสถ คุณความดีครั้งนี้มากพอจะให้เจ้ากลายมาเป็นผู้บังคับกองสิบ นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้บังคับกองสิบของกองถลกหนัง!”
หลังจากที่ป๋ายหลินกล่าวจบ เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาอยู่ใหม่จึงไม่ค่อยเข้าใจในตำแหน่งผู้บังคับกองสิบนี่เท่าไหร่นัก ทว่าชายหนุ่มสี่คนที่เฝ้าอยู่ตรงนี้กลับตัวสั่นเยือก ตอนที่มองมายังป้ายสีม่วงนั้นดวงตาก็เผยความปรารถนาและความอิจฉาให้เห็น
พวกเขาเข้ามาอยู่ในกองถลกหนังหลายปีแล้ว ยังอยู่ห่างจากการได้เป็นผู้บังคับกองสิบอีกเล็กน้อย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานก็ได้กลายเป็นผู้บังคับกองสิบแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนพวกเขาย่อมไม่ยอมแน่นอน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นความน่ากลัวของเตาหลอมยาระเบิดกับตาของตัวเอง พวกเขาสี่คนก็ได้แต่มองหน้ากัน จำต้องยอมให้
“ป้ายนี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของสถานะเจ้าในกองถลกหนัง ยังบันทึกความชอบทางทหารของเจ้าเอาไว้ด้วย ความดีความชอบในการสังหารศัตรูหลังการระเบิดของเตาหลอมยาทุกเตาล้วนถูกบันทึกเอาไว้ในนี้แล้ว!” ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของป๋ายหลินก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม หากไม่เป็นเพราะในกองทัพมีกฏระเบียบตั้งเอาไว้ เขายังถึงขั้นอยากเลื่อนป๋ายเสี่ยวฉุนให้เป็นผู้บังคับกองร้อยเลยด้วยซ้ำ
“ผู้บังคับกองสิบ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรับเอาป้ายสีม่วงนั้นมา เมื่อป้ายนี้อยู่ในมือ กระแสอบอุ่นระลอกก็แผ่ออกมาผสานรวมเข้าไปในร่างของเขา ทำให้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนคึกคักกระฉับกระเฉง รู้ทันทีว่าป้ายนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งหลังจากที่ผสานรวมพลังจิตเข้าไปแล้วเขาก็แอบรู้สึกได้ว่าในป้ายนี้มีพลังมากมหาศาลระลอกหนึ่งที่คล้ายจะมีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างกับเจดีย์สูงตระหง่านสะดุดตากลางกำแพงเมืองนั่น
“ใช่แล้ว เจ้าอย่าดูถูกตำแหน่งผู้บังคับกองสิบนี้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าสามารถเลือกนักพรตในกองทัพสิบคนให้มาเป็นผู้ติดตามของเจ้า พวกเขาจะฟังคำสั่งจากเจ้าเท่านั้น!” ป๋ายหลินให้กำลังใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เรียกร้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำเตาระเบิดเพิ่มมากขึ้นอีกนิด อานุภาพร้ายแรงขึ้นอีกหน่อย แล้วจึงจากไป
จนกระทั่งป๋ายหลินจากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ถือป้ายผู้บังคับกองสิบอยู่ในมือค่อยกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองชายหนุ่มสี่คนที่พิทักษ์อยู่ที่นี่ พอคนทั้งสี่ประสานสายตากับป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบก้มหน้าลงต่ำ เดินรุดหน้าเข้ามาหา ประสานมือแล้วโค้งตัวคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำๆ
“พวกข้าคารวะผู้บังคับกองสิบ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมทันที เขามองคนทั้งสี่แล้วก็มองป้ายในมือ หลังจากไอแห้งๆ หนึ่งครั้งก็เชิดคางขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าพวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง”
“ข้าน้อยจ้าวหลง!”
“ข้าน้อยซุนลี่!”
“ข้าน้อยสวีเต๋อซาน!”
“ข้าน้อยโจวอู่!” คนทั้งสี่ตอบรับ จากที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินตลอดสี่วันมานี้ บวกกับที่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้กลายเป็นผู้บังคับกองสิบ พวกเขาจึงรู้สึกเคารพยำเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก ทุกคนมีสีหน้าเคร่งขรึม โดยเฉพาะจ้าวหลงที่มีตบะสูงสุดอย่างรวมโอสถช่วงท้ายก็ยิ่งแสดงความเคารพเลื่อมใสต่อป๋ายเสี่ยวฉุนมากกว่าผู้ใด เพราะว่าผู้ที่ปลิวกระเด็นออกไปในวันนั้นก็คือเขาเอง…
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าสี่คนก็คือลูกน้องใต้สังกัดของข้าแล้ว อีกหกคนที่เหลือข้าขอมอบให้พวกเจ้าจัดการ รีบหาคนมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ต่อไปติดตามข้า รับรองว่าพวกเจ้าจะสุขสบาย เลื่อนตำแหน่งสูงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรง” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ เขารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของตัวเองพูดได้ดีมาก และก็มีบารมีน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
จ้าวหลงสี่คนลังเลเล็กน้อย รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังรุ่งโรจน์ ติดตามเขาถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาจริงๆ ดังนั้นหลังจากมองหน้ากันไปมาก็รีบตอบรับทันใด ก่อนจะจากไปเพื่อตามหานักพรตคนอื่นให้มาเข้าร่วมอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ
เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่จากไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หันมาจับตามองเตาหลอมยาต่อ จนกระทั่งยามสนธยามาถึง พวกจ้าวหลงเดินทางกลับมา ที่มาพร้อมพวกเขาด้วยยังมีนักพรตอีกหกคน ซึ่งแบ่งเป็นชายสี่หญิงสอง แต่ละคนพอมาถึงก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้