Skip to content

A Will Eternal 513

บทที่ 513 วิญญาณนี้ข้าจะมอบให้กับราชาผียักษ์!

การดังขึ้นของเสียงกัมปนาทนั้นกะทันหันเกินไป ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้เฒ่าที่เตรียมจะลงมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน แม้แต่ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังตะลึงไปด้วย นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ แต่ละคนล้วนหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันตั้งตัวได้คลื่นอากาศสะท้านสะเทือนฟ้าดินระลอกหนึ่งก็ระเบิดขึ้นในแอ่งที่ราบตามหลังเสียงกัมปนาทนั้น

คลื่นอากาศนี้แผ่ขยายไปสี่ทิศ ไม่ว่าทุกคนจะมีตบะอะไรต่างก็ถูกคลื่นนี้โจมตีพัดหอบให้ร่างลอยกระเด็นออกไปไกล ทั้งยังมีชนพื้นเมืองสร้างฐานรากบางส่วนที่ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม เมื่อปะทะเข้ากับคลื่นอากาศนี้ร่างก็พลันแตกทลาย ร้องโหยหวนรวดร้าว กายแตกจิตสลาย

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเย็นๆ เข้าปอดเฮือกใหญ่ คนอื่นๆ ก็แตกตื่นสงสัยไม่คลาย

“เกิดอะไรขึ้น!”

“ก่อนหน้านี้ยอดเขาพังถล่มมาเป็นแอ่งที่ราบ ตอนนี้ที่ราบนี่ก็พังถล่มอีก นี่มัน…”

“หรือว่าอาวุธยิ่งใหญ่จะจุติขึ้นมาบนโลก!!”

ขณะที่ทุกคนล้วนตะลึงงัน ทันใดนั้นในแอ่งที่ราบซึ่งมีเสียงสะเทือนเลือนลั่นและพลังโจมตีแผ่ออกมาก็พลันมีแรงดึงดูดมหาศาลระลอกหนึ่ง แรงดึงดูดนี้ไม่มีผลกับทุกคน แต่กลับทำให้วิญญาณเร่ร่อนที่ล่องลอยอยู่โดยรอบพากันตัวสั่นเทา ก่อนที่ร่างของพวกมันจะถูกดูดม้วนตลบเข้าไปในแอ่งทันทีทันใด

เวลาเดียวกันนั้นเสียงคำรามแหบพร่าก็ดังกระหึ่มออกมาจากในแอ่งที่ราบ เสียงนี้เพิ่งจะดังขึ้นก็เขย่าคลอนจิตวิญญาณของทุกคนได้ทันที ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังใจแกว่ง รู้สึกเหมือนแผ่นดินสั่นไหวภูเขาโยกคลอน หน้าเผือดสีทันใด

คนอื่นๆ ก็ยิ่งตกใจ มีเพียงผู้เฒ่าคนนั้นที่นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อและไม่คาดคิด ทั้งยังตื่นเต้นจนร่างกายเริ่มสั่นเทิ้ม

“นี่คือ…นี่คือ…” ลมหายใจของผู้เฒ่าเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ ทันใดนั้นในแอ่งที่ราบก็มีเสียงตูมตามดังออกมาอีกครั้ง ก่อนที่หมอกควันสีขาวกลุ่มใหญ่จะพวยพุ่งขึ้นฟ้า พอจะมองเห็นได้รำไรว่าในหมอกควันนั้นมีเงาร่างสีทองอยู่ร่างหนึ่งซึ่งพุ่งทะยานขึ้นมาพร้อมกับหมอกควัน!

พริบตาเดียวเงาร่างสีทองก็เด่นชัด นั่นคือเงาของจระเข้สีทองตัวหนึ่งที่เผยให้เห็นเรือนกายครบทุกส่วนอยู่ในหมอกควันกลุ่มนี้!

ปราณของธาตุทองก็ยิ่งแผ่ขยายออกมากลายเป็นลูกคลื่น วินาทีที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสกับลูกคลื่นนี้ ในสมองของทุกคนก็มีอักษรสามคำลอยขึ้นมา!

“วิญญาณสัตว์ฟ้า!!” คราวนี้ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณไม่น้อยต่างก็ร้องเสียงหลง นัยน์ตาแต่ละคนเผยความบ้าคลั่งและละโมบ ทว่าพวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่มีตบะเทียบเคียงกับสร้างฐานรากกลับรีบหนีห่างด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้ตนจะเข้าร่วมด้วยไม่ได้ หากเข้าไปมีเอี่ยว ผลร้ายย่อมมากกว่าผลดี

ทว่าชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่มีตบะรวมโอสถกลับคลุ้มคลั่งอย่างหาอะไรมาเปรียบมิได้ ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งของแดนทุรกันดาร ในฟ้าดินที่ยากจนแร้นแค้นแห่งนี้ ทุกอย่างต้องอาศัยการแย่งชิง นั่นจึงปลูกฝังให้พวกเขามีนิสัยขวนขวายความร่ำรวยและความเสี่ยงภัย หากตบะไม่พอก็ยังว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้ใครก็ตามที่มีตบะรวมโอสถล้วนมีสิทธิ์เข้าช่วงชิง แล้วมีหรือที่พวกเขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆ

อีกทั้งวิญญาณสัตว์ฟ้าก็หาได้ยากยิ่ง ถึงขั้นที่ว่าชั่วชีวิตของใครหลายคนก็ยังไม่เคยได้เจอแม้แต่ดวงเดียว ต้องรู้ว่าวิญญาณสัตว์ฟ้านั้นต่อให้แค่เคยเห็นก็ยังถือว่าเป็นโชควาสนาครั้งหนึ่งแล้ว

ทว่าตอนนี้มันกลับมาปรากฏอยู่ที่นี่ เรื่องนี้มาเยือนกะทันหันเกินไป แต่ยิ่งกะทันหันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนคลุ้มคลั่งได้มากเท่านั้น

พริบตาเดียวคนเหล่านี้ก็ตรงดิ่งเข้าหาจระเข้สีทองตัวนั้น!

ตอนที่จระเข้สีทองเผยกายอยู่กลางอากาศ ดวงตาของมันยังคงเลื่อนลอยคล้ายว่าเพิ่งจะถือกำเนิดออกมาได้ไม่นานจึงยังไม่มีสติปัญญาเท่าใดนัก แต่ยิ่งมันเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ทุกคนช่วงชิงกันอย่างดุเดือดมากขึ้น

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว นักพรตรวมโอสถหลายสิบคนพุ่งเข้าประหัตประหารกัน เห็นได้ชัดว่าเกินครึ่งในนั้นมาจากขั้วอิทธิพลเดียวกัน พวกเขาจึงร่วมมือบีบให้ผู้ฝึกวิญญาณที่มาเพียงลำพังต้องพ่ายแพ้ถอยร่น

โดยเฉพาะคนสามคนที่มีตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบที่เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งไร้พ่าย ทุกที่ที่ผ่านเสียงตูมตามดังกึกก้อง ยิ่งขยับเข้าไปใกล้วิญญาณสัตว์ฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้เอง ถึงแม้วิญญาณสัตว์ฟ้าตนนั้นจะยังไม่ฟื้นคืนสติปัญญา ทว่าสัญชาตญาณยังคงอยู่ มันจึงถอยกรูดในฉับพลัน ขอแค่มีคนเข้ามาอยู่ในขอบเขตที่แน่นอนมันก็จะหลบเลี่ยงออกไปทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ในสมองมีเสียงดังอึงอล ลมหายใจก็เริ่มถี่รัว หัวใจสั่นสะท้าน แม้ว่าเขาจะมีวิญญาณคนฟ้าอยู่แล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เคยได้เห็นวิญญาณสัตว์ฟ้า อีกทั้งต่อให้มูลค่าของวิญญาณสัตว์ฟ้าจะเทียบกับวิญญาณคนฟ้าไม่ติด ทว่าก็หาได้ยากมากเช่นเดียวกัน หากนำไปแลกคุณความชอบในการรบ มูลค่าของมันก็มากพอจะเทียบเคียงกับคุณความชอบในการรบสามส่วนของการเลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับกองหมื่นทีเดียว

ตอนนี้อยู่ๆ วิญญาณสัตว์ฟ้าดวงหนึ่งก็โผล่พรวดมาอยู่เบื้องหน้าตน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงฮึกเหิมในฉับพลัน

“ของข้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแผดเสียงคำราม ก่อนจะขยายความเร็วเต็มรูปแบบ ตรงดิ่งเข้าหาวิญญาณสัตว์ฟ้าที่เพิ่งจะปรากฏตัว ความเร็วของเขามีมากจนบุกเข้ามาอยู่ในกลุ่มของพวกผู้ฝึกวิญญาณในชั่วพริบตา สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งลมพายุลูกหนึ่งก็ระเบิดตูม ม้วนตลบเอาร่างของผู้ฝึกวิญญาณรวมโอสถหลายคนให้ลอยกระเด็น

ทั้งๆ ที่เขาใช้พลังวิญญาณ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้หน้ากากนี้สิ่งที่แผ่ออกมากลับเป็นคลื่นที่คล้ายคลึงกับพลังดวงวิญญาณ ทำให้ไม่มีใครมองออก พริบตาเดียวเสียงร้องโหยหวนก็ดังก้อง พวกผู้ฝึกวิญญาณหลายคนที่ถูกพัดปลิวออกไปพากันกระอักเลือดสด สายตาตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความหวาดผวา

ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนมังกรเกรี้ยวกราดตัวหนึ่งที่บุกเข้ามาสังหารพวกเขา ผ่านที่ใดก็ดับทำลายทุกอย่างจนพังพินาศ และก็ยิ่งเข้าไปใกล้วิญญาณสัตว์ฟ้ามากขึ้นทุกที แถมวิญญาณสัตว์ฟ้านั่นก็ประหลาดเหลือทน เวลาที่คนอื่นเข้าใกล้มันจะรีบหลบเลี่ยงออกห่าง แต่พอป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใกล้มันกลับทำเหมือนไม่มีความรู้สึก เหมือนมองไม่เห็น ถึงได้อยู่เฉยไม่คิดหนีแม้แต่น้อย

ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งตะลึงทั้งดีใจ เมื่อรู้ว่าหน้ากากนี้ของตัวเองอำพรางได้แม้แต่กับวิญญาณสัตว์ฟ้า เขาก็หัวเราะร่าขึ้นมาเสียงดัง ขณะที่เอื้อมมือหมายจะคว้ามันมาเก็บไว้ ทว่าทันใดนั้นผู้เฒ่าคนนั้นกลับตะเบ็งเสียงแหบแห้งราวกับเป็นบ้าไปแล้ว

“ทุกคนจงฟังคำสั่ง สกัดกั้นเจ้าลิงนี่ให้ได้อย่างไม่ต้องเสียดายข้าตอบแทน วิญญาณดวงนี้ข้าจะนำไปมอบให้กับราชาผียักษ์!” ขณะที่ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าคนนี้คำรามเดือดดาล มือทั้งคู่ก็ทำมุทรา ทันใดนั้นดวงตาของพวกผู้ฝึกวิญญาณที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเปล่งแสงสีแดงวาบไม่ต่างจากผู้เฒ่า ก่อนที่พวกเขาจะกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่กลัวตายราวกับเสียสติไปแล้ว ประหนึ่งว่าต่อให้พวกเขาต้องตายก็ยังต้องขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนให้ได้

นี่คือการลงมือร่วมกันของคนสิบกว่าคน ซึ่งสองคนในนั้นคือรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ สี่ห้าคนคือรวมโอสถช่วงท้าย ส่วนคนอื่นๆ ล้วนเป็นรวมโอสถช่วงต้น พลังอำนาจที่เกิดจากการรวมตัวกันแข็งแกร่งจนลมและเมฆเปลี่ยนสี

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้พวกเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน มิอาจยับยั้งฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เพียงแต่ว่า…พวกเขาขวางป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขาแสดงความบ้าระห่ำ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ กลับทำให้วิญญาณสัตว์ฟ้าตนนั้นตกใจกลัว

แม้ว่าวิญญาณตนนี้จะมองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน แต่มันกลับมองเห็นคนอื่นๆ พอถูกทำให้ตกใจจึงหลบหนีออกไปทันที ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เสียงดังอึกทึกพลันขยายไปทั่วด้าน วิชาอภินิหารของคนสิบกว่าคนล้วนโจมตีลงมาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือก แต่กลับไร้รอยบาดเจ็บ เมื่อเห็นว่าวิญญาณสัตว์ฟ้าตนนั้นหนีไป เห็นว่าผู้เฒ่าโยนลูกแสงสีชาดออกมาลูกหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลูกแสงนี้คืออาวุธวิเศษที่ใช้สำหรับจับวิญญาณโดยเฉพาะ เพราะวินาทีที่มันถูกโยนออกมาก็กลายร่างมาเป็นแหปากกว้างพุ่งเข้าหาวิญญาณสัตว์ฟ้าหมายคลุมร่างของมันเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดดาลทันใด ไอความเย็นทั่วร่างของเขาพลันระเบิดออก ปราณความเย็นระดับสุดขั้วแผ่ตูมออกไปรอบด้าน นักพรตรวมโอสถสิบกว่าคนที่อยู่โดยรอบล้วนถูกไอความเย็นนี้พุ่งเข้าโจมตีในชั่วพริบตา

แต่ละคนกลายมาเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง กายและจิตดับสลาย รัศมีหมื่นจั้งก็ยิ่งกลายมาเป็นบ่อเย็นโดยตรง!

ผู้ฝึกวิญญาณเฒ่าแทบจะขวัญหนีกระเจิดกระเจิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้ ท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อวิกฤตคับขันมาเยือนมือหนึ่งของเขาจึงเอื้อมคว้าไปที่แหขนาดใหญ่ อีกมือหนึ่งยกขึ้นตบลงไปบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง เสียงปุ้งดังหนึ่งครั้ง กลางกระหม่อมของเขาก็มีรูปปั้นผียักษ์ที่ผุพังรูปหนึ่งลอยออกมา

บนศีรษะของรูปปั้นมีเขาสองข้าง ผิวหนังเป็นสีเขียว ทั่วร่างมีใบหน้าของวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนปูดนูนออกมา มองดูแล้วดุร้ายอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวกันร่างกายของมันก็ราวกับมีพลังกล้ามเนื้อไร้ขีดจำกัดแฝงเร้นอยู่ ดวงตาทั้งคู่แดงฉานคล้ายผีร้ายที่คลานออกมาจากนรกภูมิ และนั่นก็คือผียักษ์เหนือแดนทุรกันดารที่เล่าลือกัน!

รูปปั้นนี้เพิ่งจะบินออกมาก็พลันส่องประกายแสงสีเขียว ทั้งยังมีปราณดุร้ายน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดพวยพุ่งสูงเทียมฟ้า และในปราณดุร้ายนั้นก็คล้ายว่าจะมีคลื่นของ…คนฟ้าดำรงอยู่เสี้ยวหนึ่ง

ร่างกายของผู้เฒ่าซุกซ่อนอยู่ในปราณดุร้ายนี้ ทำให้การแผ่ขยายรัศมีหมื่นจั้งของความเย็นสุดขั้วปกคลุมมาถึงตัวเขาช้ากว่าเดิมเล็กน้อย จนผู้เฒ่าสามารถกระชากเอาวิญญาณสัตว์ฟ้าที่อยู่ในแหปากใหญ่มาได้และเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

แม้จะหนีมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่าด้วยเรือนกายที่จับตัวเป็นน้ำแข็งของเขาก็ทำให้ตอนที่กระอักเลือดสด ในเลือดนั้นมีเกล็ดน้ำแข็งติดมาด้วย ทำเอาเขาที่เห็นอย่างนั้นถึงกับคำรามกร้าวอย่างเคียดแค้น

“ข้าคือลูกศิษย์ลำดับที่เจ็ดของท่านหลันโหวผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของราชาผียักษ์ มาที่นี่เพื่อทำภารกิจลับ เจ้ากล้าทำร้ายข้า!!” ผู้เฒ่าเห็นว่าวิกฤตความเป็นความตายมาเยือนเพราะป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มแผ่ปราณดุร้ายออกมาอีกครั้ง ท่ามกลางอาการตัวสั่นเขาก็ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากจึงชี้นิ้วไปยังรูปปั้นผียักษ์ผุพังที่ลอยอยู่กลางอากาศหนึ่งครั้ง

รูปปั้นนี้พลันมีเสียงตูมดังออกมา ก่อนที่จะมีเงาร่างมากพอห้าสิบกว่าเงาบินออกมาจากด้านใน พริบตาเดียวก็กลายร่างเป็นชนพื้นเมืองห้าสิบกว่าตน ชนพื้นเมืองเหล่านี้สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาเผยประกายสีแดง เรือนกายของพวกเขาพลันพองขยายกลายมามีขนาดหลายสิบจั้ง และที่น่าตะลึงก็คือคลื่นกล้ามเนื้อของพวกเขาที่แผ่ออกมาล้วนเทียบเคียงรวมโอสถทุกคน

ที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือบนร่างของพวกเขาล้วนสวมเสื้อเกราะได้มาตรฐานแบบเดียวกัน กลางเสื้อเกราะนั้นสลักรูปปั้นของผียักษ์เอาไว้! ทำให้พลังในการรบของพวกเขายิ่งเปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่ง อีกทั้งเมื่อปรากฏตัวก็เข้ามารวมตัวกันเป็นค่ายกล ปกป้องผู้เฒ่าให้อยู่ภายใน!

ขณะเดียวกันกับที่ต้านทานไอความเย็นก็คุ้มกันให้ผู้เฒ่าในค่ายกลหนีห่างอย่างรวดเร็วไปด้วย ผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจ ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาก็เผยจิตสังหารออกมาอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version