บทที่ 500 การรบทรงพลังเขย่าขวัญมวลชน
ขอบเขตหลายพันจั้งบัดนี้ได้กลายมาเป็นพื้นที่แห่งความหนาวเย็น ในพื้นที่นั้นไม่ว่าจะเป็นยักษ์ชนพื้นเมืองก็ดี ผู้ฝึกวิญญาณก็ช่าง ร่างกายของพวกเขา ตบะของพวกเขาล้วนถูกปิดผนึกเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตา!
ต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไป ไม่มีใครกระดุกกระดิกตัวได้!
ต่อให้เป็นรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ต่อให้เป็นนักพรตเสมือนก่อกำเนิดก็ยังคงเป็นเช่นนี้ พริบตาเดียวยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นล้วนตะลึงพรึงเพริดอยู่ในใจ ส่วนพวกผู้ฝึกวิญญาณก็ร้อนใจ พยายามดิ้นรน
ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางไอความเย็นนี้ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงยังมิอาจสลัดหลุดพ้น และบัดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โบกมือครั้งเดียวร่างของชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหน้าเขาก็ระเบิดกระจายออกทันที และยังมีผู้ฝึกวิญญาณอีกเจ็ดคนที่เข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากที่สุด พวกเขาร้องคำรามอยู่ในใจ แต่ร่างกายกลับมิอาจขยับเขยื้อนได้
ทำได้เพียงมองป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้ามาใกล้คาตาตัวเอง เมื่อเขาพุ่งผ่านไป เสียงกัมปนาทดังกังวาน ร่างของผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถทั้งเจ็ดคนระเบิดตูมกลายมาเป็นก้อนเลือดเนื้อจำนวนมากที่จับตัวเป็นน้ำแข็งซึ่งแตกกระเซ็นออกไปรอบด้าน
“ที่นี่คือโลกของข้า!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววอำมหิต ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่พื้นหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นไอความเย็นก็แผ่ออกมาอีกครั้ง!
คราวนี้ไม่ใช่แค่หลายพันจั้ง แต่ขยายออกไปอีกเป็น…หมื่นจั้ง!!
ผู้ที่ฝึกความเย็นระดับสูงสามารถทำให้พื้นที่หมื่นจั้งกลายมาเป็นโลกแห่งความเย็นได้!
ในรัศมีหมื่นลี้ ทุกอย่างถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็ง ป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าตะลุยทุกอย่างจนพังราบเป็นหน้ากลอง ผ่านที่ใดที่นั่นต้องพินาศแหลกลาญ เมื่อเขาลงมืออย่างต่อเนื่อง ร่างของผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถคนแล้วคนเล่าก็แตกทลายออกเป็นเสี่ยงๆ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ตามทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อตะบึงผ่าน คนตายนับไม่ถ้วน!
ยักษ์ชนพื้นเมืองตนหนึ่งสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ก่อนที่ศีรษะจะแตกทลาย ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งตัวออกจากก้อนน้ำแข็งเหล่านั้น ระหว่างที่ทำมุทราผู้ฝึกวิญญาณสิบกว่าคนรอบกายเขาก็พากันร่างระเบิดกระจัดกระจายไปทีละคน!
ทว่าชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่ตรงนี้มีจำนวนไม่น้อย ต่อให้อาศัยพลังความเย็นระดับสูงในตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่สามารถสังหารทุกคนได้หมดในเวลาเดียว อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วลมหายใจก็มีผู้ฝึกวิญญาณหลายคนที่คล้ายจะเจอโอกาสดิ้นรนออกมาจากความสิ้นหวัง สามารถเคลื่อนไหวได้ในพื้นที่เล็กๆ
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แค่นเสียงดูหมิ่นหนึ่งครั้ง มือทั้งคู่ทำมุทราก่อนจะเหวี่ยงแขนออกไปด้านข้างอย่างแรง ปากก็พ่นประโยคเบาๆ ออกมา
“กระจกเงา!”
วินาทีที่สองคำนี้หลุดออกมาจากปากของเขา ทันใดนั้นในรัศมีหมื่นจั้งนี้ก็พลันมีกระจกขนาดใหญ่ยักษ์สูงเท่าตัวคนปรากฏขึ้นมาสิบบาน หลังจากที่กระจกเหล่านี้เผยตัวด้านในก็มีภาพมายาก่อตัวขึ้นมาทันที เวลาแค่ชั่วพริบตา เงามายาเหล่านั้นก็พากันเดินออกมา และทั้งหมดคือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
วินาทีที่ร่างจำแลงแห่งความเย็นทั้งสิบเดินออกมาจากในกระจกก็กระโจนออกไปประหัตประหารกับทุกคนที่อยู่รอบด้านทันที
เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของยักษ์ชนพื้นเมืองตนแล้วตนเล่าพังทลาย ผู้ฝึกวิญญาณตนแล้วตนเล่าดับสลายทั้งกายและจิต ต่อให้เป็นพวกที่สามารถขยับตัวได้ แต่ก็เนื่องจากช้าเกินไป อย่างมากที่สุดก็แค่ได้ร้องโหยหวนก่อนตายเท่านั้น
เสียงอึกทึกเกริกก้องไปทั่วสี่ทิศ รัศมีหมื่นจั้งนี้ราวกับกลายมาเป็นนรกโลกันตร์!
เสียดายก็แต่เวทอภินิหารที่ต้องใช้ขอบเขตกว้างขวางเช่นนี้จำต้องเผาผลาญตบะไปเป็นจำนวนมาก หากอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ทงเทียนยังถือว่าดีหน่อย เพราะสามารถชดเชยได้ทันที แต่ที่นี่คือแดนทุรกันดาร รอบด้านไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดิน พลังวิญญาณเผาผลาญไปหนึ่งส่วนก็หายไปหนึ่งส่วน อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาร่ายใช้ความเย็นระดับสูงเต็มขอบเขต เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ พลังวิญญาณของเขาก็เผาผลาญไปอย่างรวดเร็วราวกับน้ำไหล
ดังนั้นตลอดทั้งขั้นตอนจึงดำรงอยู่ได้แค่ประมาณสิบชั่วลมหายใจเท่านั้น ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่พุ่งชนออกไป มือขวาทำมุทราชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นความเย็นรัศมีหมื่นจั้งรอบด้านจึงพลันหายวับไปในพริบตา
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ความเย็นหายไป เสียงร้องโหยหวนด้วยความรวดร้าวพลันดังลอยมาจากปากของผู้ฝึกวิญญาณและยักษ์ชนพื้นเมืองที่ร่างกายแตกกระจาย แต่เนื่องจากถูกปิดผนึกจึงยังไม่ตายไปในทันที
เมื่อมองออกไป ในรัศมีหมื่นจั้ง เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วฟ้า บนพื้นเกลื่อนไปด้วยซากศพจำนวนนับไม่ถ้วน ยักษ์ชนพื้นเมืองที่ตายไปมีหลายร้อย ผู้ฝึกวิญญาณที่ถูกปลิดชีพไปก็มีมากถึงเจ็ดสิบแปดสิบคน!
ภาพนี้ทำให้ยักษ์ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณรอบด้านที่โชคดียังไม่ทันได้เหยียบเข้ามาในรัศมีหมื่นจั้งพากันสำลักลมหายใจ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน จิตใจของพวกเขาก็สะท้านไหว ความตะลึงพรึงเพรืดและเหลือเชื่อแสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
“นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!!”
“นึกไม่ถึงเลยว่าคนผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ นี่มันรวมโอสถซะที่ไหน นี่มันพลังของก่อกำเนิดชัดๆ!!”
“สังหารรวมโอสถกลับทำราวกับบดขยี้ฝูงมด!!”
ขณะที่ผู้ฝึกวิญญาณและยักษ์ชนพื้นเมืองตะลึงลาน ในสมองของนักพรตห้ากองทัพซึ่งอยู่ในรัศมีหมื่นจั้งที่ถึงแม้จะถูกปิดผนึกเหมือนกันแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็มีเสียงดังอื้ออึง
ลมหายใจของพวกเขาหนักเบาไม่เท่ากัน
มองทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านแล้วหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกที ในสายตาของพวกเขาเผยความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่ง แถมในดวงตาของคนหลายคนยังแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสศรัทธา!
ในยุคสมัยที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งได้รับความเคารพยำเกรงจากคนอื่น ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แสนยานุภาพที่ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงออกมาในสงครามครั้งนี้ทำให้นามของเขาจารึกลงไปในจิตวิญญาณของทุกคนอย่างลึกล้ำ!
“สังหารไปพร้อมกับข้า พวกเรากลับกำแพงเมืองด้วยกัน!”
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิงเล็กน้อย เวลานี้กล้ามเนื้อเขาอ่อนล้าไปทั้งร่าง ตบะถูกเผาผลาญไปเกินครึ่ง เสียงแหบปร่าไปหมด หลังจากที่แหงนหน้าแผดเสียงคำราม นักพรตห้ากองทัพที่อยู่รอบกายเขาก็ตอบรับทันทีทันใด คนทั้งกลุ่มคำรามอู้ออกไปห้อมล้อมป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะบุกฝ่าออกไปข้างหน้า
เห็นว่าตัวเองถูกคนมากมายห้อมล้อม ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ อย่าเห็นว่าก่อนหน้านี้เขามีท่าทีโหดเหี้ยม แต่ความจริงแล้วหัวใจเขาเต้นรัวเร็วยิ่งกว่าผู้ใด ความเคร่งเครียดของเขามีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
เพียงแต่เขารู้สึกว่าจะยอมให้คนอื่นเห็นว่าตนกลัวไม่ได้ นั่นถึงอำพรางเอาไว้ เรื่องแบบนี้ก่อนหน้านี้เขาเคยทำมาหลายครั้งแล้วจึงชำนาญการเป็นอย่างดี ตอนนี้เลยรีบหยิบเอาเหล้าวิเศษออกมาหลายขวดแล้วกรอกใส่ปาก ทั้งยังแบ่งให้กับนักพรตข้างกายอีกหลายคน
อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังแอบหยิบยาเทพสถิตหนึ่งเม็ดออกมาเตรียมพร้อมไว้ในมือ
ยาเทพสถิตนี้ต่างหากถึงจะเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงของเขา มียานี้อยู่ด้วยสามารถทำให้อาการบาดเจ็บทั้งหมดของเขาฟื้นตัวได้ในพริบตาเดียว แม้ว่าพลังวิญญาณจะไม่ฟื้นคืนตามมาด้วย แต่ในถุงเก็บของของเขาก็ยังมีเหล้าวิเศษที่แอบตุนเอาไว้อยู่อีกมากมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงกระปรี้กระเปร่า การบุกสังหารจึงยิ่งดุเดือดมากกว่าเดิม ชนพื้นเมืองก็ดี ผู้ฝึกวิญญาณก็ช่าง พวกเขาล้วนไม่มีใครสกัดขวางได้ เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีนักพรตหลายพันคนห้อมล้อมอยู่ห่างจากม่านแสงไปไม่ถึงพันจั้ง ห่างออกไปไกลจึงยิ่งมีผู้ฝึกวิญญาณอีกหลายร้อยคนบินทะยานเข้ามายังที่แห่งนี้
ห่างออกไปไกลอีก พวกหัวหน้าเผ่าหลายคนก็แผ่ปราณน่าตกตะลึงออกมา พวกเขาพกพาเอาพลังในการสู้รบที่เทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าดวงตายักษ์ในนครหลักที่ได้รับคำสั่งจากเฉินเห้อเทียนได้จับตามองมายังพื้นที่แห่งนี้เป็นพิเศษ พริบตาเดียวลำแสงหลายเส้นก็ลอดทะลุผ่านความว่างเปล่ามาถึง ทำให้พวกหัวหน้าเผ่าที่มีตบะเทียบเคียงก่อกำเนิดมิอาจเข้ามาใกล้ได้!
แต่ก็เนื่องจากผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถมีจำนวนมากเกินไปจึงพุ่งเข้ามาเข่นฆ่าได้ตามช่องวางของลำแสงมากมาย ตอนที่เข้ามาใกล้พื้นที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ พลังจิตวิญญาณบนร่างของพวกเขาก็แผ่กระจายออกสร้างอิทธิพลให้กับพวกชนพื้นเมืองที่เข้ามาใกล้พร้อมกับพวกเขา
หลังจากที่ในดวงตาของชนพื้นเมืองเหล่านี้กลวงโบ๋อีกครั้ง แต่ละคนก็คำรามแล้วกระโจนเข้าใส่ เพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็…ระเบิดตัวเองทันที!
และก็ดูเหมือนว่าต่อให้ต้องทุ่มสุดตัว พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนทิ้งไว้ที่นี่ให้ได้!
เสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้า การระเบิดตัวเองของยักษ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นก่อเกิดเป็นพลังโจมตี ทั้งยังมีเลือดสดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งสาดกระเซ็นไปรอบด้าน พริบตาเดียวนักพรตหลายพันคนก็บาดเจ็บสาหัส กลายมาเป็นการสกัดกั้น อีกทั้งภายใต้การโจมตีนั้นยังทำให้พวกนักพรตกระอักเลือด ถอยกรูดต่อเนื่อง ทำให้ขบวนกองทัพใหญ่แตกระส่ำระส่าย
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ร้อนใจอย่างยิ่ง หลังจากหยิบเอาเหล้าวิเศษอีกหนึ่งขวดขึ้นมากรอกใส่ปากก็ถลาออกไปข้างหน้า ไอความเย็นระเบิดออกมาอีกครั้ง
ทว่าคราวนี้วินาทีที่ความเย็นของเขาแผ่ออกมา ในดวงตาของพวกผู้ฝึกวิญญาณก็ฉายแสงวาววับ แถมพวกเขาทุกคนยังแผ่ควันสีดำออกมาจากร่าง และพริบตาเดียวควันเหล่านี้ก็รวมตัวกันขึ้นมาเป็นเงาวิญญาณที่ร้องคำรามเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งเหมือนว่ามันจะสามารถต้านทานการแผ่ขยายของไอความเย็นได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ทำให้พวกผู้ฝึกวิญญาณไม่ถึงกับไร้กำลังให้รับมืออย่างเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับสามารถเคลื่อนที่ได้ในพื้นที่เล็กๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากว่ากันในทางทฤษฎี นอกเสียจากว่าไอความเย็นของป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งกว่าเดิม หรือไม่ไอความเย็นก็ดำรงอยู่ได้ยาวนานมากกว่าเดิมแล้วล่ะก็ หากใช้เวลาเพียงแค่สิบกว่าชั่วลมหายใจอย่างก่อนหน้านี้ เขาก็มิอาจสังหารทุกคนได้อย่างราบรื่น
เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะผู้ฝึกวิญญาณมิอาจต่อต้านได้ ทว่าตอนนี้เมื่อขยับตัวได้ในพื้นที่เล็กๆ พวกเขาจึงพอจะดิ้นรนได้!
แต่สองวิธีนี้ อย่างแรกป๋ายเสี่ยวฉุนทำไม่ได้ ส่วนอย่างหลังเมื่ออยู่ในแดนทุรกันดารที่ไม่มีปราณวิญญาณเช่นนี้ ต่อให้อาศัยเหล้าวิเศษก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการหลอมละลาย ดังนั้นเขาก็ยัง…ทำไม่ได้อยู่ดี
ทว่า…ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้ก็คือ…ใช้ปณิธานในการรบเลือดเหล็กต่อสู้สุดกำลัง ปลิดชีพผู้ฝึกวิญญาณอย่างไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่ได้รับ!
และเขาก็ทำอย่างนี้จริงๆ เวลานี้เขาพุ่งพรวดออกไป ขยับเข้าไปใกล้ผู้ฝึกวิญญาณคนหนึ่ง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใช้วิชาอภินิหารโจมตีลงมาบนร่างของตัวเองอย่างไร
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยง เขาเอามือคว้าจับแขนของอีกฝ่ายแล้วระเบิดชนาเขย่าภูเขาชนจนกระดูกของอีกฝ่ายแหลกละเอียด!
ยังไม่สิ้นสุด เท้าของเขาก้าวออกไป ไม่ใยดีกระบี่วิญญาณที่แปลงออกมาจากพลังวิญญาณของผู้ฝึกวิญญาณคนนั้นซึ่งกำลังเข้ามาใกล้ตัวเอง ปล่อยให้กระบี่วิญญาณสีม่วงเข้มแทงทะลุไหล่ของตัวเอง ส่วนมือซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้นกักลำคอของอีกฝ่ายแล้วบีบอย่างแรง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เขาพุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดชะงัก กระถางที่แปลงมาจากควันม่วงเยื้องกรายมาถึง ทั้งยังมีมีดวายุหลายเล่มที่คำรามอู้มาจากสี่ทิศ ทุกที่ที่ผ่าน ใช้อาการบาดเจ็บแลกมาด้วยการฆ่า!