Skip to content

A Will Eternal 537

บทที่ 537 มารป๋ายมาแล้ว

กองทัพใหญ่ที่มีคนสามหมื่นคนห้อตะบึงไปตลอดทาง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในกลุ่มคนใจอยากจะสวมหน้ากาก ทว่ารอบด้านมีคนอยู่มากเกินไป เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รู้ว่าหากสวมหน้ากากที่นี่คงไม่สะดวก ดังนั้นจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง หน้านิ่วคิ้วขมวดติดตามทุกคนเคลื่อนตัวไปด้านหน้า

ตลอดทางมานี้ในสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดถึงวิธีการมากมายที่สามารถเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของตัวเอง แต่กลับคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พอคิดได้ก็คือตนต้องเขาไปในเขาวงกตก่อนใคร พอเข้าไปแล้วก็ต้องสวมหน้ากากเปลี่ยนแปลงตัวตนทันที

“คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดกลัดกลุ้ม ยามนี้ได้แต่กัดฟันเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยสีหน้ามืดทะมึน

ขณะที่เฉินเห้อเทียนพานักพรตสามหมื่นคนร่ายใช้ความเร็วสุดขีดเพื่อมุ่งหน้าจากกำแพงเมืองไปยังเขาวงกตที่มีลำแสงสีดำเก้าลำ ทางฝ่ายของแดนทุรกันดารก็ทำเช่นเดียวกัน

เมื่อเทียบกับวิญญาณคนฟ้าแล้ว ดูเหมือนว่าสงครามจะไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะอย่างไรซะที่กำแพงเมืองแห่งนี้สงครามสามารถเปิดฉากขึ้นได้ตลอดเวลา อีกทั้งหลายปีมานี้ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาต่อสู้กันมาแล้วกี่ครั้ง

ทว่า…วิญญาณคนฟ้า จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ที่แดนทุรกันดารค้นพบก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าทุกอย่างต้องทำเพื่อวิญญาณคนฟ้าเป็นหลัก อีกอย่างทางฝ่ายกำแพงเมืองกังวลว่าเขาวงกตนี้อาจจะเป็นกับดักอย่างหนึ่ง แต่สำหรับหงเฉินหนวี่แล้ว นับตั้งแต่ที่ลำแสงสีดำพวยพุ่งขึ้นมา ในใจนางก็มีการคาดเดาอย่างหนึ่งที่แม้แต่นางเองก็ยังใจสั่น

จนกระทั่งหลังจากที่ลำแสงสีดำทั้งเก้าปรากฏขึ้นครบถ้วน การคาดเดาของนางก็กลายมาเป็นความจริง!

“มีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนว่าที่นั่นจะเป็นหนึ่งในสิบสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สอง!” สีหน้าของหงเฉินหนวี่แสดงความสนใจ มองไกลๆ มายังจุดที่ตั้งของลำแสงสีดำทั้งเก้า ในสมองของนางก็มีประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งที่ปีนั้นบิดาเคยเล่าให้ฟังลอยขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ตอนที่เทียนจุนแห่งเกาะทงเทียนยังไม่ลุกขึ้นมาก่อกบฏ โลกใบนี้ไม่ได้เรียกว่าแผ่นดินใหญ่ทงเทียน แต่เรียกว่าแผ่นดินใหญ่จักรพรรดิขุย บนแผ่นดินใหญ่จักรพรรดิขุยมีจักรพรรดิอยู่สองคน แบ่งออกเป็นจักรพรรดิขุยและจักรพรรดิหมิง

จักรพรรดิขุยเป็นนายแห่งแม่น้ำบรรพชน จักรพรรดิหมิงเป็นนายแห่งแม่น้ำอเวจี! แม่น้ำบรรพชนก็คือแม่น้ำทงเทียนของทุกวันนี้!

คนหนึ่งเป็นนายแห่งชีวิต คนหนึ่งเป็นนายแห่งความตาย!

คนหนึ่งคือเจ้าแห่งโลก อีกคนหนึ่งกลับเป็นเจ้าแห่งความศรัทธา!

ก่อนหน้าที่จักรพรรดิขุยรุ่นที่สองจะสิ้นอายุขัยได้ระดมกำลังของผู้คนให้สร้างสุสานใต้ดินขึ้นมาสิบแห่ง นอกจากสุสานแรกที่เป็นที่ฝังโครงกระดูกของเขาซึ่งไม่มีทางเปิดได้ตลอดกาลแล้ว สุสานใหญ่อีกเก้าแห่ง แต่ละแห่งล้วนมีกรุสมบัติที่ฝังไปพร้อมกับคนตายอย่างน่าตะลึง ทั้งยังทิ้งการสืบทอดต่างๆ เอาไว้ด้วย

นั่นก็เพื่อหากวันใดวันหนึ่งที่คนรุ่นหลังของเขาเจอกับอิทธิพลที่ไม่อาจต้านทานได้ คนรุ่นหลังจะสามารถลุกผงาดขึ้นมาอีกครั้งเพราะสุสานใต้ดินเหล่านี้ อีกทั้งที่ตั้งของสุสานใต้ดินทั้งเก้าล้วนมีผนึกปิดเอาไว้ หากไม่มีแผนที่บอกรายละเอียด คนนอกก็แทบจะหาไม่เจอ

หลังจากนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับที่ตั้งของสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สองก็กลายมาเป็นความลับที่สืบทอดกันเองของจักรพรรดิขุยแต่ละรุ่น ทว่าทุกอย่างนี้เมื่อมาถึงยุคของจักรพรรดิขุยรุ่นที่ห้ากลับมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น!

จักรพรรดิขุยรุ่นที่ห้าเสียชีวิตด้วยอาการประหลาด ทั้งยังเกิดขึ้นกะทันหัน ไม่ทันได้ส่งมอบความลับนี้ ทำให้ที่ตั้งสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สองกลายมาเป็นปริศนา คนรุ่นหลังไม่มีใครรับรู้

จนกระทั่งมาถึงจักรพรรดิขุยรุ่นที่เก้า ทงเทียนลุกผงาด กบฏก่อจลาจลไปทั่วฟ้าดินและเข้ามาแทนที่ สายของจักรพรรดิขุยที่หลงเหลืออยู่จึงหนีเข้ามาอยู่ในแดนทุรกันดาร เรื่องที่เกี่ยวกับสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สองก็ยิ่งกลายมาเป็นตำนาน

“นอกเขาวงกตมีถ้ำหลายสิบแห่งล้อมไว้เป็นชั้นๆ ด้านในของถ้ำแต่ละแห่งล้วนมีโครงกระดูกของสัตว์ร้ายที่เคยมีตบะเทียบเท่าคนฟ้า…และนอกเขาวงกตนั้นก็มีป้ายหิน…บอกถึงการประลอง บอกถึงวิญญาณคนฟ้า วิธีการเช่นนี้นอกจากเป็นหนึ่งในสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สองแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าใครจะทำได้อีก!” สีหน้าหงเฉินหนวี่เผยความตื่นเต้น พอนึกถึงว่าด้านในนั้นอาจมีสุสานใต้ดินของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สองอยู่ หัวใจนางก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง

เรื่องนี้นางไม่ได้บอกใคร แต่นางเองก็รู้ดีว่าคนนอกอาจไม่รู้เรื่องของจักรพรรดิขุยรุ่นที่สอง ทว่าบนป้ายศิลานอกเขาวงกตได้บอกชัดถึงวิญญาณคนฟ้า นี่ก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารใจสั่น หากนางยื่นมือเข้าแทรกจะยิ่งกลายมาเป็นที่น่าสงสัย

นางจึงถือโอกาสไม่ยุ่งวุ่นวาย ปล่อยให้ผู้ฝึกวิญญาณคนใดก็ตามที่อยากไปล้วนสามารถเข้าไปเสี่ยงดวงในเขาวงกตนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ยังช่วยเป็นการอำพรางให้แก่นางได้ด้วย เพราะตัวนางเองก็จะแอบเดินทางไปยังเขาวงกตนั้นเช่นกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่ผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองของพื้นที่แห่งนี้ต่างก็พากันพูดถึงวิญญาณคนฟ้า แต่ละคนจึงฮึกเหิมในฉับพลัน ห้อตะบึงมายังจุดที่ตั้งของเขาวงกตจากสี่ด้านแปดทิศ

ในบรรดานี้มีคนไม่น้อยที่ไม่แม้แต่จะเคยลงสนามรบ ไม่อยู่ร่วมกับขั้วอิทธิพลใดๆ เหมือนผู้ที่ฝึกตนด้วยตัวเอง ซึ่งพวกเขาต่างก็พากันเฮโลไปที่นั่น

บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเหลือง นอกเขาวงกตมีเงาร่างมากมายพุ่งมาจากสี่ด้านแปดทิศด้วยความเร็วสูงสุด เพราะยามสนธยายังไม่มาถึง เขาวงกตจึงยังไม่เปิด พวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่เข้ามาใกล้ที่ไม่ว่าจะรวมกลุ่มสามคนห้าคน หรืออยู่เพียงลำพังต่างก็รอคอยอยู่ใกล้ๆ อย่างเงียบเชียบ

เมื่อยามสนธยาใกล้จะมาเยือน ทิศทางฝั่งกำแพงเมืองก็มีเสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว รุ้งยาวสามหมื่นเส้นดึงดูดความสนใจจากพวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่อยู่รอบๆ เขาวงกตทันที พวกเขาพากันเงยหน้าขึ้น หลังจากมองเห็นนักพรตสามหมื่นคนที่อยู่บนนภากาศ ในดวงตาของผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองจำนวนไม่น้อยก็เปล่งไอสังหาร

“นั่นมันพวกกบฏ!”

“หึ พวกกบฏกำแพงเมือง พวกเขามากันไม่น้อยเลยนี่”

“แล้วอย่างไรแล้ว ที่นี่คือแดนทุรกันดาร คือสถานที่ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเรา!” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ แม้ว่านักพรตที่มาจากกำแพงเมืองจะมีมาก แต่นักพรตของแดนทุรกันดารกลับมากยิ่งกว่า พวกเขาห้อมล้อมอยู่รอบเขาวงกตไว้แน่นขนัด มองดูแล้วน่าจะมีมากนับแสนคน

และขณะที่พวกเขาหันมามองด้วยสายตาเย็นชา นักพรตสามหมื่นคนที่อยู่บนท้องฟ้าก็พลันเยื้องกรายลงมา ผู้นำคือเฉินเห้อเทียน เขากวาดสายตามองรอบเขาวงกตหนึ่งครั้งแล้วแค่นเสียงเย็น

แค่เสียงแค่นเย็นชาของเขาดังออกมา พวกนักพรตแดนทุรกันดารก็รู้สึกเหมือนมีสายฟ้ามาระเบิดอยู่ข้างหู สั่นสะเทือนจนพวกเขาพากันหน้าเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าจำเฉินเห้อเทียนได้

ทว่าเฉินเห้อเทียนเองก็ไม่คิดจะลงมือที่นี่ เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อตนมาถึง ดูเหมือนปราณของหงเฉินหนวี่จะเล็งมายังตน ไม่ว่าจะเขาหรือหงเฉินหนวี่ต่างก็ไม่อยากลงมือต่อกันตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปยังเขาวงกต

ดังนั้นหลังจากที่เฉินเห้อเทียนแค่นเสียงเย็นไปหนึ่งครั้งเขาจึงไม่สนใจสายตาจากพวกนักพรตแดนทุรกันดารที่หันมามองอีก แต่ยืนอยู่นอกเขาวงกต จ้องเขม็งไปยังทางเข้า รอให้ยามสนธยามาถึงเพื่อที่เขาวงกตจะได้เปิดออก

ป๋ายเสี่ยวฉุนซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนทั้งสามหมื่นด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าพวกผู้ฝึกวิญญาณของแดนทุรกันดารจะจำได้ ดังนั้นจึงทำตัวลีบเข้าไปหลบหลังชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่ง ก่อนจะมองตามรอยแยกระหว่างตัวคนเพื่อรีบสำรวจทางเข้าของเขาวงกต นั่นทำให้เขาเห็นว่าที่นี่คือแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง รอบด้านมีหลุมลึกจำนวนมากล้อมรอบ ไม่ค่อยเหมือนกับตอนที่เขามาในปีนั้นเท่าใดนัก

ยามนี้ตรงจุดศูนย์กลางของแอ่งที่ราบขนาดใหญ่ที่สุดมีหลุมอยู่แห่งหนึ่ง ตรงปากหลุมมีม่านแสงสีเทาชั้นหนึ่งปกคลุมคล้ายกำลังปิดด่าน ทำให้คนนอกเข้าไปข้างในไม่ได้ ขณะเดียวกันก็มองไม่เห็นถึงสภาพแวดล้อมภายในด้วย

นอกหลุมนี้มีป้ายศิลาสูงพอสิบจั้งตั้งตระหง่าน ป้ายนั้นให้ความรู้สึกเหมือนผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานราวกับว่ามันอยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว

ด้านบนมีอักษรเขียนไว้เป็นบรรทัด ตัวอักษรเหล่านี้หากใช้สายตามองจะเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่หากรวบรวมตบะมาไว้ตรงดวงตาแล้วมองไปอีกครั้ง ในสมองจะมีข้อมูลที่อยู่บนป้ายศิลาลอยขึ้นมาทันที

“ด้านล่างเขาวงกต มีสถานที่แห่งการประลอง ผู้ที่เดินออกจากเขาวงกต ผ่านการประลองเป็นคนแรก จะได้รับวิญญาณคนฟ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองผ่านๆ อย่างไม่สนใจมากนัก เป้าหมายของเขาไม่ใช่วิญญาณคนฟ้า แต่เป็นการรักษาชีวิตน้อยๆ เมื่ออยู่ในเขาวงกตแห่งนี้…

คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบก้มหน้าลง ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพวกนักพรตแดนทุรกันดารที่อยู่รอบด้านอีก ใจเขากระวนกระวายไม่เป็นสุข พอหางตาเหลือบไปเห็นว่าสายตาของนักพรตแดนทุรกันดารกวาดผ่านมาตรงบริเวณใกล้เคียงกับที่ตัวเองอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งไม่เป็นสุข

“มองไม่เห็นข้า…มองไม่เห็นข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนท่องพึมพำอยู่ในใจ ก่อนจะเปลี่ยนตำแหน่ง ย่อตัวเองให้เล็กลงยิ่งกว่าเดิม

แต่ผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองที่อยู่ที่นี่มีมากเกินไป แถมยังกระจายตัวกันอยู่รอบด้าน ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าก็มีรุ้งยาวพุ่งทะยานมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลบอยู่ในกลุ่มคน แต่นักพรตทั้งสามหมื่นคนนี้สะดุดตาอย่างมาก พวกผู้ฝึกวิญญาณและชนพื้นเมืองแดนทุรกันดารล้วนไล่สายตามองไปทีละคน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลบได้มิดแค่ไหนก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะอย่างไรซะเขาก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองโปร่งแสงไปได้จริงๆ ต่อให้ตอนแรกจะยังไม่มีคนมองเห็นเขา แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนหันมาเจอ ซึ่งต่อให้เขาเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า แต่ปราณนั้นยากจะแก้ไข

นอกเสียจากจะสวมหน้ากาก ทว่ารอบด้านมีสายตาของคนมากมายเกินไป ข่าวที่ตนมาที่นี่คงปิดไว้ไม่ได้ อีกอย่างเจ้าสามตาเองก็คงไม่ยอม อีกฝ่ายต้องป่าวประกาศให้ทุกคนรับรู้แน่นอน เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่แล้ว หากทำให้คนอื่นรู้ล่วงหน้าว่าตนมีความสามารถในการแปลงโฉมก็จะยิ่งเสี่ยงอันตรายมากกว่าเดิม มีเพียงไปใส่หน้ากากในเขาวงกตเท่านั้นถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!

ยามนี้ขณะที่เขากำลังซ่อนตัว ทันใดนั้นห่างออกไปไม่ไกลก็มีผู้ฝึกวิญญาณหนุ่มคนหนึ่งของแดนทุรกันดารที่กวาดสายตามาตามช่องว่างระหว่างตัวของนักพรตทั้งสามหมื่นคนพอดี และดันมองเห็นซีกหน้าด้านข้างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยบังเอิญ

แค่เห็นปราดเดียว ชายหนุ่มผู้นี้ก็เบิกตากว้าง ลมหายใจถี่กระชั้น ขณะเดียวกันเขาก็ยกนิ้วขึ้นชี้มายังตำแหน่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่แล้วแผดเสียงคำราม

“มารป๋าย ข้ามองเห็นมารป๋าย!!”

คำพูดของเขาที่ดังออกมาราวเสียงฟ้าผ่าที่ดังครืนครั่นก้องกังวานไปแปดทิศ นักพรตของแดนทุรกันดารทุกคนที่อยู่นอกเขาวงกตพอได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งตะลึง ก่อนจะพากันหันขวับมองไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มชี้อย่างพร้อมเพรียงกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนร้องโหยหวนอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าตัวเองหลบได้ดีมากแล้ว จะอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นั้นจะตาดีขนาดนี้ แค่เห็นซีกหน้าด้านข้างของตนก็ยังจำได้

ทันใดนั้นสายตามากมายที่เป็นราวกับดาบแหลมคมก็พุ่งเข้ามาทิ่มแทงยังจุดที่เขายืนอยู่ บางคนก็มองไม่เห็น แต่ก็ยังมีคนบางส่วนที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจากในมุมที่แตกต่างกัน!

“มารป๋าย!!”

“มารป๋ายจริงๆ ด้วย เห็นแค่แผ่นหลังเขาข้าก็จำได้ ฮ่าๆ ไม่นึกเลยว่ามารป๋ายจะมาด้วย!”

“เป็นเขาจริงๆ รึนี่!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version