บทที่ 574 ผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ไม่ว่าจะเป็นโจวอีซิงหรือพวกชนพื้นเมืองต่างก็ไม่มีใครตั้งตัวได้ทัน ได้แต่มองภูเขาหัวโล้นลูกนั้นระเบิดราวกับภูเขาไฟที่ปะทุด้วยเสียงอันดังสนั่นไหวคาตาไปทั้งอย่างนี้
และท่ามกลางเสียงกัมปนาทนี้ เขาหัวโล้นทั้งลูกไม่เพียงแต่พังถล่ม ยังกลายมาเป็นหินลาวาที่ปลดปล่อยเปลวเพลิงร้อนระอุ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเจอกับศัตรูทางธรรมชาติ ทุกคนที่อยู่รอบด้านหวีดร้องเสียงแหลมรีบถอยกรูดออกห่างอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่การแผ่กระจายของไฟนี้ไม่ได้ขยายไปไกลนักก็สลายหายไปก่อน โจวอีซิงไหม้เกรียมไปทั้งร่าง นี่เป็นเพราะเขาหลบได้เร็วแล้วด้วย หากช้ากว่านี้อีกเสี้ยวเดียวเกรงว่าคงถูกเผาจนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว
ภาพนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โจวอีซิงชาไปทั้งหนังหัว พวกชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณที่ตามมาก็ยิ่งใจสั่นระรัว หัวใจเด้งกระดอนดัง “ตึง” นัยน์ตาฉายความตะลึงพรึงเพริดสุดขีด
“พวกเจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก!! กล้ามารบกวนการหลอมยาของข้าเชียวรึ!!” ในทะเลเพลิงที่จางหายไปมีเสียงเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งดังลอยมาจากจุดลึกด้านใน
เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลที่พุ่งสูงเทียมฟ้า ขณะที่เสียงดังสะท้อนไปรอบด้าน ทะเลเพลิงก็หายไปในที่สุด ก่อนจะเผยให้เห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินออกมาจากด้านในทีละก้าวด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
อาภรณ์ทั่วร่างของเขาขาดวิ่น ทว่าความโมโหในใจมีมากกว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าครั้งนี้ตนสามารถทำสำเร็จได้ ที่ล้มเหลวต้องเป็นเพราะตนถูกคนอื่นรบกวนอย่างแน่นอน
บัดนี้ดวงตาของเขาแดงฉาน พอเดินออกมาสายตาก็จ้องเป๋งไปที่ชนพื้นเมืองและผู้ฝึกวิญญาณเหล่านั้นแล้วยกมือขวาขึ้นมากะทันหัน ก่อนที่กลางมือของเขาจะมีไฟเจ็ดสีหนึ่งกลุ่มที่ถูกหยิบออกมาจากในถุงเก็บของปรากฏขึ้นมา!
“อาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม!!” วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาไฟเจ็ดสีออกมา ชนพื้นเมืองทุกตนที่อยู่รอบด้านล้วนตัวสั่นเทิ้ม ลมหายใจของพวกเขาเปลี่ยนมาเป็นถี่หอบ ยิ่งเห็นไฟเจ็ดสีในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน จิตวิญญาณของทุกคนก็ยิ่งสั่นระรัวราวกับเป็นความหวาดกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณ
ไม่เพียงแต่ชนพื้นเมืองเท่านั้นที่หวาดกลัว แม้แต่ผู้ฝึกวิญญาณสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบสองคนนั้นก็ยังพากันหน้าซีดขาว ตอนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน หัวจิตหัวใจของพวกเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ทั้งสองร้องโหยหวนอยู่ในใจตัวเอง พวกเขารู้ดีว่าสามารถหลอมไฟเจ็ดสีออกมาได้ก็คือตัวแทนของอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม อาจารย์หลอมวิญญาณเช่นนี้สามารถเรียกรวมผู้ฝึกวิญญาณกลุ่มใหญ่ให้มาเป็นผู้ติดตามของตัวเองได้ตามใจชอบ และเห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้สามารถหยิบเอาไฟเจ็ดสีออกมาได้อย่างใจนึกคิด นี่หมายความว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็คืออาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม เจ้าคนผู้นั้นที่ถูกพวกเขาไล่ฆ่าก็ต้องเป็นผู้ติดตามของอาจารย์หลอมวิญญาณคนนี้แน่นอน
และพวกเขาไม่เพียงแต่ไปล่วงเกินผู้ติดตามคนนั้น นี่ยังดันมารบกวนการหลอมไฟของอาจารย์หลอมวิญญาณระดับสามอีก…เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกวิญญาณทั้งสองมีเหงื่อผุดออกมาตรงหน้าผากทันที ยิ่งเห็นดวงตาทั้งคู่ที่แดงก่ำของป๋ายเสี่ยวฉุนและไพล่นึกไปถึงความน่ากลัวของทะเลเพลิงก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว คนทั้งสองก็รีบประสานมือก้มตัวคารวะต่ำๆ ทันที
“อาจารย์หลอมวิญญาณโปรดระงับความโกรธ…”
“พวกเราไม่รู้จริงๆ ว่าไต้เท้าอาจารย์หลอมวิญญาณหลอมไฟอยู่ที่นี่ ขออาจารย์หลอมวิญญาณโปรดอย่าถือโทษโกรธเคือง พวกเรา…พวกเรายินดีชดใช้ให้!” ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นสั่นไปยันเส้นเสียง พอพวกเขาทำท่าคารวะ พวกชนพื้นเมืองที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งลงไปนั่งคุกเข่ากราบกรานทันที
เห็นว่าคนพวกนี้มีท่าทีเช่นนี้ สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมา เพราะตอนนี้เขาเองก็ตระหนักได้ว่าถึงแม้ความล้มเหลวของไฟสิบเอ็ดสีจะเกี่ยวข้องกับการรบกวนจากคนพวกนี้อยู่บ้าง แต่นั่นกลับไม่ใช่สาเหตุหลัก สาเหตุหลักคือความผิดพลาดในด้านการหลอมของตนต่างหาก
แม้ว่าจะแก้ปัญหาทั้งหมดที่เจอมาได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาอีก แถมปัญหานี้ก็ร้ายแรงอย่างยิ่ง ซึ่งเขาเองก็ตกใจไปกับความรุนแรงของอานุภาพจากการระเบิดเมื่อครู่นั้นมากเหมือนกัน
“น่าจะเกิดจากความไม่มั่นคงภายใน แต่ต่อให้ไม่มั่นคง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ระเบิดตัวเองนี่นา…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในภวังค์เพราะกำลังครุ่นคิดหาคำตอบ ผู้ฝึกวิญญาณสองคนกลับหวาดหวั่นอยู่ไม่เป็นสุข หลังจากเอ่ยขอโทษขอโพยอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขาก็กระตุกขึ้นมาพร้อมกัน นึกไปถึงภาวะยากลำบากที่เผ่าของตัวเองเผชิญอยู่ในตอนนี้ พวกเขาจึงหันมาสบตากัน หัวใจเกิดความเร่าร้อน รีบเอ่ยปากทันที
“ถ้ำของปรมาจารย์พังไปแล้ว หากยังไม่มีที่ให้ไป สามารถไปพักผ่อนที่ชนเผ่าของพวกเราก่อนได้”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าถ้ำแห่งนี้มิอาจอยู่อาศัยได้อีกแล้ว พอได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาเองก็ต้องการสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อใคร่ครวญหาสาเหตุที่การหลอมไฟสิบเอ็ดสีล้มเหลวอย่างละเอียดเช่นกัน
ขณะเดียวกันดูจากท่าทีของผู้ฝึกวิญญาณสองคนนี้รวมไปถึงพวกชนพื้นเมืองแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันตระหนักได้ว่าในแดนทุรกันดารแห่งนี้
ความสูงส่งของตำแหน่งอาจารย์หลอมวิญญาณเหนือล้ำเกินกว่าที่ตนคาดคิดไว้ก่อนหน้านี้อยู่เยอะมาก
โจวอีซิงที่อยู่ข้างกันเจ็บแค้นเศร้าใจเป็นพิเศษ เขามองทุกอย่างนี้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ พูดกับตัวเองว่าก่อนหน้านี้ตนก็บอกไปแล้วว่าตนคืออาจารย์หลอมวิญญาณระดับสาม แต่ชนพื้นเมืองกับผู้ฝึกวิญญาณพวกนั้นกลับไม่เชื่อ
และก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้ความระมัดระวังของคนทั้งกลุ่ม
พวกเขาก็ได้เชิญให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมายังชนเผ่าของตัวเองด้วยความเคารพนอบน้อม ที่นี่คือชนเผ่าแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่มากนัก ดูๆ แล้วน่าจะมีคนในเผ่าประมาณเกือบๆ พันคน ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในหุบเขากลางเทือกเขาแห่งหนึ่ง
แม้ว่ารอบด้านจะมีรั้วล้อมรอบ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนยังคงความดั้งเดิมเอาไว้ บริเวณโดยรอบขุดหลุมขึ้นมาทำเป็นถ้ำ การมาถึงของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถูกมองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นยกถ้ำของตัวเองให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่อาศัย ขณะเดียวกันทุกวันก็จะต้องนำวิญญาณพยาบาทจำนวนมากมาส่งให้เป็นการชดใช้ค่าเสียหายก่อนหน้านี้ด้วย
การได้รับปฏิบัติอย่างดีหลากหลายรูปแบบทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อีกครั้งว่าตำแหน่งของอาจารย์หลอมวิญญาณในแดนทุรกันดารนั้นสูงส่งอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทุกครั้งที่ชนพื้นเมืองของที่นี่มองเห็นตน สายตาที่มีความหวาดกลัวตัดสลับไปกับความเคารพเลื่อมใสเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าแค่ตนพูดคำเดียว ชนพื้นเมืองเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีลังเลแน่นอน
กลับเป็นผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นเสียอีกที่ถึงแม้จะมีท่าทีเคารพนอบน้อมก็จริง แต่กลับเห็นได้ชัดว่ามีความต้องการบางอย่างซึ่งทำท่าจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้งแต่กลับหยุดชะงักไปก่อน
ส่วนโจวอีซิงก็เพราะถูกมองว่าเป็นผู้ติดตามของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้ดื่มด่ำไปกับการได้รับปรนนิบัติราวเป็นผู้สูงศักดิ์ในชนเผ่าแห่งนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็ยังด้อยกว่ามาก
จนกระทั่งอยู่ในชนเผ่าแห่งนี้มาได้ครึ่งเดือน ทุกวันป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องผลาญวิญญาณไปเป็นจำนวนมหาศาล พอเห็นว่าผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นถึงกับต้องกัดฟันเอามาส่งให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเกรงใจเล็กน้อย
“ว่ามาเถอะ พวกเจ้ามีเรื่องอะไรอยากให้ข้าช่วย” วันนี้ขณะที่ผู้ฝึกวิญญาณสองคนนั้นเอาวิญญาณพยาบาทมาส่งให้ด้วยท่าทางเคารพยำเกรงอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
พอคำพูดของเขาดังจบ ผู้ฝึกวิญญาณวัยกลางคนสองคนนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที หลายวันมานี้พวกเขาลังเลอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะเอ่ยปากเช่นไรดี พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนเปิดปากเอง คนทั้งสองจึงมองหน้ากันไปมาแล้วเล่าเรื่องราวออกมาตามความเป็นจริง
ดูเหมือนว่าเมื่อสองเดือนก่อนจักรพรรดิหมิงอะไรนั่นได้ออกโองการกะทันหันว่าต้องการเลือกผู้สืบทอด และเงื่อนไขการเป็นผู้สืบทอดนี้ก็เข้มงวดอย่างมาก แม้จะเป็นเช่นนี้ กระนั้นตลอดทั้งแดนทุรกันดารที่ไม่ว่าจะเป็นนครราชาหรือตระกูลผู้หลอมวิญญาณกลับพากันบ้าคลั่งเพราะอยากจะเข้าร่วม
ทว่าผู้ที่เข้าร่วมการช่วงชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมีข้อกำหนดในด้านตบะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ยาวิญญาณจำนวนมากมาเพิ่มตบะให้สูงขึ้น สามตระกูลใหญ่ในนครราชาผียักษ์แห่งนี้จึงทุ่มเทกันสุดกำลัง พวกเขาต่างก็ออกคำสั่งบีบบังคับทุกชนเผ่าในพื้นที่ปกครองของตัวเองให้รวบรวมยาวิญญาณจำนวนมากให้ได้ในระยะเวลาที่กำหนด หากนำไปมอบให้ไม่ได้ ชนเผ่านั้นๆ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตความเป็นความตาย
ส่วนชนเผ่าภูเขาดำของพวกเขาก็เนื่องจากก่อนหน้านี้มีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นจึงเป็นเหตุให้ศักยภาพอ่อนด้อยลง ในระยะเวลาสั้นๆ นี้จึงยังไม่สามารถหายาวิญญาณมากมายขนาดนั้นมาได้ ด้วยความจนใจเพราะถูกบีบบังคับ ด้านหนึ่งพวกเขาจึงต้องเอาสิ่งของในเผ่าไปขาย ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ออกไปตามหาอาจารย์หลอมวิญญาณให้มาช่วยเหลือ และสุดท้ายก็คือให้คนออกไปปล้นในบริเวณรอบๆ หมายช่วงชิงทรัพย์สินของผู้อื่นเพื่อรวบรวมจำนวนยาวิญญาณให้ได้ตามที่กำหนด
ดำเนินสามแผนการนี้ไปพร้อมกันๆ หวังจะพาชนเผ่าเดินออกไปจากวิกฤตครั้งนี้ให้ได้…
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็เริ่มงุนงงเล็กน้อย ทว่าโจวอีซิงที่อยู่ข้างกันกลับตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า โดยเฉพาะได้ยินว่าคำว่าผู้สืบทอดของจักรพรรดิหมิง ในดวงตาทั้งคู่ของโจวอีซิงก็โชนแสงคมกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมลมหายใจก็ยังเปลี่ยนมาเป็นถี่กระชั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น ทว่าสีหน้ากลับเป็นปกติ ลองถามหยั่งเชิงเลียบๆ เคียงๆ โดยไม่เผยร่องรอยใดๆ ให้ใครจับสังเกตได้ ตอนนี้โจวอีซิงใจสั่นรัวอย่างบ้าคลั่งจึงไม่ทันสังเกตเห็นถึงเจตนาหลอกถามของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกฝ่ายถามอะไรเขาก็ตอบเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาจนหมด
ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง ดวงตาของพลันเปล่งประกายวาว ที่แท้ในแดนทุรกันดารแห่งนี้นอกจากจักรพรรดิขุยของนครจักรพรรดิแล้ว ยังมีจักรพรรดิหมิงอยู่ด้วย!
เกี่ยวกับจักรพรรดิหมิงมีเรื่องเล่าหนึ่งบอกไว้ว่า หลังจากที่จักรพรรดิขุยรุ่นที่หนึ่งตายไป วิญญาณของเขาไม่ได้สลายหายไปไหน แต่กลายมาเป็นแม่น้ำอเวจีสายหนึ่งที่ควบคุมความตายบนโลกใบนี้ และวิญญาณของแม่น้ำอเวจีก็คือจักรพรรดิหมิง!
จักรพรรดิหมิงได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากไพร่ฟ้าของจักรพรรดิขุยรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่อให้เป็นพวกชนพื้นเมืองในแดนทุรกันดารที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงกล่อมเกลามาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีก็ยังศรัทธานับถือจักรพรรดิหมิง
เมื่อเทียบกับจักรพรรดิขุยแล้ว คนหนึ่งเป็นเหมือนผู้นำที่มีตัวตนจริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่งกลับเป็นเหมือนสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ!
ในตำนานเล่ากันว่าจุดลึกของแม่น้ำอเวจีมีพระราชวังหมิงอยู่แห่งหนึ่ง และจักรพรรดิหมิงก็อาศัยอยู่ที่นั่น อีกทั้งในประวัติศาสตร์ก็ยังบอกไว้ว่าบางครั้งจะมีทูตของจักรพรรดิหมิงมาปรากฏตัวอยู่ในโลกมนุษย์ ทูตทุกคนที่ปรากฏตัวล้วนได้รับความเคารพนับถือ แม้แต่จักรพรรดิขุยในรุ่นนั้นๆ ก็ยังเกรงใจทูตพวกนั้นมาก
เมื่อสองเดือนก่อนแม่น้ำอเวจีปรากฏขึ้นบนนภากาศเหนือนครจักรพรรดิและมีป้ายศิลาโองการหนึ่งเยื้องกรายลงมา ในโองการนั้นบอกไว้ว่าทุกๆ หกสิบปีจะต้องมีการคัดเลือกผู้สืบทอดคนหนึ่งให้มาเป็นจักรพรรดิหมิงรุ่นต่อไป!
เรื่องนี้สร้างความครึกโครมให้กับทั่วทั้งแดนทุรกันดารทันที ต้องรู้ว่าหลายต่อหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องจักรพรรดิหมิงเลือกผู้สืบทอดปรากฏให้เห็นมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรก!!
ทุกตระกูลที่อยู่ในนครจักรพรรดิ พระยาสวรรค์ เจ้าพระยาสวรรค์ รวมไปถึงราชาสวรรค์ของสี่นครราชา ไม่ว่าจะเป็นขั้วอิทธิพลทางฝ่ายใดก็สะท้านสะเทือนไปกับเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็อยากให้คนในตระกูลของตัวเองได้กลายมาเป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิหมิง!
และคนที่คิดจะเป็นผู้สืบทอดก็จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขสองข้อให้ได้ หนึ่งคือต้องมีตบะก่อกำเนิด ข้อที่สองคือต้องได้รับสิทธิ์ในการคัดเลือก!
——
ชี้แจงค่ะ
ในเรื่องของการเปลี่ยนจากชื่อราชาผียักษ์ทับศัพท์มาเป็นจวี้กุ่ยหวัง รวมไปถึงชื่อของสตรีแดง/สตรีธุลีแดงที่เปลี่ยนมาเป็นหงเฉินหนวี่ ผู้แปลได้อธิบายในตอนนั้นๆ ไปว่าในเรื่องตัวละครจะมีการใช้ชื่อนี้เหล่านี้แทนตัวเอง ผู้แปลเห็นว่าเมื่อแปลออกมาแล้วอาจจะฟังดูแปลกๆ จึงเปลี่ยนมาทับศัพท์เป็นชื่อจีนแทน
แต่เนื่องจากมีผู้อ่านแนะนำให้แปลเป็นไทยตามเดิมเพราะง่ายต่อการทำความเข้าใจและการจดจำมากกว่า ซึ่งก็มีผู้อ่านหลายท่านที่เห็นด้วย ผู้แปลและทางทีมงานจึงปรึกษากันและเห็นสมควรว่าจะกลับมาใช้ชื่อที่แปลเป็นไทยตามเดิมค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นในตอนที่ผ่านๆ มาจึงต้องมีการรีไรท์ใหม่ซึ่งผู้แปลจะตามแก้ไขให้ในภายหลังนะคะ ขอขอบคุณสำหรับการติดตามและความเห็นของคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยค่ะ