บทที่ 528 เขายังเด็ก
เขานึกถึงเรื่องราวในอดีต นับตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายคอยข่มหัวตนมาโดยตลอดราวกับโชคร้ายที่พัวพัน ปกคลุมไปทั่วกาย ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
วิถีฟ้าในเหวกระบี่อุกกาบาตถูกแย่งชิง จนกระทั่งเมื่อมาอยู่ในสำนักโลหิตอีกฝ่ายก็กลายมาเป็นบุตรโลหิตได้อย่างกร้าวแกร่ง และภายหลังตอนอยู่ในสำนักสยบธาร การดิ้นรนของตนครั้งแล้วครั้งเล่า ความพยายามที่จะโจมตีกลับไปหลายต่อหลายครั้งกลับต้องล้มเหลวทุกครั้ง
ตอนอยู่ในนครฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นั่นคือการดิ้นรนอีกครั้งหลังจากที่ตนปลุกเร้าความกล้าหาญให้กับตัวเอง ทว่า…ก็ยังคงถูกป๋ายเสี่ยวฉุนข่มทับ หลังจากมาอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขามุมานะอีกครั้ง กระนั้นก็ยังคงถูกกดหัวอยู่ดี
จนกระทั่งลงเรือรบ เหยียบขึ้นมาบนแผ่นดินที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ซ่งเชวียที่ข่มกลั้นความอึดอัดคับข้องใจมานานก็ได้ระเบิดศักยภาพแฝงทั้งหมดของตัวเองออกมา นั่นก็เพื่อให้ตัวเองได้ลุกผงาดขึ้นที่นี่ และนับแต่นี้ก็จะได้ข่มหัวป๋ายเสี่ยวฉุน ให้เขาคุกเข่าอ้อนวอนอยู่เบื้องหน้าตน แล้วตนก็จะได้เหยียบอีกฝ่ายให้จมดิน!
เขายังถึงขั้นวาดหวังไว้ว่าตอนที่ตัวเองเหยียบลงไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาจะชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนและบอกกับอีกฝ่ายว่าหลังจากนี้หากเห็นตนเมื่อไหร่ อีกฝ่ายก็ต้องคลานเข่าเข้าพบและคลานเข่าจากไปทุกครั้ง!
แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้แต่ฝันเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า…เมื่ออยู่ที่นี่ตนจะถูกข่มหัวอีกครั้ง อีกทั้งยังไม่ใช่การข่มแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่นี่เหมือนกับฟ้าถล่มดินทลายลงมา…ใช้ตัวตนของผู้บังคับกองหมื่นเยื้องกรายลงมาบนโลกของตน
ซ่งเชวียคิดถึงทุกอย่างนี้ น้ำตาแห้งความคับแค้นและเศร้าอาดูรก็ไหลพรากลงมาอย่างมิอาจสะกดกลั้นได้
เห็นว่าซ่งเชวียน้ำตาตก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบเดินออกมาอีกหลายก้าวแล้วตวาดใส่ลูกน้องของตัวเองที่อยู่รอบกาย
“พวกเจ้าทำอะไรกัน เก็บเอาปราณดุร้ายของพวกเจ้ากลับคืนไปเดี๋ยวนี้ นี่คือหลายชายของข้า พวกเจ้าอย่าทำให้เขาตกใจสิ เขายังเด็กนัก” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยกับนักพรตรอบกาย ก่อนจะหันมามองซ่งเชวียด้วยสายตาอ่อนโยน ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง แล้วยื่นมือออกมาลูบคลำศีรษะของซ่งเชวีย
ได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดว่าตัวเองยังเป็นเด็ก หน้าผากของซ่งเชวียก็ปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นสีเขียว ทั้งยังคำรามเสียงดังด้วยความเจ็บแค้น
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” เขากระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ เซถอยหลังหน้าหงายเพริดแล้วหมดสติไปทันที
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาสลบไป ครั้งแรกคือตอนอยู่นครฟ้าด้านล่างสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา…
เช้าวันที่สอง เมื่อซ่งเชวียฟื้นขึ้นมา เขาก็มองไปรอบด้านด้วยใบหน้าดำทะมึน กัดฟันกรอดหมายจะไปจากที่นี่ แต่เพิ่งเดินออกมานอกห้องก็มีนักพรตสามคนมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขาทันที หนึ่งในนั้นก็คือจ้าวหลง จ้าวหลงมองซ่งเชวียด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจขุ่นเคืองเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียงเย็นกล่าว
“ไต้เท้าปิดด่านต่อแล้ว ทว่าก่อนที่ท่านจะปิดด่านได้มีคำสั่งว่าเจ้าถูกเกณฑ์ตัวมาประจำการแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือหนึ่งในทหารคนสนิทของท่านไต้เท้า ห้ามเกิดความเข้าใจผิดต่อท่านอีก!”
ซ่งเชวียเงยหน้าขึ้นทันทีทันใด ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาเผยความดุดัน
“ซ่งเชวีย จงจดจำฐานะของเจ้าให้ดี กิริยาสามหาวอย่างที่เจ้าทำเมื่อวาน หากเปลี่ยนมาเป็นกองอื่น โดนโทษประหารก็ยังเป็นไปได้ ท่านไต้เท้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน ไม่เพียงแต่ไม่ลงโทษเจ้า ยังโปรดปรานในตัวเจ้าอย่างมากด้วย…ทว่าข้าจ้าวหลงในฐานะที่เป็นหัวหน้าหทารคนสนิทของท่านไต้เท้าจะไม่มีทางยอมให้ใครแสดงกิริยาไม่เคารพต่อท่านไต้เท้าเด็ดขาด!”
“หากเจ้ายังกระด้างกระเดื่องไม่เลิก เพื่อท่านไต้เท้า ข้าก็คงทำได้แค่ส่งเจ้าเดินทางไปยมโลกเท่านั้น” จ้าวหลงมองซ่งเชวียด้วยสายตาลึกล้ำ เรื่องเหล่านี้ต่อให้เขาไม่ได้สอบถามป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังดูออกถึงที่มาที่ไประหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวีย และก็อย่างที่เขากล่าวไว้ ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าองค์รักษ์คนสนิท เรื่องบางเรื่องเขาจำเป็นต้องระงับก่อนที่มันจะลุกลาม หากซ่งเชวียผู้นี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ต่อให้วันหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะลงโทษ เขาก็จะต้องลงมือสังหารคนผู้นี้ให้ได้!
หลายปีที่เขาอยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มองการติดตามป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเกียรติยศสูงสุดของตนไปแล้ว และจะไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นป๋ายเสี่ยวฉุนเด็ดขาด!
ในดวงตาของเขาไม่มีไอสังหาร แต่ซ่งเชวียกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการข่มขู่ที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าไอสังหารที่จ้าวหลงแสดงออกมาภายนอก เมื่อสายตาของอีกฝ่ายสะท้อนอยู่ในจิตใจของตน ร่างของซ่งเชวียก็พลันสั่นเยือก เขาเข้าใจทันทีเลยว่าที่อีกฝ่ายพูด คือเอาจริง…
เมื่อเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลังจากที่ซ่งเชวียกัดฟันข่มอารมณ์เริ่มทำความคุ้นเคยกับการกลายมาเป็นทหารคนสนิทของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ออกจากด่านมาอีกครั้ง
ครึ่งเดือนมานี้ เขาควบคุมวิชาอมตะมิวางวายของตัวเองให้มั่นคงได้แล้ว ทำให้ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือตบะของตนต่างก็อยู่ในสภาวะพรั่งพร้อมสูงสุด ขณะเดียวกันที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือท่ามกลางการปิดด่านครึ่งเดือนนี้ของเขา เขาก็ได้ทำความคุ้นชินอย่างต่อเนื่องกับความรู้สึกที่เหมือนทุกอย่างบนโลกใบนี้เคลื่อนที่ช้าลงหลังการร่ายความเร็วเต็มกำลัง
จนกระทั่งบัดนี้ในที่สุดความรู้สึกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อีกต่อไป เขาถึงได้ออกจากด่านอีกครั้ง ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือของกองที่สาม รับฟังพวกผู้บังคับกองพันที่เข้ามารายงานการปฏิบัติหน้าที่ตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าจะอย่างไรตนก็คือผู้บังคับกองหมื่นแล้ว ดังนั้นจึงรับฟังอย่างตั้งใจมาก จนกระทั่งผู้บังคับกองพันแต่ละคนรายงานจบ จ้าวหลงก็เข้ามาคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะรายงานเรื่องราวทั้งในและนอกกำแพงเมืองรวมไปถึงเรื่องของกองที่สามในช่วงที่ผ่านมา
หลิวลี่ยืนอยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุน กำลังบีบนวดไหล่ให้กับเขา นักพรตหญิงหน้าตางดงามผู้นี้เป็นทหารคนสนิทของป๋ายเสี่ยวฉุนมาหลายปี ปกติมีท่าทีเย็นชาต่อทุกคน ต่อให้อยู่ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังเป็นเช่นนี้ ทว่าทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเหนื่อยล้า นางจะต้องเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของเขา คอยบีบนวดไหล่เพื่อให้ร่างกายของเขาผ่อนคลาย
“ในตำหนักใต้ดิน จนกระทั่งวันนี้ได้ค้นพบอุโมงค์ขนาดใหญ่ยักษ์นับร้อยแห่งแล้ว ทุกแห่งล้วนมีโครงกระดูกโครงหนึ่งที่น่าตะลึงอยู่ด้านใน แม้แต่วิญญาณสัตว์ฟ้าก็ยังปรากฏถึงสองดวง…ถูกฝั่งเราแย่งมาได้ดวงหนึ่ง อีกดวงหนึ่งแดนทุรกันดารได้ไป
อีกทั้งเมื่อครึ่งเดือนก่อนก็มีข่าวส่งกลับมาแล้วว่าดูเหมือนเบื้องใต้ตำหนักใต้ดินนับร้อยแห่งนั้นจะมี…พื้นที่ที่น่าตะลึงมากกว่านั้นดำรงอยู่ และตอนนี้ก็เริ่มมีคนไม่น้อยตามหาทางเข้าไปที่นั่นกันแล้ว” จ้าวหลงเอ่ยเสียงเบา กล่าวจบเขาก็พูดขึ้นมาอีกประโยคคล้ายไม่ใส่ใจมากนัก
“และยังมีองค์รักษ์คนใหม่ซ่งเชวียที่หลายวันมานี้แสดงออกพอใช้ได้ ทว่าคนผู้นี้มีความกบฏอยู่ในใจ หลายครั้งที่เผยท่าทีไม่เชื่อฟัง ข้าน้อยจึงวางแผนว่าจะส่งเขาไปฝึกประสบการณ์ในตำหนักใต้ดินของแดนทุรกันดารเสียหน่อย”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองจ้าวหลง ส่ายหัวแล้วยิ้มให้
“พอแล้วน่า เดี๋ยวก็กลายเป็นส่งเขาไปตายซะกัน จะอย่างไรข้าก็เป็นอาเขยของเขา เด็กน้อยน่ะ เกเรเอาแต่ใจบ้างเป็นธรรมดา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวเจ้าไปเตรียมการเสียหน่อย อีกสองสามวันพวกเราจะไปที่นครเขตแดนกัน หลังจากที่ข้าได้กลายเป็นผู้บังคับกองหมื่นก็ควรจะเกณฑ์ตัวศิษย์แห่งความภาคภูมิใจบางส่วนเข้ามาอยู่ในกองสามของเราเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ แผนการนี้ก่อรูปก่อร่างอยู่ในใจเขามานานมากแล้ว คราวนี้พอได้เจอกับซ่งเชวีย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องทำให้คนมากกว่าเดิมตะลึงงันจนลูกตาแทบหลุดจากเบ้าเพราะตัวตนของเขาให้ได้
จ้าวหลงได้ยินประโยคนี้ก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที กำลังจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมแต่ก็มองออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หลังจากเงียบไปครู่จึงรับคำว่าขอรับ แล้วเริ่มไปเตรียมการทันที ซึ่งความปลอดภัยของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ดังนั้นการออกไปข้างนอกคราวนี้ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถพาคนของทั้งกองไปได้ แต่กลับระดมนักพรตทีเดียวห้าพันคนให้ติดตามไปด้วยกัน ผู้บังคับกองพันสิบคนเองก็จัดหาคนติดตามไปด้วยห้าคน
หลายวันหลังจากนั้น แผ่นหยกรายงานเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะออกนอกกำแพงเมืองเพื่อเดินทางไปเกณฑ์ทหารใหม่ที่นครเขตแดนก็ส่งมาถึงมือป๋ายหลิน ผู้บังคับกองหมื่นออกเดินทางไม่ใช่เรื่องเล็ก จำเป็นต้องได้รับคำอนุญาตจากแม่ทัพก่อนถึงจะได้
หลังจากที่ป๋ายหลินรับแผ่นหยกมาดูก็เข้าใจทันทีว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องกะจะออกไปอวดอ้างบารมีด้านนอก เพื่อให้สหายร่วมรุ่นที่มาพร้อมกับเขาในปีนั้นได้รู้ว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนแน่ๆ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่แค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่ปรากฏตัว ยังรวมไปถึงผู้บังคับกองพันหลายคนที่ดำรงตำแหน่งในอดีตด้วย…
หลังจากนึกถึงนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายหลินก็ถอนหายใจ ไม่ได้ห้ามปราม แต่ส่งข้อความเสียงไปกำชับป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังสอนวิธีจัดการเรื่องราวบางอย่างให้แก่เขา ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ฟังถึงกับเบิกตากว้างอ้าปากค้าง รู้สึกคาดคิดไม่ถึงว่าป๋ายหลินจะมีประสบการณ์แบบนี้ได้
“พวกเราสังหารศัตรูอยู่แนวหน้า มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ความนัย แต่เจ้าเองก็อย่าให้มันมากเกินไปนัก…” ป๋ายหลินกำชับอีกหลายประโยคถึงได้ยอมอนุญาตให้ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอก
ผ่านไปอีกสองวัน หลังจากที่ขั้นตอนทุกอย่างดำเนินการเสร็จสิ้น ประตูใหญ่ของกำแพงเมืองที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรทงเทียนก็เปิดออกช้าๆ เมื่อประตูใหญ่เปิดออกก็มีนักพรตสวมเสื้อเกราะสีดำหลายพันคนซึ่งบนร่างอบอวลไปด้วยไอสังหารพุ่งทะยานออกมาทันที ท่ามกลางนักพรตเหล่านี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ตรงกลาง สวมชุดเกราะสีทองอร่าม มองดูแล้วมีบารมีน่าเกรงขามอย่างยิ่งยวด เขายกมือขวาขึ้นโบกด้วยความพึงพอใจหนึ่งครั้ง กองทัพใหญ่ก็ยาตราออกไปด้านหน้า
จ้าวหลงและหลิวลี่คอยคุ้มกันอยู่รอบกายเขา แม้แต่ซ่งเชวียก็ยังถูกพามาด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังเดินอยู่ด้านข้างด้วยความไม่เต็มใจ นักพรตกลุ่มหนึ่งที่มีพอห้าพันคนต่างกระจายตัวกันอยู่กลางอากาศตามการจัดการของผู้บังคับกองพันในกองของตัวเองไม่ต่างจากการจัดวางกระบวนทัพ ซ้ายขวาหน้าหลังมีการคุ้มกัน ทั้งยังมีคนที่ถูกส่งออกไปล่วงหน้าเพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่ห่างไปไกลด้วยความเข้มงวด ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกพิทักษ์ให้อยู่ตรงกลาง กองทัพใหญ่ถึงได้เคลื่อนพลไปข้างหน้าด้วยพลานุภาพสะท้านสะเทือนฟ้าดิน
ต่อให้อยู่ห่างไปมากก็ยังสัมผัสได้ถึงปราณดุร้ายน่ากริ่งเกรงที่มาจากตัวของทุกคน!
ซ่งเชวียยามนี้ก๊อกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน เขามองทุกอย่างที่อยู่รอบกายก็ยิ่งเข้าใจนักพรตของกำแพงเมืองเพิ่มขึ้นมาอีกนิด เขาลองเปรียบเทียบดูก็ค้นพบอย่างสิ้นหวังว่า หากตนเจอกับกองทัพใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่าหากโดนโจมตีก็คงแหลกลาญไปทั้งกายและจิตในชั่วพริบตาเดียว
และที่ยิ่งทำให้เขาขมขื่นก็คือแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งคำเดียวหรือแค่กวาดตามองไป คนเหล่านี้ก็พร้อมลงสนามต่อสู้เพื่อพลีชีพให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุนทันที
ในบรรดานักพรตห้าพันคนจะเป็นตบะสร้างฐานรากหรือรวมโอสถก็มีครบหมด แถมพวกกลุ่มของผู้บังคับกองพันยังมีนักพรตก่อกำเนิดคอยให้การดูแล ทำให้ทุกที่ที่นักพรตครึ่งกองที่สามเยื้องกรายผ่าน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายของในพื้นที่กำแพงเมืองก็ดีหรือพืชพรรณพิศดารก็ช่าง ทุกสรรพสิ่งล้วนตัวสั่นระริก ไม่กล้าเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
ต่อให้เป็นสัตว์เมฆาที่แปลกประหลาดก็ยังไม่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านักพรตแห่งกำแพงเมืองทั้งห้าพันคนนี้ เพราะนั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ
ทั้งกองทัพบุกไปด้านหน้าอย่างไร้อุปสรรคกีดขวาง ระยะทางขยับเข้าไปใกล้นครเขตแดนมากขึ้นเรื่อยๆ