บทที่ 484 ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาล
ในกำแพงเมือง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใจสัมผัสได้หรือไม่ เขาถึงลืมตาโพลง เงยหน้ามองรอบด้าน รู้สึกแปลกๆ
ทว่าเขาก็ไม่ได้คิดมาก ยังคงฝึกบำเพ็ญตบะต่อไป จนกระทั่งแสงอรุณยามเช้าสาดส่องลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พรูลมหายใจยาวพ่นควันออกมาเป็นสาย ก่อนจะเดินออกมาจากหอเรือน
“มาสิ เอาเตาหลอมยาของข้าผู้บังคับกองย้ายมานี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เมื่อเสียงของเขาดังออกไป พวกหลิวลี่และจ้าวหลงก็รีบห้อตะบึงมาถึง นักพรตทั้งสิบคนนี้เอาเตาหลอมยาห้าสิบใบมาวางรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว
ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ขึ้นไปอยู่ในรายชื่อประกาศต้องฆ่าของแดนทุรกันดาร ชื่อเสียงของเขาในกำแพงเมืองก็ยิ่งโด่งดัง
ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจกว้างกับพวกเขาอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาวุธวิเศษต่างก็มอบให้เป็นรางวัลไม่น้อย เพราะอย่างไรซะถึงแม้ว่าจำนวนคุณความชอบในการรบของเขาจะไม่ได้มากเป็นพิเศษ แต่ก็มีเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ วัน อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว ทุกคนจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
เมื่อเป็นเช่นนี้พวกจ้าวหลงเองก็ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้งานได้ตามใจชอบ เวลานี้พอเอาเตามาวางเรียบร้อยพวกเขาถึงได้ถอยออกไปเฝ้าพิทักษ์อยู่ห่างๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นฝาเตาหลอมยาทั้งหมดก็เปิดออก
พืชหญ้าจำนวนมากบินออกมา แล้วกลายเป็นสัดส่วนห้าสิบส่วนที่แตกต่างกันไปตามตำรับยาซึ่งปรับสูตรใหม่ทีละน้อยของป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะร่วงลงไปในเตา
เมื่ออุณหภูมิร้อนสูงของเตาหลอมแผ่ออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินไปทั่วเตาหลอมทั้งห้าสิบใบ บางครั้งก็เพิ่มพืชหญ้าลงไป บางครั้งก็ควบคุมผลึกอัคคี ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มถึงปรับพืชหญ้าของห้าสิบเตาเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเขาก็เริ่มรวบรวมสมาธิเพื่อปิดผนึกพวกมัน
“ไม่รู้ว่าคราวนี้จะระเบิดกี่เตา” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปิดผนึกเตาหลอมยา พวกจ้าวหลงก็มองหน้ากันไปมาแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ข้าเดิมพันที่ประมาณยี่สิบเตา!”
“เมื่อวานระเบิดไปสิบเจ็ดเตา วันนี้ข้าเดิมพันว่ายี่สิบเตาขึ้นไป!” ทุกคนพากันลงเดิมพัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำอย่างนี้กันแทบทุกวัน…
ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดผนึกเตาเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย เขาปัดมือตัวเองอย่างผ่อนคลาย แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในหอเรือนโดยที่ไม่สนใจเตาหลอมยาที่แผ่ความร้อนสูงพวกนี้อีก
จนกระทั่งผ่านไปอีกสี่ชั่วยาม หลังจากที่เตาหนึ่งในนั้นส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆๆ ป๋ายหลินก็มาปรากฏตัวทันทีเฉกเช่นทุกวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยุติการฝึกบำเพ็ญตบะ เดินออกมาจากในหอเรือนแล้วมายืนอยู่ข้างกายป๋ายหลิน
“ปรมาจารย์ป๋าย ลำบากเจ้าแล้ว” ป๋ายหลินพูดพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งถูกใจ
“ไม่เป็นไร ทุกอย่างก็เพื่อกำแพงเมือง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ฮึกเหิม วางมาดเป็นยอดฝีมือแห่งเต๋า ทว่าปากกลับเอ่ยคำพูดง่ายๆ ราวกับไม่ใส่ใจ
“แต่เหล่าป๋าย เตาหลอมยาใกล้จะไม่พอแล้วนะ พืชหญ้าก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย โดยเฉพาะรากวิญญาณดินที่คราวหน้าท่านต้องเอามามากหน่อย”
“ไม่มีปัญหา ข้าจะกลับไปสั่งความให้เอง!” ป๋ายหลินมองเตาหลอมยาเหล่านั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ไม่นานเสียงเปรี๊ยะๆๆ ก็ทยอยกันดังลั่นออกมาจากในเตาหลอมยาอีกหลายเตา ทุกครั้งที่เตาหลอมยาเกิดปริแตก ป๋ายหลินก็จะคึกคักทุกครั้ง แถมเพื่อเอาไปทีเดียวพร้อมกันหมด เขายังถึงขั้นใช้ตบะของตัวเองไประงับพวกมันไว้อย่างไม่คิดเสียดาย
ไม่นานเมื่อเตาหลอมยาที่แตกร้าวเพิ่มมากถึงยี่สิบเจ็ดเตา เห็นว่าไม่มีเตาไหนแตกออกอีกแล้ว ป๋ายหลินก็หัวเราะฮ่าๆ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งหอบเอาเตาทั้งยี่สิบเจ็ดใบพุ่งตรงไปยังกำแพงเมือง
ป๋ายเสี่ยวฉุนบินตามป๋ายหลินไปเฉกเช่นทุกครั้ง เขาต้องการเห็นอานุภาพของเตาหลอมยาที่สนามรบกับตาของตัวเองเพื่อสะดวกต่อการปรับตำรับยา แม้รู้อยู่แล้วว่าเตาต้องระเบิดแน่นอน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยเจอยาที่หลอมสำเร็จหลังจากเตาหลอมยาระเบิดมาก่อนตอนที่หลอมยาอย่างอื่น
และก็ด้วยเหตุนี้ เขาจึงติดตามไปด้านหลังของป๋ายหลิน มุ่งหน้าไปยังกำแพงเมือง ตลอดทางนักพรตทุกคนที่มองเห็นเตาหลอมยาทั้งยี่สิบเจ็ดใบนั้นต่างก็เผยความห้าวเหิมและรอคอยออกมาทางดวงตา
ป๋ายหลินรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการมองเห็นเตาหลอมยาพังทลายกับตาของตัวเอง ดังนั้นจึงชะลอความเร็วลง หลังจากที่คนทั้งสองมาถึงกำแพงเมืองในเวลาที่แทบจะพร้อมกัน เสียงหัวเราะของป๋ายหลินก็ดังลั่น ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเตาหลอมยาทั้งยี่สิบเจ็ดเตาก็พุ่งตัวออกไปยังสนามรบนอกกำแพงเมืองจากยี่สิบเจ็ดทิศทาง
ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอานักพรตของห้ากองทัพใหญ่ที่อยู่บนกำแพงเมืองไชโยโห่ร้องกันทันที เวลาเดียวกันนั้นพวกชนพื้นเมืองที่อยู่บนสมรภูมิรบนอกกำแพงเมืองก็ได้แต่กัดฟันหมายจะถอยออกไป ทว่าพวกวิญญาณพยาบาทที่พอมองเห็นเตาหลอมยาเหล่านั้น ต่อให้มีอาจารย์หลอมวิญญาณคอยควบคุมอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยากที่จะยืนหยัดต่อไปได้ พวกมันจึงแตกฮือกันออกตามสัญชาตญานทันที
เห็นว่าเตาหลอมยาของตัวเองยังไม่ทันร่วงลงพื้นก็สร้างความสะเทือนขวัญได้มากขนาดนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลำพองใจอย่างยิ่งยวด ขณะที่กำลังมองไปด้วยความเบิกบาน ทว่าทันใดนั้น…
เห็นเพียงว่าบนสนามรบนอกกำแพงเมือง วินาทีที่พวกวิญญาณพยาบาทและชนพื้นเมืองพากันถอยร่น กลับมีสัตว์ร้ายที่ราวกับลูกกลมสิบกว่าตัวโผล่พรวดออกมาจากพื้นดิน
ความเร็วของพวกมันมีมาก ขณะที่บินทะยานออกมา ร่างกายก็ขยายใหญ่รับลม และในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็พองตัวจนใหญ่สิบจั้งกว่า ก่อนที่พวกมันจะตรงดิ่งเข้าหาเตาหลอมยาเหล่านั้น
และชั่วขณะที่เข้ามาใกล้ สัตว์ใหญ่ที่ตัวกลมดิกเหล่านี้พลันอ้าปากออกกว้าง หันไปหาเตาหลอมยาเหล่านั้นแล้วสูดอย่างแรง พลังดึงดูดนี้มีมากจนอากาศเกิดเสียงดังสวบๆๆ แล้วเตาหลอมยาก็ถูกสูบไปจนหมด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ยังไม่ทันรอให้ทุกคนที่อยู่บนกำแพงเมืองตั้งตัวได้ เตาหลอมยาทั้งยี่สิบเจ็ดเตาก็ถูกสัตว์ใหญ่ตัวกลมที่ปรากฏกายใกล้กับพวกมันดูดเข้าไปในปากจนไม่เหลือสักเตา!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่เตาหลอมยาถูกดูดเข้าไปในท้องของพวกมัน เสียงอื้ออึงดังสนั่นหวั่นไหวก็ดังออกมาจากในท้องของสัตว์ร้ายสิบกว่าตัวนี้ และท้องของพวกมันก็พลันขยายใหญ่ แต่ละตัวดวงตาแดงก่ำ ทว่ากลับกัดฟันปิดปากแน่น ไม่ส่งเสียงร้องคำรามใดๆ ออกมา
ไม่นานก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าท้องของพวกมันที่ป่องพองได้ยุบยวบลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วทุกตัวก็กลับคืนสู่สภาพปกติ…จากนั้นสัตว์ใหญ่ยักษ์ร่างกลมทั้งสิบกว่าตัวถึงได้อ้าปากแล้วพ่น…ควันดำออกมา
ควันดำพวกนั้นลอยกระจายสูงอยู่กลางอากาศแล้วค่อยๆ สลายไป…
ตลอดทั้งสนามรบเงียบสงัดลงไปในบัดดล นักพรตของห้ากองทัพใหญ่ที่อยู่บนกำแพงเมืองแต่ละคนเบิกตากว้าง ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ป๋ายหลินก็ยิ่งตัวสั่นเยือก ไอสังหารในดวงตาเปล่งวาบ แต่ก็ฝืนข่มกลั้นเอาไว้
เพราะความว่างเปล่ารอบกายของสัตว์ใหญ่สิบกว่าตนบิดเบือน เห็นได้ชัดว่ามีผู้แข็งแกร่งให้การพิทักษ์อยู่ หากป๋ายหลินฝืนโจมตีต้องถูกแว้งกัดแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่ป๋ายหลินที่จะเสี่ยงภัย แม้แต่กำแพงเมืองแห่งนี้ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการเลือกอย่างหนึ่ง จะช่วยหรือไม่ช่วย!
“บัดซบ!” ดวงตาของป๋ายหลินเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่เขากับขุนพลคนอื่นๆ ต่างก็รู้แต่แรกแล้วว่าสงครามครั้งนี้อีกฝ่ายมีเป้าหมายชัดเจน ซึ่งก็คือต้องการล่อให้บุรพาจารย์คนฟ้าเฉินเห้อซานเดินออกไปจากกำแพงเมือง!
สามารถจินตนาการได้ว่าหากเฉินเห้อซานออกไปจากกำแพงเมืองเมื่อไหร่ ถ้าเช่นนั้นแดนทุรกันดารย่อมลงมือสังหารเขาทันทีแน่นอน
“นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันถึงครึ่งปีพวกเขาก็คิดวิธีรับมือได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์ร้ายเช่นนี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาก่อน…” ป๋ายหลินแอบถอนหายใจ เวลาเดียวกันนั้นพวกชนพื้นเมืองที่อยู่นอกกำแพงเมืองก็คืนสติกลับมา พวกเขาส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด และวิญญาณพยาบาทพวกนั้นก็กลับคืนสู่ความดุร้าย ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
แถมยังมีการโจมตีครั้งหนึ่งที่รุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว เสียงกัมปนาดังก้องไม่หยุด เสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่นปฐพี เสียงร้องโหยหวนอึงอลไปรอบด้าน
นักพรตของห้ากองทัพใหญ่ได้แต่ปลุกเร้าใจตัวเองให้ฮึกเหิม พยายามปกป้องกำแพงเมืองอย่างเต็มกำลัง พริบตาเดียวก็เปิดฉากการประหัตประหารที่แกร่งกร้าวอีกครั้ง
บัดนี้ไม่มีใครให้ความสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก เตาระเบิดไร้ผล นี่หมายความว่านับแต่นี้เป็นต้นไปผลประโยชน์ในการใช้เตาระเบิดของเขาก็จะสูญหายไปด้วย
มองเห็นยาที่ตัวเองหลอมขึ้นด้วยความยากลำบากรวมไปถึงเตาหลอมยาที่กำลังจะระเบิดถูกกลืนไปทั้งอย่างนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตาค้างเล็กน้อย รู้สึกราวกับมีค้อนหนักๆ ทุบลงมาบนหัว ลมหายใจของเขาเริ่มไม่มั่นคง นัยน์ตาก็เริ่มเผยให้เห็นสีแดงก่ำทีละนิด
“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง นี่มันสัตว์อะไรกัน!!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เขารู้สึกเหมือนใจตัวเองถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด
“คุณความชอบในการรบไม่มีแล้ว พืชหญ้าไม่มีแล้ว เตาหลอมไม่มีแล้ว แถมข้ายังต้องเสียเวลาและพลังวิญญาณไปอีก!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคุมแค้น ดวงตาเขากลายมาเป็นสีแดงฉานอย่างสมบูรณ์แบบ
ความรู้สึกเช่นนั้นราวกับถูกคนอื่นทุบทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง แถมพอเขานึกได้ว่าต่อไปจะไม่มีคุณความชอบในการรบเพิ่มเข้ามาในบัญชีอีก และเป้าหมายที่จะได้เป็นผู้บังคับกองร้อยของตัวเองก็จะต้องสูญสลายตามไปด้วย
พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ลุกโหมอย่างมิอาจควบคุมได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะความรู้สึกที่อีกฝ่ายทำลายเตาหลอมยาของตนต่อหน้านักพรตมากมายซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าตนก็ยิ่งทำให้ใจที่รักในศักดิ์ศรีและใจที่เคารพตัวเองของป๋ายเสี่ยวฉุนถูกทำร้ายอย่างหนักประหนึ่งตกจากฟ้าลงมาสู่เหว
บัดนี้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมีแต่เสียงดังอึงอล เขาใช้สายตาที่แดงดุจเลือดจ้องเขม็งไปยังสัตว์ใหญ่ยักษ์ตัวกลมสิบกว่าตัวที่อยู่นอกกำแพงเมืองนั่น สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นดุร้ายเผยให้เห็นความอำมหิต
“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ กล้ากินเตาหลอมของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเจ้าต้องเสียใจแน่!”
ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนลุกโชติช่วง เขาหมุนตัวขวับตรงดิ่งไปยังหอกงเจี่ย
ป๋ายหลินมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็แอบถอนหายใจกับตัวเอง เขาเข้าใจดี อีกไม่นานพวกเผ่าชนพื้นเมืองของแดนทุรกันดารก็จะต้องเอาสัตว์ใหญ่ร่างเหมือนลูกกลมปริมาณมากมารับมือกับเตาหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะ!
“กล้าเขมือบเตาหลอมยาของข้า กล้าทำลายยาของข้า นี่เท่ากับท้าทายข้า กะอีแค่สัตว์ตัวน้อย ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะดีดนิ้วให้พวกเจ้าสิ้นราบพนาสูร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคลุ้มคลั่งไปตลอดทาง เขาขยายความเร็วสูงสุดกลายร่างเป็นรุ้งยาวที่ทะยานไปพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อกลับมาถึงหอกงเจี่ย เขาก็ตรงดิ่งเข้าไปในหอเรือนของตัวเองทันที
“จ้าวหลง หลิวลี่ พวกเจ้าสิบคนเฝ้าข้างนอกไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามให้เหยียบเข้ามา ข้าจะปิดด่าน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำราม หอบตลบเอาเตาหลอมยาเจ็ดแปดเตาเข้าไปไว้ในหอเรือน เสียงปังดังหนึ่งครั้งประตูใหญ่ของหอเรือนก็ปิดสนิท พวกจ้าวหลงพากันสำลักลมหายใจ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาไม่เคยเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมา ในใจบังเกิดความไม่เป็นสุข