Skip to content

A Will Eternal 526

บทที่ 526 ผู้บังคับกองหมื่นเปลี่ยนคนแล้ว?

ซ่งเชวียหัวเราะเสียงเย็น เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตนข่มหัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างน้อยสิบเท่าขึ้นไปได้สำเร็จอย่างแท้จริงแล้ว แถมระหว่างทางที่กลับมาเขายังถึงขั้นคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปจัดการป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไร เขาจะต้องกระทืบอีกฝ่ายแรงๆ ให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้า ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิต!

“กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นอาเขยของข้า! คราวนี้ข้าจะให้เจ้าเรียกข้าว่านายท่าน!” ซ่งเชวียคิดอยู่ในใจอย่างดุเดือด พอนึกถึงสภาพอเนจอนาถของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งร่าง

ส่วนข่าวของป๋ายเสี่ยวฉุนในกำแพงเมือง เขาไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรซะสามปีที่ออกมาไม่ได้ ทำให้เขาถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พอออกมาได้ก็รีบร้อนกลับมา จึงยังไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในกำแพงเมือง

ขณะที่ซ่งเชวียกำลังทระนงตนอยู่ในใจนั้น ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงกำแพงเมือง มองเห็นม่านแสงค่ายกลที่ปกคลุมรัศมีพันจั้ง พออยู่นอกม่านแสง ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้ก็มีไอสังหารเย็นเยียบหลายเส้นเยื้องกรายลงมาจากบนกำแพงเมืองและเล็งตัวของคนทั้งสามไว้ทันที

ทั้งยังมีเสียงเย็นชาดังจากกำแพงเมืองก้องกังวานไปรอบด้าน

“ผู้ที่มาคือใคร!”

ซ่งเชวียหน้าเปลี่ยนสี เก็บเอาความลำพองใจกลับคืนไป ชะงักฝีเท้าโดยพลัน ต่อให้เมื่ออยู่ข้างนอกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองเลิศล้ำแค่ไหน ทว่าเมื่ออยู่ในกำแพงเมืองแห่งนี้กลับไม่กล้าอวดดีสร้างเรื่องแม้แต่น้อย

เพราะอย่างไรซะห้ากองทัพใหญ่ของกำแพงเมืองก็ไม่ใช่บุคคลที่พวกเขาจะไปมีเรื่องด้วยได้ ชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็พากันหน้าซีดเผือด รีบหยุดฝีเท้าทันที

“ไต้เท้า ข้าน้อยซ่งเชวีย สองคนนี้คือสหายร่วมสำนักของข้า พวกเราสามคนออกไปข้างนอกเพื่อทำภารกิจ ต้องการกลับเข้าไปในกำแพงเมือง” ซ่งเชวียประสานมือกล่าวเสียงทุ้มหนักอย่างเคารพนบนอบ

บนกำแพงเมือง คนที่เอ่ยถามก่อนหน้านี้ก็คือจ้าวหลง ช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้ที่รับผิดชอบตรวจตราอยู่บนกำแพงเมืองคือกองที่สามใต้สังกัดของกองถลกหนัง ตัวเขาเป็นทหารคนสนิทของป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่าน เรื่องมากมายจึงมีเขาและผู้บังคับกองพันคนอื่นๆ เป็นผู้รับผิดชอบ

เวลานี้จ้าวหลงกวาดสายตามองไปเบื้องล่างกำแพง หลังจากมองผ่านเรือนกายของซ่งเชวียสามคน ความเย็นเยียบในดวงตาก็ละลายหายไปบางส่วน เขารู้ที่มาของป๋ายเสี่ยวฉุน รู้ว่าบางทีท่านไต้เท้าผู้บังคับบัญชาอาจรู้จักคนทั้งสามนี้ ดังนั้นพอโบกมือหนึ่งครั้ง นักพรตข้างกายเขาจึงบินตรงไปหาคนทั้งสามทันที พอไปหยุดอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสามและขอเอาป้ายตัวตนรวมไปถึงแผ่นหยกผ่านด่านกำแพงเมืองมาได้เรียบร้อยแล้วก็บินกลับมาส่งมอบให้แก่จ้าวหลง

จ้าวหลงหยิบมาดูหนึ่งครั้ง ใช้วิธีการที่พิเศษตรวจสอบจนแน่ใจว่าป้ายตัวตนของทั้งสามไม่มีปัญหา แล้วจึงหันไปมองแผ่นหยกผ่านด่านอีกครั้ง วัตถุชิ้นนี้นักพรตทุกคนที่ออกไปข้างนอกล้วนจำเป็นต้องมีในครอบครอง ตอนที่เข้าออกกำแพงเมืองจะมีกองทัพที่รับผิดชอบตรวจตราเป็นผู้นาบตราประทับ หากตอนที่กลับมากองทัพที่ประจำการอยู่คือคนละกองก็จำเป็นต้องส่งตราประทับการออกนอกกำแพงเมืองไปให้กับกองเก่าตรวจสอบถึงจะได้

หลังจากที่กวาดสายตาผ่านแผ่นหยกผ่านด่าน จ้าวหลงก็มองออกทันทีว่าตราประทับที่อยู่ข้างในเป็นของกองที่สามใต้สังกัดของกองถลกหนังเช่นกัน เพียงแต่ว่าตราประทับนี้เป็นของอดีตผู้บังคับกองหมื่น ตามกฎระเบียบของห้ากองทัพ หลังจากที่ผู้บังคับกองหมื่นคนใหม่ได้รับการแต่งตั้ง ตราประทับของกองจำต้องถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด

“ป้ายตัวตนถูกต้อง แต่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าสามคนก่อนว่าป้ายตัวตนของพวกเจ้าถูกค่ายกลกักตัวไว้แล้ว อีกครู่เมื่อพวกเจ้าเดินเข้ามาในค่ายกล หากตัวตนของพวกเจ้าไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะสวมรอยเข้ามาแทน หรือช่วงชิงเอาตัวตนผู้อื่นมา สรุปก็คือค่ายกลจะทำลายทั้งกายและจิตของพวกเจ้าในชั่วพริบตา!” จ้าวหลงเงยหน้าขึ้นเอ่ยเนิบช้า

ซ่งเชวียสามคนที่ได้ยินประโยคนั้นต่างก็ตกตะลึง หลังจากหันมามองหน้ากันก็พยักหน้าให้แก่กัน จากนั้นจึงเดินขึ้นหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้กลับมา หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรซะบนกำแพงเมืองในยามนี้ก็ไม่รู้มีไอสังหารมากน้อยเท่าไหร่ที่เล็งมายังตัวพวกเขาสามคน

ไม่นานพวกเขาก็เดินเข้ามาในม่านแสงค่ายกล วินาทีที่เข้ามานั้น ม่านแสงค่ายกลนี้กระเพื่อมไหวเป็นระลอกคล้ายกำลังตรวจสอบทุกสิ่งอย่างในร่างกายพวกเขา ผ่านไปชั่วครู่คลื่นเหล่านั้นก็หายไป คนทั้งสามเดินจึงผ่านม่านแสงมาปรากฏตัวอยู่เบื้องล่างกำแพงเมืองเรียบร้อย

ซ่งเชวียผ่อนลมหายใจ เงยหน้ามองกำแพงเมือง เห็นเงาร่างเหล่านั้นที่อยู่ด้านบนในใจเขาพลันบังเกิดความวู่วามระลอกหนึ่ง รู้สึกว่าบางทีหากเข้าร่วมกับกองทัพใหญ่ทั้งห้าอาจเป็นทางเลือกหนึ่งของตัวเอง

อีกอย่างประสบการณ์การออกไปข้างนอกครั้งนี้ของตนก็ต้องโดดเด่นไม่เป็นรองใคร หากคิดจะเข้าร่วมกับทั้งห้ากองทัพ คิดๆ ดูแล้วก็คงไม่ยากเท่าไหร่นัก

เห็นว่าคนทั้งสามปลอดภัยดี จ้าวหลงก็ยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้คนทั้งสามผ่านเข้ามาได้ คนทั้งสามจึงเดินผ่านประตูด้านข้างเข้ามาในกำแพงเมือง และมองเห็นจ้าวหลงที่ยืนรอพวกเขาอยู่ตรงนั้น

“สหายนักพรตทั้งสามท่าน ก่อนหน้านี้จำเป็นต้องตรวจสอบ หวังว่าทั้งสามท่านจะไม่ถือสา” จ้าวหลงยิ้มน้อยๆ ประสานมือคารวะพร้อมอธิบาย สายตามาตกอยู่บนร่างของซ่งเชวีย ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ใจจึงอยากจะดึงให้มาเป็นพวกเดียวกัน

ซ่งเชวียได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้ม มองออกถึงระดับความสำคัญที่จ้าวหลงมีต่อตน ในใจเขารู้สึกเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง จึงประสานมือคารวะและก็พูดจายิ้มแย้มกลับไป เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่พลทหารทั่วไปแน่นอน ใจจึงอยากจะผูกมิตรไม่ต่างกันจนถึงขั้นบอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว

“พี่ซ่ง สนใจเข้าร่วมกองถลกหนังของพวกเราหรือไม่?” หลังจากทำความรู้จักกันเล็กน้อย จ้าวหลงก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนี้…” ในใจของซ่งเชวียยิ่งเบิกบาน แต่สีหน้ากลับแสดงความลังเล

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้พี่ซ่งเองก็ไม่ต้องรีบร้อนตอบรับ รอเจ้าพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาบอกข้าผู้แซ่จ้าวก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ตราประทับผ่านด่านของพวกเจ้าทั้งสามคงต้องเปลี่ยนกันสักหน่อย”

“ในแผ่นหยกผ่านด่านของพวกเจ้า มีตราประทับของกองที่สามเราเมื่อปีนั้น ทว่ากองที่สามใต้สังกัดของกองถลกหนังได้เปลี่ยนผู้บังคับกองหมื่นแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าต้องตามข้าไปยังค่ายของกองที่สาม เพื่อเปลี่ยนตราประทับในแผ่นหยกผ่านด่านเสียหน่อย” จ้าวหลงสีหน้าอ่อนโยน เขารู้สึกว่าซ่งเชวียคือคนมีความสามารถ ใจอยากจะรับตัวไว้เพื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพูดจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ผู้บังคับกองหมื่นเปลี่ยนคนแล้ว?!” ซ่งเชวียได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งงัน ชายหญิงด้านหลังเขาเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้สถานการณ์ในกำแพงเมืองมากเท่าไหร่นัก แต่ก็เข้าใจดีว่าบุคคลระดับผู้บังคับกองหมื่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนสูงส่ง บรรดาศักดิ์เหนือล้ำเกินกว่าผู้ใด!

ซ่งเชวียไม่กล้าก่อเรื่อง เขากล้าพูดคุยกับจ้าวหลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้บังคับกองหมื่น เขาก็ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย เขารู้ว่านักพรตห้ากองทัพที่พิทักษ์กำแพงเมืองแห่งนี้ล้วนน่ากลัวกันทุกคน โดยเฉพาะผู้บังคับกองหมื่น ไม่ว่าคนใดก็ล้วนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

อยู่ที่นี่ต่อให้เขาจะเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เก่งกาจแค่ไหน เกรงว่าในสายตาของผู้บังคับกองหมื่นก็คงไม่ต่างจากมดเล็กๆ ตัวหนึ่ง คิดมาถึงตรงนี้ ซ่งเชวียก็ถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ทั้งยังเกิดความคาดหวังอย่างมาก

“ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ของข้าซ่งเชวียจะมีโอกาสเดินไปสู่ตำแหน่งสูงสุดอย่างการได้เป็นผู้บังคับกองหมื่นหรือไม่” ขณะที่ในใจของซ่งเชวียวาดหวังอยู่นั้น เขาก็เก็บเอาความทดท้อไป แอบให้กำลังใจตัวเองอย่างเงียบๆ บอกตัวเองว่าเขาซ่งเชวียกลับมาครั้งนี้ ถึงแม้จะอยู่ห่างชั้นกับผู้บังคับกองหมื่นราวฟ้ากับเหว ทว่าในคนระดับเดียวกัน เขาต้องสร้างความครึกโครมได้แน่นอน เขายังคาดหวังอย่างมากถึงช่วงเวลาที่จะได้เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน นึกถึงภาพที่พอตัวเองได้เจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วจะต้องเดินไปเหยียบอีกฝ่ายให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้า ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจตัวจริง

คิดมาถึงตรงนี้ ในใจของซ่งเชวียก็ราวกับมีดอกไม้ผลิบาน เขาอยากไปจากที่นี่เร็วๆ เพื่อไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนเสียที เขาสาบาน ครั้งนี้เขาจะต้องทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รู้ถึงความร้ายกาจของตัวเองให้ได้!

ดังนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ ตามจ้าวหลงไปยังค่ายทหารกองสามพร้อมกับสหายทั้งสองคน

ตลอดทางที่เดินมาซ่งเชวียมีใจอยากจะถาม แต่พอชั่งน้ำหนักดูเขาก็เลือกบอกเป็นนัยให้หญิงสาวที่อยู่ข้างกายเป็นคนเปิดปาก หญิงสาวผู้นี้อยู่กับซ่งเชวียมานานจนรู้ใจเขาเป็นอย่างดี นางจึงเอ่ยถามเรื่องที่เกี่ยวกับผู้บังคับกองหมื่นตามความต้องการของซ่งเชวีย

“พวกเจ้าไม่รู้หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าผู้แซ่จ้าวก็ไม่พูดมากแล้ว เพราะไม่แน่ว่า…ไต้เท้าของข้าอาจจะรู้จักพวกเจ้า” จ้าวหลงยิ้ม สิ้นสุดบทสนทนานี้แล้วพาพวกซ่งเชวียสามคนที่คลางแคลงไม่เข้าใจกลับไปยังค่ายพัก

ขณะที่ซ่งเชวียสามคนเปลี่ยนตราประทับ การบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงจุดอันเป็นกุญแจสำคัญ ในห้องลับ หลังจากวัตถุดิบฟ้าดินที่อยู่รอบกายเขากลายร่างมาเป็นพลังชีวิตมหาศาลที่ผสานรวมเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยแววเด็ดเดี่ยว พอกัดฟัน ทันใดนั้นพลังชีวิตเหล่านั้นก็ไหลผ่านเส้นชีพจรทั่วร่างของเขามารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง

ประดุจมหาสมุทรที่ผิวน้ำซัดตัวจนค่อยๆ กลายมาเป็นคลื่นพิโรธลูกยักษ์ และท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่นั้น คลื่นพิโรธก็ไหลทะลักทลายมาจากเส้นชีพจรหลายจุดทั่วร่าง สุดท้ายจึงมารวมตัวกันอยู่ที่กลางกระหม่อมของเขา กลายมาเป็นมังกรคะนองน้ำที่น่าครั่นคร้ามตัวหนึ่งซึ่งพุ่งชนเข้าไปยังเส้นชีพจรจุดสุดท้ายของเขา

ตูมๆๆ!

เสียงกัมปนาทที่คนนอกไม่ได้ยิน ทว่าในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ภายใต้เสียงดังตูมตามนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเยือกไปทั้งร่าง ลมหายใจหยุดชะงัก ข้างหูคล้ายได้ยินเสียงลั่นเปรี๊ยะๆๆ

เมื่อถูกพลังชีวิตในร่างพุ่งชนอย่างบ้าคลั่ง จุดที่เหมือนประตูบานหนึ่งในเส้นชีพจรส่วนศีรษะของเขาก็พลันแตกกระจายออก ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามต่ำๆ มือทั้งคู่ทำมุทราแล้วโบกสะบัดออกไปอีกครั้ง วัตถุวิเศษฟ้าดินมากกว่าเดิมก็บินออกมา พอถูกเขาสูดเข้าปากก็ออกฤทธิ์พุ่งชนอีกรอบทันที

คราวนี้ยิ่งน่าตกใจ ท่ามกลางเสียงอึกทึก จุดอุดตันของเส้นชีพจรจุดสุดท้ายในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อมันพังทลาย เส้นชีพจรก็เปิดออกกว้าง พลังชีวิตไหลรินไปทั่วร่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเทิ้ม เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเมื่อเส้นชีพจรทั่วร่างเปิดโล่งไร้สิ่งกีดขวางก็มีผนึกอย่างหนึ่งที่มาจากเรือนกายของเขาเอง ซึ่งรวมตัวกันอยู่ในร่างกายของเขาเป็นคล้ายภูเขาลูกใหญ่ที่กดทับลงมา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

เดิมทีการกดทับนี้ก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้เขาสัมผัสไม่ถึงมัน ทว่าตอนนี้เมื่อทั่วร่างโปร่งโล่ง แรงกดทับจึงชัดเจนขึ้นมา ความรู้สึกนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา ปีนั้นตอนที่ฝึกหนังคงกระพัน เนื้อคงกระพัน เขาก็ล้วนเคยมีประสบการณ์มาก่อน

“พันธนาการที่สามของร่างกาย!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้นน้อยๆ เขารู้ดี เมื่อเกิดความรู้สึกนี้นั่นก็หมายความว่าตนได้สัมผัสเข้ากับพันธนาการชั้นที่สามแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version