Skip to content

A Will Eternal 481

บทที่ 481 อมเข้ากระเป๋าตัวเอง

คนทั้งหกนี้ต่างมีตบะไม่ธรรมดา หลังจากที่คารวะป๋ายเสี่ยวฉุนเรียบร้อยก็บอกชื่อของตัวเอง สี่คนในนั้นมีตบะรวมโอสถช่วงต้น และยังมีอีกหนึ่งคนที่มีตบะรวมโอสถช่วงกลาง แถมคนสุดท้ายยังเป็นรวมโอสถช่วงท้าย ซึ่งนั่นคือหญิงสาวคนหนึ่ง

หญิงสาวผู้นี้นามว่าหลิวลี่ หน้าตางามพิสุทธิ์ ดวงตาทั้งคู่ราวกับตาหงส์ มองดูแล้วหน้าอ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาว แต่ทรวดทรงองค์เอวกลับโค้งเว้าได้รูป ต่อให้สวมเสื้อเกราะก็ยังมองเห็นได้รำไร เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างไม่เพียงแต่ไม่ลดทอนเสน่ห์ของนางให้น้อยลง ทว่ายังเพิ่มความองอาจห้าวหาญให้แก่ตัวนางด้วย

เมื่อเอามารวมกับจ้าวหลงสี่คน ป๋ายเสี่ยวฉุนคือผู้บังคับกองสิบ นักพรตทั้งสิบคนนี้เป็นลูกน้อง โดยที่จ้าวหลงและหญิงสาวผู้นี้เป็นหัวหน้า ความแข็งแกร่งของพลังในการสู้รบนี้หากอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนกลางก็ยังมากพอจะเขย่าคลอนขั้วอำนาจฝ่ายหนึ่งได้

โดยเฉพาะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสิบคนต่างก็สนิทสนมกันดี ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองปราดเดียวก็พอจะวิเคราะห์ได้ว่าบางทีก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสิบคนคงจะอยู่กลุ่มเดียวกัน ดูจากตำแหน่งการยืนของพวกเขาแล้วทำให้มองออกว่าอยู่ในสภาวะที่สามารถพูดคุยกันได้ตลอดเวลา ซึ่งนี่น่าจะเป็นการจัดวางค่ายกลโจมตีร่วมกันอย่างหนึ่งที่ฝึกฝนมา

ต่อให้ก่อกำเนิดปรากฏตัวก็ใช่ว่าจะต่อกรด้วยไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่ก็ต้องทำให้ก่อกำเนิดปวดหัวได้แน่นอน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตพวกเขา พวกเขาก็สังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน แถมยังเป็นไปตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์อยู่ในใจจริงๆ เดิมทีพวกเขาสิบคนก็อยู่กลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว ครั้งนี้ที่มาเข้าร่วมด้านหนึ่งเป็นเพราะจ้าวหลงช่วยพูดเกลี้ยกล่อม

ทว่าที่สำคัญที่สุดคือหลังจากที่พวกเขาได้เห็นเตาระเบิดเหนือกำแพงเมืองด้วยตาตัวเองจึงสะท้านสะเทือนกันอยู่นานแล้ว พอได้ยินจ้าวหลงบอกว่าคนที่ต้องการตัวพวกเขาคืออาจารย์โอสถที่ลึกลับผู้นั้น พวกเขาจึงตกปากรับคำทันที

เพียงแต่ว่าพอได้มาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กลับทำให้พวกเขาผิดหวังเล็กน้อย ด้านหนึ่งเพราะรู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนดูหนุ่มอยู่มาก อีกด้านหนึ่งก็เพราะไม่รู้ทำไมพวกเขาถึงได้มีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งความอยู่สองสามประโยคก็เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วจึงไล่คนทั้งสิบให้แยกย้ายกันไป นับแต่วันนี้เป็นต้นไปนักพรตสิบคนนี้ต้องอาศัยอยู่ที่นี่ รับผิดชอบกิจธุระทุกอย่างตามที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการ

ค่ำคืนนี้สงครามนอกกำแพงเมืองยังคงดำเนินต่อไป ต่อให้เสียงอึกทึกจะดังกึกก้องไม่ขาดระยะ ทว่าเนื่องจากในกำแพงเมืองมีค่ายกลเก็บเสียงจึงสงบสุขอย่างมาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอเรือน ถือป้ายผู้บังคับกองสิบไว้ในมือ เขาสังเกตมันอย่างละเอียดท่ามกลางความเงียบสงัด หลังจากที่ค่อยๆ ผสานพลังจิตเข้าไปช้าๆ แล้วรับสัมผัสกับดวงตายักษ์ที่อยู่บนเจดีย์สูง เขาก็รู้สึกได้ว่าเขาและมันมีการเชื่อมโยงกัน

เวลาเดียวกันนั้นเมื่อพลังจิตนี้จมลึกลงไป ตราประทับแห่งพลังชีวิตของเขาก็ค่อยๆ นาบลงไปบนป้ายนี้ช้าๆ เมื่อเสร็จสิ้นในท้ายที่สุด แสงสีม่วงก็เปล่งวาบออกมาจากป้ายตัวตน ทันใดนั้นในจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีคุณความชอบในการสู้รบของเขาลอยขึ้นมา

“สี่หมื่นสามพันเจ็ดร้อยห้าสิบสาม?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ

“ดูท่าแล้วเป็นผู้บังคับกองสิบจะมีบารมีน่าดู หากได้เป็นผู้บังคับกองร้อยก็คงยิ่งน่าเกรงขามมากไปอีก มีนักพรตถึงหนึ่งร้อยคนที่ต้องฟังคำสั่งจากข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เกิดความคาดหวังขึ้นเล็กๆ จึงตรวจสอบคะแนนคุณความชอบในการต่อสู้ของที่คนเป็นผู้บังคับกองหมื่นต้องมี

“หนึ่งล้าน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน

“มากเกินไปหน่อยไหม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วมุ่น ทว่าเมื่อทำความเข้าใจกับข้อมูลในแผ่นป้ายอย่างลึกล้ำมากขึ้น หัวคิ้วของเขาก็คลายตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว

“สังหารวิญญาณพยาบาทกับชนพื้นเมืองได้คุณความชอบไม่เท่ากัน เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิญญาณ อาจารย์หลอมวิญญาณ…คุณความชอบในการสู้รบจากการสังหารต่างกันงั้นหรือ” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย

“ไม่รีบร้อน ตอนนี้แค่เตาหลอมยาระเบิดก็ได้คะแนนมากเท่านี้แล้ว แต่สำหรับข้าแล้วเตาหลอมยาระเบิดเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น อาหารจานหลัก…คือยารวมวิญญาณ!”

“หากยารวมวิญญาณถูกข้าหลอมออกมาได้สำเร็จจนแสดงอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างที่คาดการณ์ก็คงได้คุณความชอบมาอย่างง่ายดาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ในใจก็ให้ฮึกเหิมเป็นกำลัง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าความดีความชอบในการสู้รบนอกจากจะนำมาเลื่อนตำแหน่งในกองทัพได้แล้ว ยังสามารถนำไปแลกสิ่งของที่ต้องการได้ด้วย

เพียงแต่ว่าต้องผสานรวมกับดวงตายักษ์ที่อยู่บนเจดีย์สูงก่อนถึงจะแลกมาได้

“ตอนนี้คุณความชอบในการรบยังน้อยเกินไป แต่ยังไงข้าก็ไม่รีบร้อนไปแลกอยู่ดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็รับสัมผัสกับตบะของตัวเอง

“ห่างจากยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบอีกไม่ไกลแล้ว เพียงแต่ว่าปราณวิญญาณของที่นี่บางเบา หากคิดจะฝึกบำเพ็ญตบะให้เร็วขึ้นจึงค่อนข้างยาก…หากมีความชอบที่มากพอ รออีกนิดหนึ่งก็จะสามารถแลกเอาทรัพยากรในการฝึกตนทั้งหมดที่ต้องการมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดดีแล้วก็เงยหน้ามองรอบด้าน เริ่มแผ่พลังจิตปกคลุมไปสี่ทิศ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจ เขาจึงหยิบเอายันต์ปึกใหญ่ออกมาจัดวางไว้ทั่วหอเรือน

จากนั้นถึงได้ค่อยๆ แง้มถุงเก็บของอย่างวัวสันหลังหวะ แล้วหยิบเอารากวิญญาณดิน…ออกมากำใหญ่!

รากวิญญาณดินนี้เป็นสีทองอร่ามไปทั้งชิ้น ด้านบนมีลวดลายหลายชั้นแน่นขนัด ทุกชิ้นต่างก็มีวงปีอย่างน้อยหนึ่งร้อยวงขึ้นไป ซึ่งวงปีเหล่านี้คือตัวแทนของอายุ

“หนึ่งร้อยปีขึ้นไปหมดเลยหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก สิ่งของเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ต่อยารวมวิญญาณเสียเลย เพียงแต่ปริมาณที่ต้องใช้กลับไม่มาก

ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขอมาหนึ่งพันชิ้น แถมยังเรียกร้องเอาพืชหญ้าล้ำค่าแบบอื่นๆ มาด้วย เป้าหมายของเขาก็เพื่อ…แอบยักไว้เองบางส่วน เพราะว่าพืชหญ้าเหล่านี้ล้วนไม่จำเป็นต้องนำมาหลอม สามารถกินได้โดยตรงเลย ซึ่งมันจะช่วยเพิ่มพลังเลือดลมให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้พลังชีวิตในร่างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และพลังชีวิต…ก็คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับการฝึกวิชาอมตะมิวางวาย

“มีรากวิญญาณดินพวกนี้ เอ็นคงกระพันของข้าต้องทะยานพรวดพรวดอย่างแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขาฮึกเหิมอย่างมาก ต้องรู้ว่ารากวิญญาณดินที่มีอายุร้อยปีขึ้นไปเช่นนี้ ไม่ว่าชิ้นใดเมื่ออยู่ข้างนอกก็ขายกันแพงหูฉี่ แถมยังได้มาครองยากมากด้วย เพราะมันคือชิ้นส่วนสมบัติฟ้าดินที่สามารถเอาไปเปิดประมูลได้

และก็มีเพียงป๋ายหลินผู้มีตำแหน่งสูงส่งในกำแพงเมืองแห่งนี้เท่านั้นถึงจะขอมาทีเดียวได้มากมายขนาดนี้ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่รู้ว่าป๋ายหลินหามาได้ยังไง แต่เขาก็พอจะจินตนาการออกว่าการที่เอามาจากสำนักอันตมรรคฟ้าดาราทีเดียวหนึ่งพันชิ้น ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างแน่นอน

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบหันไปมองรอบด้าน หลังจากแน่ใจว่าค่ายกลของตัวเองไม่มีใครจับได้ และไม่มีใครสังเกตที่แห่งนี้ เขาจึงหยิบเอารากวิญญาณดินออกมา ใช้หม้อกระดองเต่าหลอมพลังจิตก่อนครั้งหนึ่ง

เพราะอย่างไรซะตอนที่เขาขอทรัพยากรเมื่อคราวก่อนก็ได้วัสดุไฟหลากสีมาไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ผลลัพธ์ของรากวิญญาณดินจึงแตกต่างไปจากเดิมทันที

เพียงแต่ว่าวัสดุไฟหลากสีเหล่านี้ยังไม่เพียงพอให้หลอมรากวิญญาณดินทั้งหมด หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมอยู่สองสามครั้งจึงจำต้องถอดใจด้วยความเสียดาย หยิบเอารากวิญญาณดินที่ผ่านการหลอมพลังจิตขึ้นมาแล้วกัดลงไปราวกับกัดหัวไชเท้าเสียงดังกร้วมๆๆ

ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปยังฝ่ายครัวไฟพลันบังเกิดขึ้นในใจของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดถึงสำนักสยบธารขึ้นมาอีกครั้ง คิดถึงพวกหลี่ชิงโหว โหวเสี่ยวเม่ย ซ่งจวินหว่าน

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตในร่างกายที่เพิ่มพูนขึ้นมา ตลอดทั้งร่างอุ่นอ้าวคล้ายค่อยๆ ถูกไฟลุกไหม้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบโคจรวิชาอมตะมิวางวายในร่างทันที จุดที่ขาซ้ายของเขามีเอ็นคงกระพันแผ่ขยายไปถึง วินานี้ก็กลายมาเป็นน้ำวนซึ่งเหมือนกับหลุมดำที่ดูดซับเอาไฟร้อนแรงในร่างไปจนหมด

เวลาหนึ่งคืนผ่านไป ตลอดทั้งคืนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกินรากวิญญาณดินไปทั้งหมดหนึ่งร้อยชิ้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น กินมากขนาดนี้พลังชีวิตในร่างต้องปะทุอย่างบ้าคลั่งแล้วทำให้ร่างระเบิดอย่างแน่นอน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิชาอมตะมิวางวายที่เป็นดั่งหลุมไร้ก้นอยู่กับตัว ตอนนี้เอ็นคงกระพันตรงขาซ้ายจึงกำลังแผ่ขยายออกไปช้าๆ และปกคลุมไปถึงพื้นที่ของส่วนขาขวาแล้ว แถมยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อมันแผ่ขยายออกไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ว่าพลังกล้ามเนื้อของตัวเองค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น และทุกอย่างนี้ก็ทำให้อารมณ์เขาฮึกเหิมเบิกบานอย่างยิ่ง

ยามกลางวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ละเลยเรื่องการหลอมยา แถมยังเพิ่มจำนวนหลอมพร้อมกันเป็นห้าสิบเตา เพียงแต่ว่าท่ามกลางการทดลองอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งจะหลอมยารวมวิญญาณที่มีอานุภาพมหาศาลได้สำเร็จ แต่เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนตรวจสอบอย่างละเอียดกลับไม่พอใจ ราวกับว่ามันยังขาดอะไรบางอย่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ร้อนใจ เขาแอบรู้สึกว่าการทดลองหลอมยารวมวิญญาณของตัวเองใกล้จะได้เห็นผลลัพธ์แล้ว

ทว่าเรื่องเตาระเบิดกลับมีให้เห็นทุกวัน

สำหรับป๋ายหลินแล้ว เมื่อมีการระเบิดเกิดขึ้นทุกอย่างก็พูดง่าย แถมพอผ่านไปหลายวันเขายังกลัวว่าเตาหลอมของป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีไม่พอจนถึงขั้นเอามาส่งให้ใหม่อีกหนึ่งชุด…

เห็นท่าทางชื่นชอบที่ป๋ายหลินมีต่อเตาหลอมยาเหล่านั้นก็รู้ได้ว่าในสายตาของเขา เตาเหล่านี้ไม่ได้เอาไว้ใช้หลอมยา แต่เป็นคุณความชอบทางการรบที่สามารถกวาดล้างวิญญาณพยาบาทได้!

เวลาเดียวกันนั้นตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พัฒนาไปไม่หยุดยั้ง ในที่สุดวันนี้รากวิญญาณดินหนึ่งพันชิ้นก็ถูกเขากินจนเหลือแค่หลายสิบชิ้น

คืนนี้ตลอดทั้งขาข้างขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ไอความร้อนรุนแรงออกมา เลือดเนื้อเต้นกระตุกราวกับมีพลังมหาศาลหลายระลอกที่เคลื่อนโคจรอยู่ด้านใน คล้ายว่าหากมันถูกระบายออกมาจากขาขวาของเขาเมื่อไหร่จะต้องเขย่าคลอนฟ้าดินได้แน่นอน

“สำเร็จแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจ เขาก้มหน้าลงมองขาทั้งสองข้างของตัวเอง สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเอ็นคงกระพันที่อยู่ในขาทั้งสองข้างต่างก็แฝงเร้นไว้ด้วยพลังกล้ามเนื้อที่น่าหวาดกลัว!

เมื่อบวกกับผนึกมิวางวายเขาก็มั่นใจว่าหากแข่งในด้านความเร็วของเรือนกายโดยที่ไม่นับการเคลื่อนที่เหนือความเร็วแสงแล้ว ก่อกำเนิดก็ไม่มีทางไล่ตามเขาทัน! แถมเมื่อเขาลองขยับดูก็ยังมีเสียงอากาศระเบิด

ร่างหายวับไป มาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ริมขอบนอกลานกว้างห่างไปพันจั้ง แม้กระทั่งเขายืนได้อย่างมั่นคงหูก็ยังได้ยินเสียงแหวกอากาศที่ดังไม่จางหาย!

“เร็วเหนือเสียงแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะลั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version