Skip to content

A Will Eternal 557

บทที่ 557 วิญญาณคนฟ้ามาอยู่ในมือ

ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นอย่างรุนแรง เมื่อคิดว่าหากนับรวมวิญญาณคนฟ้าดวงนี้ตนก็เท่ากับมีสามดวงแล้ว แถมทั้งสามดวงนี้ยังต่างธาตุกันด้วย ทว่าวิญญาณคนฟ้าก็หาได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้อีกสองดวงมาครอบครอง แถมยังต้องเป็นคนละธาตุ ดังนั้นจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง

“ช่างเถอะ ข้าใช้วิญญาณสัตว์ฟ้าก่อกำเนิดดีกว่าจะได้มั่นคงหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็มองไปยังป้ายศิลาหินอีกหนึ่งครั้ง ยังคงรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ตัวเองไม่สามารถก่อกำเนิดวิถีฟ้าได้

แต่พอใคร่ครวญว่าคนนอกไม่น่าจะรู้ถึงวิธีการใช้วิญญาณคนฟ้าตามที่เขียนเอาไว้บนป้ายศิลา บางทีเรื่องนี้อาจนำมาเป็นรายงานลับ และไม่แน่ว่าภายหลังก็อาจนำรายงานลับนี้มาแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของบางอย่างที่ตัวเองต้องการได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไปยังป้ายศิลา หมายจะทดลองดูว่าจะสามารถลบตัวอักษรบนป้ายศิลาไปได้หรือไม่ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่พอคนนอกเข้ามาถึงจะได้มองไม่เห็น และเรื่องนี้ก็จะกลายมาเป็นความลับสุดยอดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เพียงคนเดียว

พอทดลองป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบด้วยความตะลึงระคนแปลกใจว่าเนื่องจากตัวอักษรบนป้ายศิลาดำรงอยู่มานานเกินไป ตนออกแรงแค่เล็กน้อยก็สามารถลบเลือนมันออกไปได้นิดหน่อย เขาจึงขยับขึ้นหน้าไปอีกหลายก้าว หมายจะลบทิ้งให้หมดในทีเดียว ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าด้านข้างข้อมูลบรรทัดนี้กลับยังมีตัวอักษรเล็กๆ อีกหนึ่งบรรทัด

“อักษรนี้คือสิ่งที่เราทิ้งเอาไว้ ผู้ที่ทำลายมันต้องได้รับคำสาปแช่งจากเรา…”

“คำสาปแช่ง!!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกกว้าง ร่างสั่นเยือก ขนทั่วตัวลุกชันพร้อมกันหมด มือที่วางเอาไว้บนป้ายศิลาราวกับแตะไปโดนเตาไฟที่ร้อนลวกจนต้องหดกลับทันทีทันใด

“จักรพรรดิขุยรุ่นที่สองนี่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ตัวอักษรเขียนไว้เล็กขนาดนี้หากไม่เข้ามาใกล้ก็มองไม่เห็นเลย…แถมถ้าเจ้าไม่ยอมให้คนอื่นทำลาย มันก็แค่เพิ่มพลังอีกนิดเพื่อไม่ให้ตัวอักษรนี้ถูกทำลาย แค่นี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือไง” ป๋ายเสี่ยวฉุนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่อยากเสี่ยง พอนึกถึงคำว่าสาปแช่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อกสั่นขวัญแขวน หันไปมองซ้ายมองขวาเลิกลั่ก

“เมื่อครู่นี้ข้าแค่ลบไปไม่กี่ตัวเท่านั้น เอ่อ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้ง หลังจากปลอบใจตัวเองก็ล้มเลิกความคิดที่จะลบตัวอักษรทิ้งไป ยอมใช้มือขวาทำมุทราชี้ไปยังป้ายศิลาตามคำบอกที่อธิบายไว้แต่โดยดี

ทันใดนั้นป้ายศิลานี้ก็สั่นสะเทือน ก่อนจะลอยไปด้านหลังช้าๆ วินาทีที่มันลอยห่างออกไป กำไลหยกฟ้าขาวที่อยู่ด้านล่างก็พลันบินออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนจับตามองแต่แรกแล้วจึงยกมือขวาขึ้นคว้ามันมา!

“วิญญาณคนฟ้า ได้มาอยู่ในมือแล้ว!”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคว้ากำไลชิ้นนั้นเอาไว้ได้ พื้นที่การประลองนอกสุสานใต้ดิน ในลูกแสงที่สว่างไสวที่สุดซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของป้ายศิลา หงเฉินหนวี่ที่นั่งขัดสมาธิพลันเบิกตาโพลง ชั่วขณะที่ดวงตาทั้งคู่ของนางลืมขึ้น ลูกแสงที่นางอยู่ก็กลายมาเป็นน้ำวนแล้วดูดร่างของหงเฉินหนวี่เข้าไปด้านใน ก่อนที่นางจะหายวับไป ภาพนี้ทำให้ทุ้กคนที่อยู่รอบด้านร้องฮือฮาขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“บุรพาจารย์หงเฉินหายไปแล้ว!”

“นางน่าจะทำการประลองสำเร็จแล้ว นี่นาง…กำลังไปยังจุดที่มีวิญญาณคนฟ้าแล้ว!”

“น่าเสียดายจริงๆ พวกเราไร้โชควาสนาต่อวิญญาณคนฟ้าแล้ว” ขณะที่ทุกคนรอบด้านถอนหายใจด้วยความปลงอนิจจัง ดวงตาของโจวอีซิงกลับเผยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังหัวเราะร่าเสียงดัง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน คราวนี้เจ้าตายแน่ ฮ่าๆ แม้ว่าข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าด้วยตบะคนฟ้าของบุรพาจารย์หงเฉินเจ้าจะยังหนีรอดไปได้!”

ขณะที่เสียงของคนมากมายดังก้อง ทันใดนั้นป้ายศิลาขนาดใหญ่ยักษของที่แห่งนี้ก็พลันโยกคลอนอย่างแรง เสียงเปรี๊ยะๆๆ ดังสนั่นหวั่นไหว รอยปริแตกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมพลังจิตแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งยังมีรอยแตกใหม่อีกเจ็ดแปดรอยเพิ่มขึ้นจากรอยแตกนั้น

เวลาเดียวกันนั้น เสียงกัมปนาทดุจฟ้าผ่าก็ดังออกมาจากความว่างเปล่าคล้ายมียักษ์ที่มองไม่เห็นคนหนึ่งกำลังโบกหมัดต่อยไปทั่วด้าน ตลอดทั้งพื้นที่การประลองสั่นคลอนอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่เหมือนว่าความว่างเปล่านี้จะพังทลายพลันปรากฏขึ้นในพื้นที่การประลอง ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างพากันหน้าถอดสีด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

“หรือว่าที่นี่จะพังถล่มลงมาแล้ว!”

“รีบหนีเร็ว ที่นี่คือใต้ดิน หากมันพังลงมาพวกเราต้องถูกความว่างเปล่าปลิดชีพให้ตายอยู่ที่นี่!!”

พวกนักพรตที่อยู่ในลูกแสงพากันขวัญกระเจิง เมื่อป้ายศิลาปรากฏรอยปริแตก ลูกแสงที่พวกเขาอยู่ต่างก็บูดเบี้ยวไม่มั่นคง แถมยังมีบางส่วนที่ปรากฏรอยแตกร้าว พอโดนนักพรตที่อยู่ด้านในฝืนกระแทกโจมตีจึงพากันมุดลอดออกมาได้ แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมีปรากฏการณ์พังถล่มเช่นนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็น่าจะต้องเป็นเพราะมีบางคนไปแตะต้องโดนกลไกบางอย่าง ทำให้ทุกอย่างในตำหนักใต้ดินแห่งนี้จะถล่มทลายลงมาแล้วดับทำลายทุกสรรพสิ่งไปพร้อมกันหมด ยามนี้ไม่มีเวลาให้คิดมาก ใครก็ตามที่สามารถดิ้นรนฝ่าออกมาจากในลูกแสงได้ต่างก็เร่งใช้ความเร็วสูงสุดเผ่นหนีไปรอบทิศทาง พยายามจะหาทางออกให้เจอ

โจวอีซิงเองก็ฉีกกระชากลูกแสงของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก พอออกมาได้ก็เริ่มตามหาทางออกพร้อมกับคนหนึ่งพันกว่าคน ทว่าไม่นานพวกเขาก็ค้นพบอย่างสิ้นหวังว่าที่นี่…ไม่มีทางออก!

เฉินเห้อเทียนเองก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย บัดนี้ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก นัยน์ตาฉายประกายแสงดุเดือด พลันเงยหน้าขึ้น ก่อนจะบินทะยานสู่ด้านบนแล้วระเบิดตบะคนฟ้าออกมา หมายจะทำลายความว่างเปล่าเบื้องบนเพื่อออกไปจากที่นี่ให้ได้

ท่ามกลางเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว ความว่างเปล่าตรงจุดที่เฉินเห้อเทียนลงมือเกิดบิดเบือนกลายมาเป็นรอยเว้าเข้า ทว่าไม่นานมันก็เด้งกลับคืนสู่สภาพปกติ การพังถล่มยิ่งรุนแรงมากขึ้น ป้ายศิลานั้นมีหลายส่วนที่หลุดลอกออกมา ความว่างเปลารอบด้านถึงกับมีฟองอากาศมืดสลัวหลายลูกผุดขึ้น นักพรตบางส่วนที่หลบไม่ทันก็จะต้องร้องโหยหวนไปพร้อมกับเรือนกายที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ กายดับจิตมลายสูญ

เฉินเห้อเทียนหน้าเปลี่ยนสี เขามองออกว่าด้วยพลังในการต่อสู้ของตัวเองคนเดียวย่อมไม่สามารถเขย่าคลอนที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปาก

“ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกำแพงเมืองหรือแดนทุรกันดาร ลงมือพร้อมกัน ฝ่าออกไปจากที่นี่พร้อมข้าผู้อาวุโส!”

เมื่อคำพูดของเฉินเห้อเทียนดังออกมา ทุกคนที่อยู่ที่่นี่ต่างก็รู้ดีว่าเวลากระชั้นชิดจึงไม่สนใจอีกแล้วว่าตัวเองอยู่ฝ่ายไหน ทุกคนร่วมมือกันร่ายเวทอภินิหารตามคำบัญชาการของเฉินเห้อเทียนอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้ความว่างเปล่าที่เป็นรอยเว้าเข้ายิ่งมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ…

ขณะที่สถานที่ประลองส่ายไหวอย่างรุนแรง ในเขาวงกตก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กำแพงเขาวงกตที่ก่อนหน้านี้มิอาจทำลายได้บัดนี้กลับเกิดรอยปริแตกขึ้นมากะทันหัน เมื่อรอยร้าวแผ่ขยายไปทั่ว ใบหน้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างในนั้นก็พากันร้องโหยหวน ทำท่าเหมือนจะหนีออกมาจากในกำแพง แต่กลับมิอาจทำได้

ตลอดทั้งตำหนักใต้ดินโยกคลอนโงนเงนประหนึ่งเขาวงกตนี้ได้กลายมาเป็นกล่องใบหนึ่งที่อยู่ในมือคนซึ่งถูกคนเขย่าอย่างต่อเนื่อง พวกนักพรตและผู้ฝึกวิญญาณจำนวนไม่มากที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดอยู่ในเขาวงกตและยังคงตามหาทางออกล้วนพากันตกตะลึง แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี พยายามรั้งร่างกายของตัวเองให้อยู่กับที่ จิตวิญญาณสะท้านสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจของพวกเขาถี่กระชั้น หัวใจของทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันรุนแรงที่ราวกับฟ้าจะถล่มดินจะทลายนี้

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง!”

“บัดซบ ยังไม่ทันหาทางออกเจอก็ต้องมาตายอยู่ตรงนี้แล้วหรือ!”

ในเขาวงกตมีเสียงคำรามเดือดดาลดังออกมาจากหลายจุด เสียงคำรามเหล่านั้นแฝงเร้นไว้ด้วยความเจ็บแค้นและสิ้นหวัง

เสินซ่วนจื่อเองก็อยู่ในเขาวงกตด้วย ยามนี้เขากำลังมองกำแพงรอบกายที่ยุบถล่มลงมา เขายังถึงขั้นมองเห็นหมวกแดงจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังกรีดร้องหนีกระเจิงไปทั่วด้านด้วย

“จบกันๆ…” ขณะที่เสินซ่วนจื่อกำลังขมขื่น ในพื้นที่อีกจุดหนึ่งของเขาวงกตซึ่งอยู่ใกล้กับทางเข้าของพื้นที่การประลองมากที่สุด ซ่งเซวียยืนอยู่ตรงนั้นพรอมยิ้มสมเพชตัวเอง ก่อนหน้าที่เขาวงกตนี้จะพังถล่ม เขาตระหนักได้ว่าเบื้องหน้าก็คือทางออก ตอนนั้นเขาตื่นเต้นอย่างสุดประมาณ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกจากทางออก อยู่ๆ เขาวงกตกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

“หรือว่าข้าซ่งเซวียจะต้องถูกฝังร่างอยู่ในเขาวงกตแห่งนี้!!” ซ่งเชวียแหงนหน้าแผดเสียงคำรามร้าวรานใจ ในใจเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่ยินยอม แต่กลับไม่มีที่ให้ระบายออก

เขาวงกตเป็นเช่นนี้ นอกเขาวงกตก็ยิ่งเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างชัดเจน

นอกเขาวงกตเวลานี้ก็มีคนอยู่ไม่น้อย ป๋ายหลินและแม่ทัพอีกสองคนนำกองทัพใหญ่มาตั้งค่ายอยู่นอกเขาวงกตนานแล้ว เช่นเดียวกันทางฝ่ายของแดนทุรกันดารตอนนี้ก็มีชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณหลายแสนคน รวมไปถึงอาจารย์หลอมวิญญาณอีกไม่น้อยที่ตั้งค่ายพักรออยู่อีกทางฝั่งหนึ่งนอกเขาวงกต ทั้งสองต่างตั้งค่ายพักอยู่คนละฝั่งของเขาวงกตเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหลหนักกว่าเดิมเมื่อการประลองเพื่อวิญญาณคนฟ้าในเขาวงกตปรากฏผลลัพธ์ออกมาแล้ว ดังนั้นจึงยังคงเฝ้าพิทักษ์กันอยู่ที่นี่

ทว่ารอไปรอมากลับไม่เห็นว่ามีใครได้ออกมา กลับกลายเป็นว่าได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงสะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้เกิดขึ้น เสียงตูมตามสะเทือนเลือนลั่นดังออกมาจากในเขาวงกตไม่ขาดระยะ ขณะที่ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี ป๋ายหลินก็ดี พวกอาจารย์หลอมวิญญาณของฝ่ายแดนทุรกันดารก็ช่าง พวกเขาล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีพันลี้รอบเขาวงกตบัดนี้มีแสงสว่างพร่างพราว

ขณะเดียวกันกับที่แสงสว่างนี้แผ่ขยายออกไป เสียงกัมปนาทเขย่าฟ้าดินก็ดังคลอเคล้าไม่ขาดหาย

เมื่อพื้นดินกำลังยุบยวบลงไปช้าๆ ฝุ่นผงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยฟุ้งตลบราวกับจะปกปิดทั้งฟ้าและดินเอาไว้ อีกทั้งรอยยุบนี้ยังแผ่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ภูเขามากมายล้วนพังถล่มครืนครั่น พื้นดินสั่นไหวรุนแรงคล้ายมังกรใต้ดินกำลังพลิกตัว

ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกสูดลมหายใจถี่ระรัว เผยสีหน้าร้อนรน เมื่อเห็นว่ารอยยุบแผ่ขยายออกมา พวกเขาก็พากันถอยหลัง

“เกิดเรื่องแล้ว !” หัวใจป๋ายหลินกระเด้งกระดอน ใจอยากลงไปตรวจสอบดู ทว่าขณะที่พื้นดินถล่มลงมันกลับปลดปล่อยปราณระลอกหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกจิตใจไม่สงบสุขออกมา ราวกับว่าหากพวกเขาเข้าใกล้ก็จะถูกดูดเข้าไปข้างในนั้นด้วย

และที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือเมื่อแผ่นดินยุบถล่ม ก็ราวกับว่าพื้นที่พันลี้นี้กลายมาเป็นค่ายกลการปิดผนึกขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งเมื่อการยุบยวบแผ่ขยาย ขอบเขตของการผนึกนี้ก็ขยายเป็นวงกว้างตามไปด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version