บทที่ 564 คนคู่หนึ่งที่มีวาสนาต่อกัน
แดนทุรกันดารนั้นกว้างใหญ่มาก ทว่ากลับมีน้อยคนนักที่จะระบุได้อย่างแน่ชัดว่ามันใหญ่แค่ไหน แต่นักพรตแทบทุกคนที่เข้าใจโลกใบนี้ดีต่างก็สามารถบอกได้คร่าวๆ ว่าแดนทุรกันดารกว้างใหญ่เท่าไหร่
เพราะหากเปรียบโลกใบนี้เป็นวงกลมวงหนึ่ง ตรงกลางก็คือมหาสมุทรทงเทียน รอบด้านมีแม่น้ำใหญ่สี่สายทอดขยายออกไป ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำแควก็ดี กระแสธารก็ช่าง หรือจะเป็นปลายน้ำมากมายต่างก็มองแล้วเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่แตกขยายออกไปจากแม่น้ำใหญ่ทั้งสี่สาย
จุดที่มีแม่น้ำทงเทียนก็คือโลกทงเทียน ส่วนจุดที่แม่น้ำทงเทียนทอดขยายไปไม่ถึงกลับกินบริเวณของวงกลมนี้ไปเกือบครึ่งหนึ่ง ที่นั่น…ก็คือแดนทุรกันดาร
นี่คือวิธีการพูดอย่างหนึ่ง ยังมีวิธีการพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือนอกกำแพงเมืองล้วนคือแดนทุรกันดารทั้งหมด!
ในโลกทงเทียน พื้นที่ตรงกลางของแม่น้ำใหญ่ทั้งสี่สายล้วนมีกำแพงเมือง กำแพงเมืองนี้แบ่งเป็นสี่ช่วงเหมือนประตูใหญ่สี่บานที่ตัดขาดกับแดนทุรกันดาร ขณะเดียวกันก็ปิดผนึกโลกทงเทียนเอาไว้ด้วย
หากสามารถยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่สูงมากพอแล้วก้มหน้าลงมองจะเห็นได้ว่ากำแพงเมืองทั้งสี่ช่วงเชื่อมต่อกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ยักษ์หนึ่งวง
ราวกับมีวงกลมใหญ่เล็กทับซ้อนเข้าด้วยกันกลายมาเป็นวงกลมสองวงที่ใช้จุดศูนย์กลางร่วมกัน วงกลมด้านในคือโลกทงเทียน พื้นที่ระหว่างวงกลมด้านในและวงกลมด้านนอกก็คือแดนทุรกันดาร ดังนั้นหากว่ากันตามทฤษฎีแล้วถ้าเดินตามพื้นที่ของแดนทุรกันดารเป็นวงกลมหนึ่งรอบ ขอแค่สามารถผ่านด่านไปได้สำเร็จ
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องล่องเรือผ่านมหาสมุทรทงเทียนเพื่อไปยังที่ตั้งของแม่น้ำสายออกตกเหนือใต้ใดๆ อีก
และยามนี้ในจุดลึกของแดนทุรกันดารแห่งนี้ พื้นที่ลึกลับไม่เป็นที่รู้จักมีผืนป่ากว้างไกลราวกับไร้ที่สิ้นสุด ป่านี้มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม มองออกไปจะเห็นแต่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน กิ่งและใบของต้นไม้เกิดเป็นทิวเชื่อมต่อกันราวกับมงกุฎ แสงแดดที่ส่องลอดลงมาตามกิ่งก้านใบที่อยู่ห่างจากกันสะท้อนภาพใต้มงกุฎต้นไม้ให้เห็นเป็นบึงโคลนที่ทับถมไปด้วยใบไม้เน่าเปื่อย
ตลอดแดนทุรกันดารมีผืนป่าแบบนี้มากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แม้ว่าที่นี่จะไม่มีพลังวิญญาณของแม่น้ำทงเทียน ทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการดำรงชีวิตของหมื่นสรรพสิ่งแม้แต่น้อย อีกทั้งการที่ขาดพันธนาการบางอย่างไปยังทำให้เรือนกายของสรรพสิ่งในแดนทุรกันดารที่ไม่ว่าจะเป็นพืชหญ้าก็ดี ชนพื้นเมืองก็ช่างต่างก็หนาใหญ่บึกบึนมากเป็นพิเศษ
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง รอบด้านมีกระดูกขาวโพลนกองอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีขนของสัตว์ปีกบางส่วนกระจายอยู่ รวมไปถึงเศษกระดูกที่ถูกแทะจนแหลกละเอียด… ท่ามกลางกองกระดูกเหล่านี้ มีคนผู้หนึ่งนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เส้นผมของคนผู้นี้ยุ่งเหยิงจนถึงขั้นผูกกันเป็นปม ปากของเขากำลังฉีกทึ้งเนื้อของสัตว์ปีกที่อยู่ในมือไม่หยุด เสียงเคี้ยวกร้วมๆ ดังออกมาเป็นระยะ เสียงนี้ฟังน่าหวาดกลัวเมื่ออยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างในเวลานี้ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะหิวโหยอย่างถึงที่สุดจนแม้แต่เนื้อสดๆ ก็ยังกินได้ลง
อีกทั้งดูจากกระดูกสัตว์โดยรอบ เห็นได้ชัดว่าปริมาณอาหารมือนี้ของเจ้าหมอนี่เยอะมากจนน่าขนลุก…
และใต้ต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่ห่างไปออกไปไม่ไกลยังมีศพอยู่ศพหนึ่ง! ศพนี้นอนอยู่ตรงนั้นคล้ายตายมานานหลายเดือนแล้ว
โครงกระดูกนั้นเน่าเปื่อยผุกร่อนไปมากจนมองสภาพหน้าตาดั้งเดิมของศพไม่ออกอีกแล้ว ทว่าเมื่อดูจากอาภรณ์ก็คล้ายว่าจะเป็นนักพรตคนหนึ่ง อีกทั้งข้างกายเขายังมีถุงเก็บของใบหนึ่งวางอยู่ด้วย
ผู้ที่มีชีวิตอยู่และกำลังแทะกินเนื้ออย่างบ้าคลั่งนั้นคือป๋ายเสี่ยวฉุน
ส่วนคนที่ตายไปนั้น…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อยากรู้มากว่าเขาเป็นใคร
เมื่อสองเดือนก่อน ในคืนที่ฝนตกหนักฟ้าคะนอง ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกนำส่งมาที่นี่ เขาที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส พอกระเสือกกระสนมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่นี้ได้ก็ใช้พลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายฝืนหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ที่เสียหายออกมากางปักไว้ด้านข้าง พออาศัยอานุภาพของร่มคันนี้คุ้มกันกายตัวเองแล้ว เขาก็หมดเรี่ยวหมดแรง ได้แต่นอนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
และเวลานี้เองเขาก็เห็นว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปไม่ไกลมีชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่ ตอนนั้นชายหนุ่มคนนี้ยังไม่ตาย เขาเองก็มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยอาการตาค้างเหมือนกัน ราวกับทั้งรู้สึกเหลือเชื่อทั้งไม่กล้าคาดคิด คนทั้งสองไร้เรี่ยวแรงให้พูดคุยกัน ได้แต่มองตากันไปมา มองกันอยู่พักหนึ่ง อยู่ๆ ศีรษะของชายหนุ่มคนนั้นกลับเอียงกะเท่เร่แล้วก็ตายไปทั้งอย่างนั้น
พอเขาตาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตกใจ เริ่มเครียดขึ้นมาทันที แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีเรี่ยวแรงให้เคลื่อนย้ายร่างกาย ความรู้สึกอ่อนกำลังแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง และคลื่นอารมณ์ที่กระเพื่อมรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มให้ความเหนื่อยล้านี้สาหัสขึ้นจนถึงขั้นหมดสติไป
พอตื่นขึ้นมาอีกทีเวลาก็ผ่านไปเจ็ดแปดวันแล้ว น่าเสียดายที่ร่างกายยังคงมิอาจขยับเขยื้อนได้ อาการบาดเจ็บของเขาคราวนี้หนักหนายิ่งนัก หากจะพูดว่าสาหัสสากรรจ์จนเกือบตายก็ยังไม่เกินไป อีกทั้งพลังวิญญาณของที่นี่ก็แห้งขอด หากป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะฟื้นตัว ไม่เพียงแต่ยังจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่านี้ แถมเมื่อไม่มีพลังวิญญาณแบบนี้ แค่คิดจะเปิดถุงเก็บของก็ยังเป็นไปไม่ได้
รอบกายเขามีซากศพของสัตว์ป่าเกลื่อนกลาดอยู่ไม่น้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนจำได้ว่าก่อนที่จะสลบไปไม่มีศพเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าหลายวันที่เขาหมดสติไป พอพวกสัตว์ป่าเหล่านี้ขยับเข้ามาใกล้ก็ได้ถูกอานุภาพของร่มราตรีนิรันดร์สั่นสะเทือนจนตาย
ขณะเดียวกัน ศพของชายหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้อีกต้นก็ถูกรักษาไว้ได้ด้วยเหตุนี้
“โชคดีที่ข้าหยิบเอาร่มราตรีนิรันดร์ออกมา มิฉะนั้น…เกรงว่าตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาคงได้เห็นว่าร่างตัวเองกำลังถูกเขมือบกินแน่ๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้ามุ่ย ถอนหายใจอยู่ในใจ มองเหม่อขึ้นไปยังท้องฟ้า ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าอาดูร
“ข้าเป็นถึงผู้บังคับกองหมื่นกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…นังเฒ่าหงเฉิน
สักวันหนึ่งข้าจะต้องทำให้เจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของนายท่านป๋ายให้ได้ แล้วก็เฉินเห้อเทียนอีกคน ข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า!”
“เฮ้อ คราวนี้บาดเจ็บหนักมากจริงๆ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก คอของเขาขยับไม่ได้ ได้แต่กลอกตามองสะเปะสะปะไปทั่วด้าน มองเห็นสภาพแวดล้อมแปลกตา ใจเขาก็สั่นสะท้านด้วยความกังวล
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้พอจะฝืนทำใจยอมรับความจริงข้อนี้ได้ วิเคราะห์จากที่ที่นี่ไม่มีปราณวิญญาณของแม่น้ำทงเทียนเขาก็รู้แล้วว่าตนถูกส่งตัวมาอยู่ในแดนทุรกันดาร
เนิ่นนานป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ นอนเหม่ออยู่อย่างนี้ก็ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงเหล่ตาไปมองศพที่อยู่ใต้ต้นไม้อีกต้น
ตอนนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองสาเหตุการตายของคนผู้นี้ไม่ออก ทว่ายามนี้พอจะเริ่มเดาเส้นสนกลในออกบ้างแล้ว ศพของชายหนุ่มผู้นี้ออกเป็นสีดำ เห็นได้ชัดว่าตายด้วยเวทลับบางอย่างที่มีพิษ พอพิษแล่นเข้าสู่หัวใจจึงทำให้หัวใจของชายหนุ่มผู้นี้มีไฟลุกไหม้ ไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจเหี่ยวเฉา พิษร้ายยังแผ่กระจายไปทั่วร่างด้วย
มองไปมองมา ความรู้สึกเหนื่อยล้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มปรากฏขึ้นจนเขาหมดสติไปอีกครั้ง พอลืมตาครั้งต่อมาก็ผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน คราวนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศีรษะของตัวเองสามารถขยับได้แล้ว ร่างกายก็ไม่ถึงกับชาจนไร้ความรู้สึกอีกต่อไป แต่เริ่มปวดแปลบคล้ายมีเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงเข้ามาทั่วร่าง ความรู้สึกนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนทรมานอย่างมาก ทว่าเขากลับรู้สึกคลายใจได้
“ยังดี รู้สึกเจ็บแล้ว นี่หมายความว่ากำลังค่อยๆ ฟื้นตัวแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ มองซากศพของพวกนกและสัตว์รอบกายที่เพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองหิวจนตาลายไปหมด น่าเสียดายที่ขยับได้แค่หัว ส่วนอื่นๆ ของร่างกายกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
ดังนั้นจึงได้แต่กลืนน้ำลายนอนเหม่อต่อไป สักพักก็หันไปมองศพนั้นอีก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มศึกษาอีกฝ่าย
“เป็นนักพรต ตบะน่าจะสร้างฐานรากช่วงต้น…ไม่ได้ถูกส่งออกมาจากในตำหนักใต้ดินเหมือนข้า แต่เป็นผู้ฝึกวิญญาณของที่นี่ ดูจากท่าทางเหมือนว่ากำลังหนีเอาชีวิตรอด?”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้สนใจนัก เขาครุ่นคิดว่าตนน่าจะอยู่ที่นี่มาเกินครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นคนอื่นๆ คาดว่าก็คงไม่มีใครตามมาอีก และต่อให้มีคนมาจริงๆ เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้…
และก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ท่ามกลางเวลาที่ผ่านพ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งศึกษาและสังเกตศพนี้ถี่มากขึ้นจนเขาได้ข้อสรุปมากมายจากการที่มองศพนั้นเริ่มเน่าเปื่อยคาตาของตัวเอง
“ไม่เหมือนพวกที่บำเพ็ญตบะด้วยตัวเอง น่าจะเป็นคนในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง…”
“จำได้ว่าท่าทางของเขาก่อนตายดูทรุดโทรมอย่างหนัก ทั้งยังมากด้วยความไม่ยินยอม น่าจะเป็นเพราะยังไม่ได้ทำความปรารถนาอะไรบางอย่างให้เป็นจริง…”
“อายุไม่มาก ยังหนุ่มอยู่เลย แถมหน้าตาก็น่าจะหล่อเหลา แต่ก็ยังหล่อน้อยกว่าข้า” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ อย่างต่อเนื่อง เขาไม่มีอะไรให้ทำจริงๆ ได้แต่รอการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานนี้ เขาจึงคอยสังเกตการณ์ศพนั้นอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสลบไปอีกครั้ง ในที่สุดวันนี้เมื่อเวลาผ่านไปแล้วสองเดือน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาทั้งคู่ขึ้นอีกครั้ง เขาก็ค้นพบด้วยความตื่นเต้นว่าร่างกายของตัวเองขยับได้แล้ว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือตะเกียกตะกายกระโจนเข้าใส่สัตว์ป่าตัวหนึ่งที่เพิ่งถูกอานุภาพของร่มราตรีนิรันดร์สะเทือนจนตายไปไม่นาน
ก่อนจะอ้าปากกัดกระชากเนื้อของมัน
สองเดือนมานี้เขาหิวจนตาลายไปหมดแล้ว โดยเฉพาะร่างกายยังจำเป็นต้องฟื้นตัว เขารู้สึกว่าในร่างตัวเองกลวงโบ๋จนแทบไม่มีอะไรเหลือ อาหารมื้อนี้เขาแทบจะกินทุกอย่างรอบกายที่พอกินได้จนหมด แม้แต่พวกนกที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเขาก็ยังไม่เว้น ถอนขนออกได้ก็กัดกินทันที
ยิ่งกินร่างกายของเขาก็ยิ่งอบอุ่น พละกำลังก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น มาถึงท้ายที่สุดเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกินทุกอย่างที่อยู่รอบด้านไปจนหมด เขาก็ลูบคลำท้องตัวเองด้วยความรู้สึกที่ว่าคราวนี้ตัวเองรอดตายแล้วจริงๆ
“ข้ากลับมาอีกครั้งแล้ว!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดังด้วยความดีใจ ท่ามกลางความฮึกเหิมนั้นเขาก็ไพล่นึกไปถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสุสานใต้ดินด้วยความรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าคราวนี้ตนก้าวเท้าเข้าไปในประตูผีเกินครึ่งก้าวแล้วจริงๆ
“น้องชายคนนี้ สองเดือนมานี้ขอบคุณที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนกัน พวกเราได้มาพบกันที่นี่ก็ถือว่าเจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน หากมีโอกาส ข้าจะช่วยแก้แค้นแทนเจ้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบเอาถุงเก็บของที่อยู่บนศพนั้นขึ้นมา
เวลาเดียวกันนั้น นอกผืนป่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่มีภูเขาโล้นเกลี้ยงลูกหนึ่งที่เวลานี้ในถ้ำบนภูเขามีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่
เบื้องหน้าเขาคือศพเจ็ดแปดศพ ศพเหล่านี้มองดูแล้วน่าจะมีตบะสร้างฐานราก แต่ละร่างเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกราวกับว่าถูกคนสูบเลือดเนื้อไปก่อนตาย
ผ่านไปพักใหญ่ คนผู้นี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา ทว่าในดวงตาของเขาไร้ซึ่งแสงคมกล้า กลับมากด้วยความมืดมนราวกับว่ามีอาการบาดเจ็บติดตัว เขาไม่แม้แต่จะเหลือบมองศพที่นอนเกลื่อนเต็มพื้น ทำเพียงยกมือขึ้นลูบคลำกลางหว่างคิ้วที่ว่างเปล่าของตัวเองแล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ว่าเจ้าจะตายไปแล้ว ทว่าความอัปยศที่เจ้ามอบให้แก่ข้า
โจวอีซิง วันใดวันหนึ่ง ข้าจะแก้แค้นกลับคืนไปที่ญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าให้มากกว่าที่ข้าได้รับนับพันนับหมื่นเท่า!”